#echo banner="" ประวัติ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล โดย พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต)

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) ๑

วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

ต้นฉบับโดย พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต)

เรียบเรียงโดย รศ. ดร. ปฐม - รศ.ภัทรา นิคมานนท์

ครงการหนังสือบูรพาจารย์อีสานใต้ เล่ม ๑

หน้าที่  ๑       

 

๑. สุรินทร์ถิ่นกำเนิดของหลวงปู่

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นชาวสุรินทร์โดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

เรื่องราวของจังหวัดสุรินทร์ถิ่นกำเนิดของหลวงปู่เมื่อสมัย ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว ตามที่หลวงปู่เล่าให้ฟัง และท่านเจ้าคุณ พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต) ได้เรียบเรียงบันทึกไว้ มีดังต่อไปนี้

ชุมชนสุรินทร์ในอดีตไม่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นเมื่อใด แต่สันนิฐานว่ามีมาไม่ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ ปี เคยผ่านความรุ่งเรืองมาสมัยหนึ่งในฐานะเป็นเมืองหน้าด่านจากผืนที่ราบโคราชลงสู่แคว้นเจนละของกัมพูชา

สุรินทร์ หรือ เมืองประทายสมันต์ หรือไผทสมันต์ ในอดีต อยู่ในพื้นที่ราบต่ำที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และมวลสัตว์ป่านานาชนิด

หลักฐานเมืองโบราณที่พบเห็นได้แก่ปราสาทหินหลายแห่ง เช่นปราสาทหินภูมิโปน ปราสาทระแงง ปราสาทยายเหงา ปราสาทตาเหมือน ปราสาทจอมพระ ปราสาทเบง เป็นต้น รวมทั้งกำแพงเมืองสุรินทร์เดิมซึ่งมี ๒ ชั้น เคยตั้งตระหง่านมาเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว ก็ยังมีหลักฐานเหลือให้เห็นได้ชัดเจน

ในสมัยนั้นบ้านเรือนมีน้อยไม่แออัดเหมือนทุกวันนี้

ด้านทิศใต้ของ วัดบูรพาราม ของหลวงปู่ เป็นกำแพงเมืองชั้นในสูงตระหง่านบังหลังคากุฏิ เพิ่งจะอันตรธานหายไปเมื่อไม่เกิน ๑๐๐ ปีมานี่เอง

จากกำแพงเมืองชั้นในออกไปทางทิศใต้เพียง ๕๐๐ เมตรจะเป็นกำแพงเมืองชั้นนอก ซึ่งมี วัดจุมพลสุทธาวาส (วัดที่หลวงปู่เข้าอุปสมบท) อยู่ติดขอบกำแพงด้านใน

เลยกำแพงเมืองชั้นนอกออกไป เป็นเขตชนบททั้งสิ้น ห่างออกไปไม่ถึง ๒ กิโลเมตรจะเป็น ลำห้วยเสนง ฝั่งห้วยจะมีไม้ยางป่าขนาดมหึมาเต็มไปหมด ชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดไม่ว่าหมูป่า ลิงชะนีค่าง แม้กระทั่งแรดก็ปรากฏให้เห็นทั่วไป

ห่างออกไป ๕-๑๐ กิโลเมตร จึงจะพบหมู่บ้านสักแห่ง ซึ่งมีบ้านเรือนประมาณ ๔-๕ หลังเท่านั้น

หมู่บ้านที่หลวงปู่ถือกำเนิดชื่อว่า บ้านปราสาท ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศใต้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร

หลวงปู่ได้เล่าถึงบรรพบุรุษของท่านว่า รุ่นปู่ทวดของท่านอาศัยอยู่ที่ บ้านสลักได ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองด้านตะวันออก

ประมาณปี พ.ศ. ๒๓๙๘ คุณตาของหลวงปู่ชื่อคุณตาแสร์ และญาติพี่น้องรวม ๕ ครอบครัว ตั้งใจจะพากันอพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ เขมรต่ำ (ประเทศกัมพูชา) จึงเดินทางด้วยช้างมุ่งลงทางใต้ไปเรื่อยๆ

เมื่อเดินทางไปได้ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรก็ได้พบกับคณะของ พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันตร์ (ม่วง) เจ้าเมืองสุรินทร์ลำดับที่ ๕ กำลังออกสำรวจพื้นที่อยู่

ท่านเจ้าเมืองทราบว่าครอบครัวเหล่านั้นกำลังจะไปทำมาหากินที่เขมรต่ำจึงได้ทัดทานไว้ โดยชี้แจงถึงความยากลำบากและอันตรายในการเดินทางรวมทั้งสภาพบ้านเมืองของเขมรที่ไม่สงบเรียบร้อย ยังไม่น่าไว้วางใจ

พร้อมกันนั้นท่านเจ้าเมืองก็แนะนำและขอร้องให้พากันตั้งบ้านเรือนอยู่ทำมาหากิน ณ สถานที่แห่งนั้น ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ ใครใคร่จะจับจองเอาที่ดินที่นามากเท่าไรก็ได้

คณะผู้อพยพก็คล้อยตาม รวมทั้งยำเกรงท่านเจ้าเมืองด้วย จึงตกลงตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ สถานที่นั้น ได้ช่วยกันหักร้างถางพง สร้างบ้านเรือน ตั้งเป็นหมู่บ้านขึ้นมา และด้วยหมู่บ้านนั้นตั้งอยู่ใกล้เคียงกับปราสาทโบราณ จึงเรียกขานกันว่า “บ้านปราสาท”

คุณตาแสร์ ของหลวงปู่เป็นนายบ้าน ทำหน้าที่ปกครองดูแลหมู่บ้านปราสาทแห่งนั้น

คุณตาแสร์มีลูก ๖ คนคือ ๑. นายมาก ๒. นางเงิม (มารดาของหลวงปู่) ๓. นายม่วง ๔. นางแก้ว ๕. นางเมอะ และ ๖. นายอ่อน

ครอบครัวของคุณตาแสร์ก็ขยายสาขาเพิ่มสมาชิกออกไป บางส่วนก็อยู่ในบ้านปราสาท บางส่วนก็อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง บางส่วนก็อพยพย้ายไปอยู่ถิ่นอื่นตามวิถีชีวิตของแต่ละคน

การประกอบอาชีพของผู้คนสมัยนั้น ได้แก่การทำไร่ เริ่มต้นด้วยการแผ้วถางป่าที่หนาทึบ เพื่อปลูกข้าว ฟัก แฟง แตงกวา สำหรับใช้ทำอาหาร นอกจากนี้ก็เก็บของป่าล่าสัตว์ซึ่งมีอย่างอุดมสมบูรณ์

สำหรับผู้หญิงทำงานบ้านเลี้ยงลูก และดูแลสัตว์เลี้ยง มี เป็ด ไก่ หมู วัว ควาย เป็นต้น นอกจากนั้นก็ ทอผ้า ปั่นด้าย เลี้ยงไหม

บ้านเรือนก็สร้างกันอย่างง่าย พออยู่ได้ ตัดโค่นต้นไม้กันเป็นต้นๆ ใช้ขวานถากไม้ทั้งต้นให้เป็นเสาหรือผ่าครึ่ง แล้วถากให้บาง เป็นแผ่นกระดาน นำใบไม้หรือไม้ไผ่มาขัดแตะทำเป็นฝาบ้านและมุงหลังคาด้วยหญ้าคา

แต่ละบ้านจะนำไม้ไผ่มาสานเป็น โจรก คือตะกร้าหรือเข่งใบใหญ่ ภาษาเขมรพื้นเมืองเรียกว่า “เจียลดอก” ใช้สำหรับเก็บข้าวเปลือกไว้ทำพันธุ์หรือไว้กินตลอดปี โจรกแต่ละใบ บรรจุข้าวเปลือกได้ถึง ๑๐ เกวียนก็มี บางบ้านก็ทำไว้หลายใบ

ข้าว และพืชผลสมัยนั้นไม่มีการซื้อขายกัน ใช้วิธีแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันกันตามมีตามเกิด เงินทองไม่มีติดบ้านแม้แต่บาทเดียวก็ไม่เดือดร้อน ครอบครัวไหนทอผ้าห่ม ผ้านุ่งได้มาก หรือมีข้าวเปลือกเก็บสำรองไว้มาก ก็แบ่งปันครอบครัวอื่นที่ขาดแคลนให้กู้ยืมไปกินตามความจำเป็น

ชาวบ้านในสมัยนั้นนับถือผีปีศาจ และเทวดาอารักษ์อย่างเหนียวแน่นพระสงฆ์องคเจ้ารวมทั้งเจ้าอาวาสบางองค์ ก็เป็นผู้มีความชำนาญทางจิตทางวิญญาณใช้ไสยศาสตร์ และเวทย์มนต์คาถา มีการปลุกผี ปลุกพระ รักษาไข้ด้วยการเป่า เสก พ่น ประสานกระดูก ต่อกระดูก เซ่นไหว้ บวงสรวง เข้าทรง เรียกขวัญ เป็นต้น

หยูกยาก็ใช้สมุนไพรที่ได้เล่าเรียนและถ่ายทอดกันมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งก็เป็นการช่วยดูแลรักษากันได้บ้าง ตามความเหมาะสม ส่วนใหญ่ได้พึ่งพาอาศัยพระ โดยถือว่าพระเป็นผู้รู้กว่าใคร แม้ฆราวาสที่ทำหน้าที่เป็นหมอยาประจำหมู่บ้าน ก็จะเรียนรู้วิธีรักษาโรคเมื่อตอนบวชพระนั่นเอง

อาหารการกินก็อาศัยผักหญ้าที่หาได้ในละแวกนั้น เกลือ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดซึ่งขาดไม่ได้ เพราะสมัยนั้นไม่มีกะปิ น้ำปลา หรือสิ่งปรุงรสอย่างอื่น เมื่อชาวบ้านจับปลาได้ จะนำมาคลุกผสมกับเกลือ บรรจุไห ทำเป็นปลาร้าปลาจ่อม เก็บไว้ประกอบอาหารหรือใช้รับประทานกับข้าว

ครอบครัวไหนมีปลาร้าเต็มไห มีข้าวเปลือกเต็มโจรก ก็ถือว่ามีฐานะพออยู่พอกิน ไม่เดือดร้อน

การอยู่การกินจึงเป็นไปอย่างง่ายๆ ผ้านุ่ง ผ้าถุง เสื้อผ้า ก็ทอและตัดเย็บกันเอง ผู้หญิงแต่งกายด้วยผ้า ๒ ผืน ผืนหนึ่งเป็นผ้านุ่งกระโจมอก เรียกว่า “จอมปุง” อีกผืนใช้ห่มเป็นสไบ ส่วนผู้ชายก็นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวใช้ได้แล้ว ถ้ามีงานพิธีก็นุ่งโสร่งไหมใส่เสื้อ แล้วมีผ้าขาวม้าพาดบ่าก็เป็นอันเพียงพอ

เครื่องสำอางสำหรับผู้หญิงก็มีแป้งขาว แป้งดินสอพอง ขมิ้นผสมมะนาวสำหรับประเทืองผิว ส่วนเครื่องประดับก็มีสร้อยคอ แหวน ตุ้มหู กำไลมือ กำไลเท้า ซึ่งมักทำด้วยเครื่องเงิน ใช้แต่งในเทศกาลงานบุญต่างๆ

สตรีสมัยนั้นจะต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ฝึกหัดงานฝีมือ ปั่นด้ายทอผ้า ฝึกทำกับข้าว เพื่อผูกจิตผูกใจเพศตรงข้าม ญาติผู้ใหญ่จะดูว่าหญิงคนใดจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีได้ ก็ดูที่ความละเอียดประณีตของผ้าที่ทอ หรือดูที่ฝีมือการทำกับข้าว และกิริยามารยาททั่วไป

ฝ่ายชายจะต้องขยันขันแข็งในการทำมาหากิน และต้องผ่านการบวชเรียนเสียก่อน จึงจัดว่าเป็น “คนสุก” สามารถเป็นผู้นำครอบครัวได้ เพราะการบวชเรียนเป็นการอบรมจิตใจ และฝึกความรู้ต่างๆ ให้เป็นภูมิรู้ภูมิธรรมประดับตน

นี่คือชุมชนของชาวสุรินทร์ในสมัยของหลวงปู่ เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา

๒. ชีวิตเมื่อวัยเยาว์

หลวงปู่ถือกำเนิด ณ บ้านปราสาท ตำบลเฉนียง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๔๓๑ ตรงกับวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

โยมบิดาของท่านชื่อ นายแดง โยมมารดาชื่อ นางเงิม นามสกุล ดีมาก

หลวงปู่มีพี่น้อง ๕ คน คนแรกเป็นหญิงชื่อ กลิ้ง คนที่สองคือตัวหลวงปู่เอง ชื่อ ดูลย์ คนที่สามเป็นชายชื่อ เคน คนที่สี่และห้าเป็นหญิง ชื่อ รัตน์ และ ทอง พี่น้องทั้ง ๔ คนของท่านมีชีวิตจนถึงวัยชรา และทุกคนเสียชีวิตก่อนที่จะมีอายุถึง ๗๐ ปี มีเพียงหลวงปู่เท่านั้นที่ดำรงอายุขัยอยู่จนถึง ๙๖ ปี

พี่น้องของหลวงปู่ได้แยกย้ายไปทำมาหากินในที่ต่างๆ พอเริ่มมีพระราชบัญญัตินามสกุลออกใช้ แต่ละคนก็เลือกใช้นามสกุลตามที่ตนเห็นสมควรหลวงปู่ใช้นามสกุล ดีมาก ตามโยมแม่

มาตอนหลัง หลวงปู่เปลี่ยนมาใช้นามสกุล เกษมสินธุ์ ซึ่งท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านไปพำนักเพื่อศึกษาธรรมที่ จังหวัดอุบลราชธานี ประจำอยู่ที่ วัดสุทัศนาราม ได้หลายปี หลานชายคนหนึ่งของท่านชื่อ พร้อม ตามไปอยู่ด้วย ท่านจึงตั้งนามสกุลให้ว่า เกษมสินธุ์ แล้วท่านก็เปลี่ยนใช้นามสกุลที่ตั้งใหม่นี้ด้วย

แม้หลวงปู่จะเป็นลูกคนที่สอง แต่ก็เป็นลูกชายคนโตของครอบครัว ในช่วงแรก ท่านก็ช่วยพี่สาวทำงานบ้าน ต่อเมื่อโตขึ้นจึงต้องแบกรับภารกิจมากทั้งในบ้านและนอกบ้าน นับตั้งแต่หาบน้ำ ตำข้าว หุงข้าว เลี้ยงดูน้องๆ ไปจนถึงช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนา และเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย

ในบรรดาคนหนุ่ม รุ่นเดียวกันแห่งบ้านปราสาท หลวงปู่จัดว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดี ได้เปรียบเพื่อนๆ ด้านรูปสมบัติ นอกจากจะมีร่างกายแข็งแรง สุขภาพอนามัยดีแล้ว ยังมีผิวพรรณหมดจด รูปร่างโปร่งได้สัดส่วนสมทรง น่ารักน่าเอ็นดูมีท่าทางแคล่วคล่องว่องไว และยังมีอุปนิสัยเยือกเย็นอ่อนโยน ความประพฤติเรียบร้อยมาแต่เยาว์ จึงได้รับคำยกย่องชมเชยจากบรรดาญาติพี่น้อง และผู้ที่ได้พบเห็นโดยทั่วไป

ด้วยเหตุที่ท่านมีรูปร่างงดงามนี่เอง ท่านเจ้าเมืองสุรินทร์สมัยนั้นจึงมีบัญชาให้นำตัวท่าน มาร่วมแสดงละครนอก โดยเล่นเป็นตัวนางเอก

สำหรับเรื่องราวชีวิตในอดีตนั้น นานแสนนานกว่าท่านจะเล่าให้ฟังสักครั้งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสดี มีเวลาว่าง ท่านก็เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ เมืองสุรินทร์ลำดับถึงบุคคลสำคัญๆ ตลอดจนเครือญาติในสมัยนั้น

หลวงปู่เล่าว่า ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๓๔ พระยาสุรินทรภักดีฯ (ม่วง) ผู้ที่ชักชวนคุณตาของท่านมาตั้งบ้านเรือนที่บ้านปราสาท ได้ถึงแก่อนิจกรรม กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงใหญ่ได้แต่งตั้ง พระพิไชยณรงค์ภักดี (บุญนาค) ผู้เป็นน้องชาย ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน เป็นเจ้าเมืองสุรินทร์ ลำดับที่ ๖

ตอนที่หลวงปู่อายุประมาณ ๖ ขวบได้เกิดเหตุการณ์สู้รบกับต่างชาติ นั่นคือกรณีพิพาทเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เรียกว่า “เหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒” ชายฉกรรจ์ลูกสุรินทร์ ๘๐๐ คน ถูกเกณฑ์เข้ารับการฝึกในกองกำลังรบ และส่งไปตรึงแนวรบด้านจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับกองกำลังจากเมืองอื่นๆ เพื่อต่อต้านการรุกรานจากฝรั่งเศส หลังจากการปะทะกันเล็กน้อย ก็ตกลงทำสัญญาสงบศึก

หลังจากกรณีพิพาทไม่นาน พระพิไชยณรงค์ภักดี (บุญนาค) ก็ถึงแก่กรรม พระพิไชยนครบวรวุฒิ (จรัญ) ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองสุรินทร์ ลำดับที่ ๗ และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ พระยาสุรินทรภักดีศรีไผทสมันต์ เจ้าเมืองคนนี้ถึงแก่กรรมเมื่อหลวงปู่อายุระหว่าง ๑๓-๑๔ ปี กำลังเข้าวัยหนุ่ม

พระยาพิไชยณรงค์ภักดี (บุญจันทร์) ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ลำดับที่ ๘ เป็นที่ พระยาสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์ ตามตำแหน่ง และเจ้าเมืองคนนี้เองที่บัญชาให้นำตัวท่านมาเล่นละคร

หลวงปู่เล่าย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งท่านเล่นเป็นนางเอกละครว่า สมัยนั้นคนนิยมดูละครกันมาก สมัยนั้นมีธรรมเนียมอยู่ว่า ถ้าเป็นละครของเจ้าเมืองในหัวเมือง ต้องเอาผู้ชายแสดงทั้งหมด โดยสมมุติเป็นพระเป็นนางเอา แต่ถ้าเป็นละครหลวง หรือละครของพระเจ้าแผ่นดิน ผู้แสดงต้องเป็นผู้หญิงล้วน สมมุติเป็นพระเป็นนางเอาเหมือนกัน

เรื่องที่หลวงปู่เคยแสดงก็มีเรื่อง ไชยเชษฐ์ ลักษณวงศ์ จันทรกุมาร เป็นต้น จำได้ชื่อหนึ่งว่า ท่านเคยแสดงเป็นนาง ชื่อนางรัมภา ไม่ทราบว่าอยู่ในวรรณคดีเรื่องใด

จากที่หลวงปู่เล่า พอจะสรุปได้ว่า คนสมัยโน้นกับคนสมัยนี้ มักจะคลั่งดาราเหมือนกัน ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลังจากที่จบการแสดงแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งพรวดพราดเข้ามาหาหลวงปู่ในห้องแต่งตัว คงคิดจะทอดไมตรี ผูกเป็นมิตรสหายกันนับว่าแก่นกล้ามิใช่น้อยสำหรับสภาพสังคมสมัยนั้น

ขณะนั้นนางเอกละครของเรากำลังถอดเครื่องทรงออกทีละชิ้น ทั้งแท้ทั้งเทียม แม่สาวคนนั้นถึงกับตะลึง เมื่อทราบว่าท่านเป็นชาย เธออายมาก รีบกระโดดลงจากเวทีวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระต่ายป่า

นี่แสดงว่า หลวงปู่ของเรามีความสามารถในการแสดงไม่เบา ผู้หญิงแท้ๆ ยังคิดว่าท่านเป็นผู้หญิงจริงๆ แต่เมื่อเห็นท่านเป็นชายจึงรีบหนีไป

จากเหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า เด็กหนุ่มเด็กสาวสมัยนั้นเขามีจิตสำนึกในอันที่จะป้องกันมิให้เกิดความเสื่อมเสีย และระวังในเรื่องระหว่างเพศเป็นอย่างดีไม่ให้เกิดความมัวหมองในความเป็นหนุ่มสาวของตน มิฉะนั้นจะถูกดูหมิ่นดูแคลนจากสายตาของสังคม

หลวงปู่ยืนยันว่า ตลอดชีวิตของท่าน มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยพ้องพานแตะต้องสตรีเพศเลย แม้แต่น้อย ตราบเท่าเข้าสู่เพศพรหมจรรย์ ดำรงชีพอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์รวดเดียวตลอดชั่วอายุขัย

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘ หลวงปู่อายุประมาณ ๑๘ ปีได้ลงไป “บางกอก” เมืองหลวงของประเทศเป็นครั้งแรก เพื่อไปซื้อเครื่องแต่งละคร เพราะตัวนางเอกต้องมาลองเครื่อง เลือกเครื่องให้ได้เหมาะเจาะสมตัว

หลวงปู่เดินทางด้วยช้างจากสุรินทร์ ใช้เวลา ๔ วัน ๔ คืน จึงถึงเมืองโคราช พักช้างไว้ที่นั่น แล้วขึ้นรถไฟต่อเข้ากรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางอีก ๑ วัน ในสมัยนั้นรถไฟมีเดินแค่กรุงเทพฯ-โคราชเท่านั้น

เมื่อลงรถไฟที่สถานีหัวลำโพงแล้ว เห็นเมืองบางกอกสมัยนั้นไม่มีตึกรามบ้านช่องหรือผู้คนมากมายอะไร ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน เมื่อปวดท้องหนักท้องเบาก็สามารถแวะเข้าป่าสะแก หรือป่าสาบเสือข้างทางได้อย่างสบายน้ำท่าแต่ละลำคลองก็ใสสะอาดดี อาบดื่มได้อย่างสนิทใจ

เมื่อกลับถึงสุรินทร์แล้ว ก็ให้รู้สึกกระหยิ่มใจว่ามีบุญวาสนามิใช่น้อย ที่ได้ไปเห็นบางกอกด้วยสายตาตนเอง หลวงปู่จึงมีเรื่องเล่าให้ผู้อื่นฟังอยู่เสมอ เพราะเหตุว่าน้อยคนนัก ที่จะมีโอกาสวาสนาได้ไปเห็นกรุงเทพฯในสมัยนั้น

           

๓. สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ช่วงที่อยู่ในคณะละครนี่เอง ท่านได้มีโอกาสเรียนรู้หนังสือไทย พออ่านเขียนได้บ้างจากเพื่อนในคณะ ทั้งนี้เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน คนที่อยากเรียนหนังสือจึงต้องบวชเรียน หรือไม่ก็ต้องเดินทางไปแสวงหาความรู้ที่บางกอกเมืองหลวงเท่านั้น

หลวงปู่อยู่กับคณะละครเพียง ๔ ปีเศษ แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใครๆ ก็ต้องรู้สึกว่าน่าเพลิดเพลินและน่าลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะอยู่ในวัยกำลังงามแล้ว ท่านยังเป็นนักแสดงที่มีผู้นิยมชมชอบมากอีกด้วย ถึงกระนั้นหลวงปู่ของเราก็มิได้หลงใหลกับสิ่งเหล่านั้นเลย ตรงกันข้าม ท่านกลับมีอุปนิสัยโน้มเอียงไปทาง เนกขัมมะ คืออยากออกบวช

หลวงปู่ได้พยายามขออนุญาตบวชจากบิดามารดาหลายครั้ง แต่ก็ถูกคัดค้านเรื่อยมา เนื่องจากขาดกำลังสำคัญ ที่จะช่วยแบ่งเบาภาระการงานของครอบครัวเพราะท่านเป็นบุตรชายคนโต เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้าน

หลวงปู่เฝ้าอ้อนวอนขออนุญาตลาบวชหลายครั้ง จนในที่สุดบิดามารดาไม่อาจขัดขวางความตั้งใจจริงของท่านได้ จึงได้อนุญาตให้บวชตามความปรารถนาแต่บิดาก็ได้กล่าวในน้ำเสียงที่ออกจะเป็นการประชดว่า “ถ้าบวชแล้วต้องไม่สึก หรืออย่างน้อยต้องให้ได้เป็นเจ้าอาวาส”

ความจริงคุณปู่ของท่านเคยบวชและได้เป็นเจ้าอาวาสมาแล้ว ด้วยเหตุนี้กระมังที่มีส่วนส่งเสริมอุปนิสัยของท่านให้โน้มเอียงไปทางบรรพชาตั้งแต่เยาว์วัย คือมีอุปนิสัย รักการบุญ และเกรงกลัวบาป มิได้เพลิดเพลินคึกคะนองไปในวัยหนุ่มเหมือนคนทั่วๆ ไป

เมื่อหลวงปู่ได้รับอนุญาตให้บวชเมื่อท่านอายุได้ ๒๒ปี พวกตระกูลเจ้าเมืองที่เคยชุบเลี้ยงท่าน ได้เป็นผู้จัดแจงเรื่องการบวชให้ครบถ้วนทุกอย่าง

หลวงปู่ได้เข้าอุปสมบทก่อนเข้าพรรษา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ ณ พัทธสีมา วัดจุมพลสุทธาวาส ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองรอบนอก ของจังหวัดสุรินทร์ในสมัยนั้น โดยมีท่าน พระครูวิมลสีลพรต (ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูปึก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระครูฤทธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ในการอุปสมบทครั้งนี้ ท่านอุปสมบทในคณะ “มหานิกาย” ทั้งนี้เพราะ “คณะธรรมยุต” ในสมัยนั้นยังไม่มีในจังหวัดสุรินทร์

หลวงปู่ได้รับฉายาว่า “อตุโล” หมายถึง “ผู้ไม่มีใครเทียบได้”

นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็เท่ากับเป็นบาทก้าวแรก แห่งการแสวงหาความจริงบนเส้นทางธรรมของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล อันเป็นความจริงที่นำไปสู่การดับทุกข์อย่างถึงที่สุดและสิ้นเชิง

๔. ปีติ ๕ : การฝึกกัมมัฏฐานครั้งแรก

เมื่อได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงปู่มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะศึกษาธรรมให้ยิ่งขึ้นเป็นลำดับ เมื่อดำริอย่างนั้น จึงได้ไปขอจำพรรษาที่ วัดบ้านคอโค ตำบลคอโค ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของท่านไปทางตะวันออก ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ออกไปประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ต้องเดินทางด้วยเท้าฝ่าป่ารกชัฏไป

ที่วัดคอโคได้ชื่อว่า เป็นวัดที่สอนการเจริญกัมมัฏฐานฐานของจังหวัดสุรินทร์ในสมัยนั้น มี หลวงพ่อแอก เป็นเจ้าอาวาส และเป็นครูฝึกกัมมัฏฐานท่านแรกสำหรับหลวงปู่

การสอนพระกัมมัฏฐาน และการอบรมความรู้ด้านพระศาสนาเมื่อสมัย ๑๐๐ ปีที่แล้ว เป็นการกระทำไปตามมีตามเกิด ถือความเห็นของครูอาจารย์เป็นหลัก

วิธีสอนกัมมัฏฐานของ หลวงพ่อแอกในครั้งนั้น ท่านให้เริ่มต้นด้วยการจุดเทียนขึ้นมา ๕ เล่ม แล้วนั่งบริกรรมว่า “ขออัญเชิญปีติทั้ง ๕ จงมาหาเรา” บริกรรมไปจนกว่าเทียนจะไหม้หมด จัดว่าเป็นกุศโลบายที่แยบยลเท่าที่มีในสมัยนั้น

หลวงปู่ได้พากเพียรปฏิบัติดามคำชี้แนะของพระอาจารยอย่างเคร่งครัดใช้ความอุตสาหะ และพยายามท่องบ่นบริกรรมไปจนตลอดพรรษา โดยมิได้ลดละ แต่ก็ไม่บังเกิดผลอันใด

จนแล้วจนรอด ความรู้สึกอิ่มใจ ความดื่มด่ำที่เรียกว่า "ปีติทั้ง ๕" ไม่ได้ปรากฏขึ้นในดวงหทัย

ไม่ว่าจะเป็น “ขุททกาปีติ” หรือปีติเล็กน้อย พอขนชูชัน น้ำตาไหล

หรือ “ขณิกาปีติ” ได้แก่ บีติชั่วขณะ ทำให้รู้สึกแปลบๆ เป็นขณะ ๆ ดุจฟ้าแลบ

หรือ “โอกกันติกาปีติ” ได้แก่ ปีติเป็นระลอก หรือ ปีติเป็นพักๆ ให้รู้สึกซ่าลงมาๆ ในกาย ดุจคลื่นซัดต้องฝั่ง

หรือ “อุพเพงคาปีติ” คือ ปีติโลดลอย เป็นอย่างแรง ให้รู้สึกใจฟูแสดงอาการบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจ เช่นเปล่งอุทานเป็นต้น หรือให้รู้สึกตัวเบาโลดลอยขึ้นในอากาศ

ตลอดจน “ผรณาปีติ” คือ ปีติซาบซ่าน ให้รู้สึกเย็นซ่านแผ่เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ อันเป็นปีติที่ประกอบกับสมาธิกระทั่งนำไปสู่จิตรวม

หลวงปู่เคยกล่าวถึงจิตรวมว่า “เมื่อจิตรวมสงบแล้ว คำบริกรรมก็หลุดหายไปเอง แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมีวิมุตติเป็นแก่น มีปัญญาเป็นยิ่ง”

การเพียรพยายามของหลวงปู่ตลอดทั้งไตรมาสในครั้งนั้น ไม่บังเกิดผลเลย ได้เห็นแต่เทียน ๕ เล่ม มิได้บังเกิดปีติ ๕ ตามความปรารถนา

หลวงปู่ได้ให้ข้อสังเกตในภายหลัง เมื่อท่านผ่านการปฏิบัติกระทั่งได้พบธรรมะในใจแล้ว ท่านให้ข้อสรุปจากประสบการณ์แห่งธรรมปฏิบัติของท่านว่า

“การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น เพราะจิตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องสร้างวัตถุ สีแสง และคำสำหรับบริกรรม เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน”

นอกจากหลวงปู่จะฝึกบริกรรมเพื่ออัญเชิญปีติทั้ง 5 ตามที่กล่าวแล้ว ท่านยังทดลองฝึกทรมานร่างกายเพื่อเผาผลาญกิเลสในตัว เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วยการเข้มงวดกวดขันในการขบฉันอาหาร โดยลดจำนวนคำข้าวที่ฉันให้น้อยลงไปเรื่อยๆ เช่นวันก่อนเคยฉัน ๑๐ คำ วันต่อมาลดเหลือ ๙ คำ ๘ คำ ลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายซูบผอม ยามลุกขึ้นเดินก็โซเซ ไม่มีเรี่ยวแรง

เมื่อฝึกทรมานร่างกายด้วยการอดอาหารติดต่อกันหลายวัน หลวงปู่ก็พบว่ามิได้มีผลอะไร นอกจากร่างกายซูบผอม อ่อนโรยพลัง ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจเลิก แล้วก็กลับมาฉันอาหารดังเดิม

นอกจากปฏิบัติกัมมัฏฐานฐาน และฝึกทรมานร่างกาย ตามวิถีแห่งโยคะแล้ว หลวงปู่ก็ได้ท่องบ่นบทสวดมนต์ เจ็ดตำนาน บ้าง สิบสองตำนาน บ้าง แต่ไม่ได้เรียนพระธรรมวินัย ซึ่งถือเป็นข้อวัตรปฏิบัติเพื่อฝึกฝนขัดเกลา กาย วาจา ใจ เพื่อให้เป็นรากฐานของสมาธิภาวนา หลวงปู่ไม่ทราบในเรื่องนี้ เพราะไม่ได้รับการบอกกล่าวแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ท่านยังถูกใช้ให้สร้างเกวียน และเลี้ยงโคอีกด้วย ท่านจึงเกิดความรู้สึกสลดสังเวช และเกิดความเบื่อหน่าย แต่ท่านก็อดทนอยู่นานถึง ๖ พรรษา

๕. ไปศึกษาพระปริยัติที่จังหวัดอุบลฯ

ในช่วงทศวรรษที่ ๒๔๕๐ ตลอดทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษาในแวดวงสงฆ์คึกคักอย่างยิ่งที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ด้วยการริเริ่มสร้างสรรค์ของท่านเจ้าประคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) และด้วยการสานเสริมเติมต่อของพระเดชพระคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสสมหาเถระ) จนกล่าวได้ว่า จังหวัดอุบลราชธานีเป็นทิศาปาโมกข์ของผู้รักการเรียนในพระปริยัติธรรมโดยแท้

ในปี พ ศ. ๒๔๕๘ ขณะที่หลวงปู่ดูลย์ยังพำนักที่วัดบ้านคอโค ท่านก็ได้ยินกิตติศัพท์ เกี่ยวกับการสอนการเรียนพระปริยัติ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ตามแบบของมหามกุฎราชวิทยาลัย แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร หลวงปู่มีความปีติอย่างล้นพ้นเมื่อได้ทราบข่าวนี้ และมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะได้เดินทางไปศึกษายังจังหวัดอุบลฯ

หลวงปู่ได้เพียรขออนุญาตพระอุปัชฌาย์ที่จะเดินทางไปศึกษา แต่ก็ถูกทัดทานในเบื้องต้น เพราะในระยะนั้นการเดินทางจากสุรินทร์ไปอุบลราชธานีลำบากยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง

หลวงปู่เพียรขออนุญาตหลายครั้ง เมื่อพระอุปัชฌาย์เห็นความมุ่งมั่นของหลวงปู่ จึงได้อนุญาต ท่านได้ออกเดินทางไปกับพระภิกษุอีก ๒ องค์ คือ พระคง และ พระดิษฐ์

เมื่อท่านได้เดินทางไปถึงอุบลราชธานี หลวงปู่ต้องประสบปัญหาในเรื่องที่พัก เนื่องจากหลวงปู่บวชในมหานิกาย ขณะที่ วัดสุปัฏนาราม และ วัดสุทัศนาราม แหล่งศึกษาพระปริยัติธรรมนั้นเป็นวัดฝ่ายสงฆ์ธรรมยุติ

    

โชคดีที่ได้พบ พระมนัส ซึ่งได้เดินทางมาเรียนอยู่ก่อนแล้ว ได้ให้ความช่วยเหลือ ฝากให้อยู่อาศัยที่ วัดสุทัศนาราม ได้ แต่ในฐานะพระอาคันตุกะ ทำให้ความราบรื่นในทางการเรียนค่อยบังเกิดขึ้นเป็นลำดับ

การเล่าเรียนพระปริยัติธรรมในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๐ กว่าๆ นั้น เป็นไปอย่างเข้มงวด “การไล่” หรือการสอบพระธรรมบท หรือ วินัยมุขต่างๆ นั้น ผู้สอบจะถูกไล่เรียงซักถามเป็นรายตัว ตามเนื้อหาที่เรียนมาเป็นบทๆ จนจบ ผู้ที่สอบได้จึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความเพียรพยายามอย่างที่สุด

หลวงปู่สามารถสอบไล่ได้ ประกาศนียบัตรนักธรรมชั้นตรี นวกภูมิ เป็นรุ่นแรกของจังหวัดอุบลราชธานี นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงในสมัยนั้น

นอกจากนี้หลวงปู่ยังได้เรียน บาลีไวยากรณ์ (มูลกัจจายน์) ด้วย เพราะความหมายแห่ง “บาลี” คือภาษาที่ได้จดจำและจารึกรักษาพุทธพจน์แต่เดิมมา อันเป็นหลักในทางพระพุทธศาสนา ดังนั้นการศึกษาเล่าเรียนในทางปริยัติธรรม โดยเนื้อแท้ก็คือการศึกษาภาษาบาลีนั่นเอง

หลวงปู่ได้เรียนบาลีไวยากรณ์จนสามารถแปลพระธรรมบทได้

แม้จะนำความรู้ในระดับ “นักธรรมตรี” ไปเทียบกับ “เปรียญธรรม ๙ ประโยค” ซึ่งเป็นคุณวุฒิสูงสุดในทางปริยัติธรรม อาจถือได้ว่าห่างไกลกันเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับนำความรู้ระดับชั้นประถมปีที่ ๑ ไปเทียบกับปริญญาเอกก็น่าจะได้

แต่สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การศึกษาในทางปริยัติธรรมของหลวงปู่นั้น เกิดขึ้นในทศวรรษ ๒๔๕๐ เช่นเดียวกับการศึกษาในทางโลกเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน การได้เรียนถึงระดับประถมปีที่ ๑ หรือ ๒ ก็นับว่ายอดเยี่ยมล้ำเลิศแห่งยุคสมัยแล้ว

ภายหลังต่อมา เมื่อหลวงปู่มีพรรษาแก่กล้า ผ่านประสบการณ์ด้านธรรมปฏิบัติมามาก และมาตั้งโรงเรียนสอนปริยัติธรรมที่วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์แล้ว คราวหนึ่งที่นักเรียนของท่าน มีพระภิกษุสอบเปรียญธรรม ๙ ประโยคได้เป็นองค์แรก และในงานฉลองพัดประโยค ๙ ในครั้งนั้นหลวงปู่ได้ให้โอวาทในเชิงปรารภธรรมว่า

“ผู้ที่สามารถสอบเปรียญ ๙ ประโยคได้นั้น ต้องมีความเพียรอย่างมากและมีความฉลาดเพียงพอ เพราะถือว่าเป็นการจบหลักสูตรฝ่ายปริยัติ และต้องแตกฉานในพระไตรปิฎก การสนใจในทางปริยัติอย่างเดียวพ้นทุกข์ไม่ได้ต้องสนใจปฏิบัติทางจิตต่อไปอีกด้วย”

โดยไม่ต้องตั้งคำถามว่า “ทำไม” หลวงปู่ก็ให้คำอธิบายสั้นๆ ว่า

“พระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ออกไปจากจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากจิตใจ อยากรู้อะไรค้นได้ที่จิต”

ที่หลวงปู่กล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่า หลวงปู่จะมองข้ามบทบาทและความหมายของปริยัติ เนื่องเพราะการศึกษาในทางปริยัตินั้น เป็นรากฐานหรือสะพานอันก่อให้เกิดความรู้ ที่จะเชื่อมโยงไปสู่ความเข้าใจในธรรมะ แต่จะขาดการปฏิบัติไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ปริยัติเพียงอย่างเดียว พ้นทุกข์ไม่ได้ ปัจจัยชี้ขาดโดยแท้จริงอยู่ที่การปฏิบัติทางจิต

๖. เข้าสู่สงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

เมื่อหลวงปู่ประสบผลสำเร็จในการเล่าเรียนด้านปริยัติในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่ยังคงค้างคาในใจของท่านในขณะนั้นก็คือ ความต้องการที่จะเปลี่ยนจากนิกายเดิม มาเป็น ธรรมยุติกนิกาย หรือ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ

(คณะสงฆ์ได้แบ่งลักษณะการบริหารออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายคันถธุระ ซึ่งเป็น มหานิกาย กับฝ่าย วิปัสสนาธุระ ซึ่งเป็น ธรรมยุติกนิกาย ทั้ง ๒ ฝ่ายปฏิบัติธรรมเพื่อความสำเร็จในเป้าหมายเดียวกัน แต่ฝ่ายมหานิกายเน้นทางสร้างฐานพระศาสนา คือ สอนคนทั่วไป ส่วนฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เน้นการฝึกตนเองไปสู่ความหลุดพ้น)

แม้หลวงปู่จะมีความต้องการญัตติใหม่อย่างยิ่งก็ตาม แต่หาได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่น ทั้งนี้มิใช่ว่าหลวงปู่ของเราจะอ่อนด้อยไม่เหมาะสม หากแต่พระเถระผู้ใหญ่มีสายตายาวไกลมากกว่า

กล่าวคือ พระธรรมปาโมกข์ (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลในขณะนั้นเห็นว่า

“อยากให้ท่านเล่าเรียนไปก่อน ไม่ต้องญัตติ”

พระคุณเจ้าได้ชี้แจงเหตุผลว่า

"เนื่องจากทางคณะสงฆ์ธรรมยุติ มีนโยบายจะให้ท่านกลับไปพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม ที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเดิมของท่าน ให้เจริญรุ่งเรือง เพราะถ้าหากรับญัตติแล้ว เมื่อท่านกลับไปสุรินทร์ ท่านจะต้องอยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากไม่มี วัดฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัดสุรินทร์เลย”

สำหรับ พระธรรมปาโมกข์ องค์นี้ก็คือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสสเถระ ในเวลาต่อมานั่นเอง ท่านเป็นพระอาจารย์ผู้แรกเริ่มสอนพระปริยัติธรรมในภาคอีสาน โดยเปิด สำนักเรียนอุบลวิทยาคมวัดสุปัฏนาราม ในเมืองอุบลราชธานี ทำให้การศึกษาภาษาบาลีและธรรม ได้แพร่กระจายไปทั่วมณฑลอีสานเป็นลำดับมา

แม้พระผู้ใหญ่จะทัดทานการญัตติของหลวงปู่ดูลย์จะเปี่ยมด้วยเจตนาอันดี แต่หลวงปู่มิได้มีความประสงค์จะกลับไปสอนพระปริยัติธรรมที่จังหวัดสุรินทร์

แท้จริงแล้ว หลวงปู่ต้องการเป็นพระนักปฏิบัติ ดังนั้นความเพียรในการขอญัตติ จึงยังดำเนินต่อไป

จะสังเกตได้ว่า การดำรงและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของหลวงปู่ มักจะเริ่มต้นด้วยการมีอุปสรรคเสมอ และท้ายสุดก็สำเร็จลงได้ด้วยความพยายามและความตั้งใจจริงของท่าน ซึ่งการญัตติในครั้งนี้ก็เช่นกัน

เหตุการณ์ต่อมาซึ่งจะนับว่าเป็นโชคของหลวงปู่ก็ว่าได้ ที่ท่านได้มีโอกาสรู้จักคุ้นเคยกับ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งท่านรับราชการครู ทำหน้าที่สอนฆราวาส ทั้งที่ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ที่วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี

หลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่หลวงปู่ดูลย์อ่อนพรรษากว่า

หลวงปู่ทั้งสององค์มีความสนิทสนมกันขึ้นเป็นลำดับ หลวงปู่สิงห์เห็นปฏิปทาในการศึกษาเล่าเรียน พร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติกิจในพระศาสนาของหลวงปู่ดูลย์ ว่าเป็นไปด้วยความตั้งใจจริง จึงได้รับเป็นภาระในเรื่องการขอญัตติจนกระทั่งประสบผลสำเร็จ

ดังนั้นใน พ.ศ. ๒๔๖๑ ขณะเมื่ออายุ ๓๐ ปี หลวงปู่จึงได้ญัตติจากนิกายเดิม มาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมา วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระศาสนดิลก (ชิตเสโน เสน) เจ้าคณะมณฑลอุดร เป็นพระกรรมวาจาจารย์)

หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมนับเป็นกัลยาณมิตรอันยอดเยี่ยมของหลวงปู่

กล่าวในทางประวัติความเป็นมา หลวงปู่สิงห์ เป็นพระภิกษุที่สอนหนังสือให้ฆราวาส ภายหลังที่ท่านได้กราบนมัสการ หลวงปู่มั่น - พระอาจารย์ใหญ่ เป็นลำดับมา ภายในห้วงนึกคิดของท่านก็เริ่มแปรเปลี่ยน เนื่องจากเพราะคำชักชวนของพระอาจารย์ใหญ่ ดังกึกก้องในโสตประสาทเสมอ

“การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์จะต้องปฏิบัติกรรมฐาน คือ พิจารณา ตจปัญจกกัมมัฏฐาน เป็นเบื้องแรกเพราะเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง”

กล่าวกันว่า จากการฝึกปฏิบัติภาวนาตามคำแนะนำของ หลวงปู่มั่น อย่างเอาจริง ถึงกับ หลวงปู่สิงห์ มองเห็นศิษย์อันเป็นฆราวาส ทั้งชายหญิง กลายเป็นโครงกระดูกน้อยใหญ่ นั่งเรียน และเคลื่อนไหว ด๊อกแด๊ก ด๊อกแด๊ก อยู่ในชั้นเรียนที่ท่านกำลังสอนอยู่ พอวันรุ่งขึ้น ท่านก็สะพายกลดธุดงค์ ออกบำเพ็ญเพียรตามป่าเขาลำเนาไพร ตั้งแต่นั้นมา

หลวงปู่สิงห์ ได้รับสมญาว่าเป็น แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม นั่นคือท่านได้รับมอบหมายภาระจาก หลวงปู่มั่น ให้นำพระภิกษุสงฆ์สายพระกัมมัฏฐานออกทำการเผยแผ่ธรรมะในแนวปฏิบัติ จนกระทั่งแพร่หลายมาจนทุกวันนี้

ช่วงหลังสุด หลวงปู่สิงห์ ก็ได้มาสร้าง วัดป่าสาลวัน ที่จังหวัดนครราชสีมาและพำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้ จนวาระสุดท้ายในชีวิตของท่าน

หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม นับเป็นกัลยาณมิตรอันยอดเยี่ยมของหลวงปู่ดูลย์ นอกจากรับเป็นภาระช่วยให้หลวงปู่ได้ญัตติอยู่ในฝ่ายธรรมยุตแล้ว ต่อมาได้นำพาให้หลวงปู่เข้าเป็นศิษย์ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐานอีกด้วย

นับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงยิ่งในชีวิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโลของเรา

๗. เข้าเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

เมื่อหลวงปู่ญัตติเข้าเป็นสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตแล้ว ท่านก็มีสิทธิ์เป็นพระอยู่ในวัดสุทัศนารามได้อย่างสมบูรณ์ มิใช่อยู่เยี่ยงพระอาคันตุกะเหมือนเมื่อก่อน กิจกรรมการเรียนด้านปริยัติของท่านยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่เมื่อเข้ามาอยู่ใต้ชายคาแห่งสายวิปัสสนาธุระแล้ว ข้อวัตรปฏิบัติก็มีความเคร่งครัดรัดกุมมากขึ้น ทำให้ท่านมีใจใฝ่ศึกษา โดยเน้นการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ในช่วงระหว่างทศวรรษ ๒๔๖๐ นั้น ไม่เพียงแต่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสสเถระ เท่านั้นที่ทรงบทบาทเป็นอย่างสูง ด้านพระพุทธศาสนาในภาคอีสาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอุบลราชธานี

อีกท่านหนึ่งที่ได้รับความเคารพรัก และศรัทธาเป็นอย่างสูง ก็คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่สายพระกรรมฐาน

เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ หลวงปู่มั่น เดินทางจาก วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ มาพำนักที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี

นับเป็นข่าวใหญ่ แพร่กระจายไปในหมู่สงฆ์และประชาชนทั่วไป ทำให้บรรดาพระภิกษุสามเณร และชาวบ้านร้านตลาดทั้งปวง พากันแตกตื่นหลั่งไหลไปฟังธรรมเทศนาของ หลวงปู่มั่น กันเป็นโกลาหล

หลวงปู่สิงห์ ได้ชักชวน หลวงปู่ดูลย์ ไปกราบเพื่อฟังเทศน์ และศึกษาธรรมะจาก พระอาจารย์ใหญ่ ที่วัดบูรพา เช่นเดียวกับคนอื่นๆ

พระอาจารย์ใหญ่ กล่าวเมื่อพบหน้า หลวงปู่สิงห์ว่า

"เราได้รอเธอมานานแล้ว อยากจะพบและชักชวนไปปฏิบัติธรรมด้วยกัน"

พระอาจารย์ใหญ่มั่นได้กล่าวในตอนนั้นอีกว่า

“การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์จักต้องปฏิบัติกัมมัฏฐาน คือ พิจารณา ตจปัญจกกัมมัฏฐาน เป็นเบื้องแรก เพราะเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง”

จากนั้นหลวงปู่สิงห์ กับ หลวงปู่ดูลย์ ก็ถวายตัวเป็นศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ตลอดมา

หลวงปู่ทั้งสององค์พากันไปฟังเทศน์จากพระอาจารย์ใหญ่เป็นประจำไม่เคยขาดแม้สักครั้งเดียว

นอกจากจะได้ฟังธรรมะแปลกๆ ที่สมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ มีความลึกซึ้ง รัดกุม และกว้างขวาง เป็นที่น่าอัศจรรย์แล้ว ยังมีโอกาสเฝ้าสังเกตปฏิปทาของท่านพระอาจารย์ใหญ่ ที่งดงามเพียบพร้อม น่าเลื่อมใสทุกอิริยาบถอีกด้วย ทำให้เกิดความซาบซึ้งถึงใจ แต่ละคำพูดมีนัยแปลกดี ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน จึงทำให้หลวงปู่ทั้งสององค์เพิ่มความสนใจใคร่ประพฤติปฏิบัติทางธุดงค์กัมมัฏฐานให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป

การศึกษาเล่าเรียนด้านพระปริยัติธรรมของหลวงปู่ดูลย์มีความก้าวหน้าตามลำดับ ท่านได้พิจารณาตามข้อธรรมเหล่านั้นจนแตกฉานช่ำชองพอสมควรและได้พิจารณาเห็นว่า การเรียนพระปริยัติธรรมอย่างเดียวนั้น เป็นแต่เพียงการจำหัวข้อธรรมะได้เท่านั้น ส่วนการปฏิบัติให้เกิดผล และรู้รสพระธรรมอย่างซาบซึ้งนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

หลวงปู่จึงบังเกิดความโน้มเอียงไปในทางปฏิบัติ คือ ธุดงค์กัมมัฏฐานอย่างแน่วแน่จึงได้ตัดสินใจที่จะออกธุดงค์กัมมัฏฐานฐานในฤดูหลังออกพรรษานั้นอย่างแน่นอน เป็นเหตุให้การเรียนทางปริยัติธรรมในห้องเรียนของท่านเป็นอันสิ้นสุดลง

ต่อไปคือการเข้าสู่ห้องเรียนที่เป็นธรรมชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลประกอบทั้งดินฟ้ามหาสมุทร รวมทั้งการเสาะแสวงหาตัวเองในโลกภูมินี้ก็กว้างไกลสุดแสนเหลือที่จะประมาณได้

. ออกธุดงค์

การบวชของ หลวงปู่ดูลย์ นั้น ความจริงท่านมิได้มีเจตนาที่จะรุ่งโรจน์ทางด้านปริยัติธรรม หรือด้านการปกครอง ถึงแม้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ติสสมหาเถระ ตั้งความหวังไว้ว่า จะให้หลวงปู่เป็นผู้นำในการเผยแผ่ และปกครอง เสมือนเป็นหูเป็นตาแทนท่านในเขตเมืองสุรินทร์ก็ตาม

แต่เนื้อแท้และความปรารถนาอย่างแท้จริงของหลวงปู่ คือ การออกปฏิบัติปรารภความเพียรในความวิเวกต่างหาก  เป็นความต้องการที่เคยมาดหมายไว้เมื่อแรกบวชที่จังหวัดสุรินทร์ และที่อุตส่าห์รอนแรมมาจังหวัดอุบลราชธานีก็เพื่อการนี้

ด้วยความตั้งใจของท่าน และเมื่อ หลวงปู่สิงห์ ออกปากชวนให้ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขาแห่งภาคอีสาน จึงสอดรับกับความต้องการของหลวงปู่อย่างดียิ่ง

ครั้นออกพรรษาแล้ว เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๖๑ นั้นเอง หลวงปู่มั่น พระอาจารย์ใหญ่ ก็ออกธุดงค์อีก หลวงปู่ทั้งสองสหาย คือ หลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ก็ตัดสินใจเด็ดขาด และละทิ้งการเรียนการสอน ออกจาริกธุดงค์ติดตามพระปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ไปทุกหนทุกแห่ง จนตลอดฤดูกาลนอกพรรษานั้น

ตามธรรมเนียมธุดงค์กัมมัฏฐานฐานของ พระอาจารย์ใหญ่มั่น นั้นมีอยู่ว่า เมื่อถึงกาลเข้าพรรษา ไม่ให้จำพรรษารวมกันมากเกินไป ให้แยกย้ายกันไปจำพรรษาตามสถานที่อันวิเวก ไม่ว่าจะเป็นวัด เป็นป่า เป็นเขา โคนไม้ ลอมฟาง เรือนว่าง หรืออะไรตามอัธยาศัยของแต่ละบุคคล แต่ละคณะ

ขณะเดียวกัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็จะถึงวาระแห่งการประชุมกันหากทราบข่าวว่า พระอาจารย์ใหญ่มั่นอยู่ ณ ที่ใด ก็จะพากันไปจากทุกทิศทางมุ่งตรงไปยัง ณ ที่นั้น

ความประสงค์ก็เพื่อเรียนพระกัมมัฏฐาน และเล่าแจ้งถึงผลของการประพฤติปฏิบัติที่ผ่านมา

เมื่อมีอันใดผิด พระอาจารย์ใหญ่ ก็จะช่วยแนะนำแก้ไข อันใดถูกต้องดีแล้วท่านจะได้แนะนำข้อกัมมัฏฐานให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

ในพรรษาแรกที่ร่วมออกธุดงค์ติดตาม พระอาจารย์ใหญ่มั่น นี้หลวงปู่บอกว่ายังไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เป็นการฝึกการใช้ชีวิตแบบพระป่าและใช้หลักความรู้ในการฝึกปฏิบัติเบื้องต้นเป็นการสร้างฐานความรู้ให้มั่นคง

สำหรับผู้ที่มีความตั้งใจจริงอย่างหลวงปู่แล้ว ท่านไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ ท่านได้เร่งการฝึกปฏิบัติความเพียรอย่างเคร่งครัด โดยมี ฉันทะ คือ ความเชื่อมั่นและศรัทธาในความสำเร็จ ที่หวังว่าจะต้องเกิดขึ้นในตัวท่านอย่างแน่นอน

จากการได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์ใหญ่ตลอดการออกธุดงค์ในช่วงนี้ ทำให้หลวงปู่เกิดความเลื่อมใสในแนวทางธุดงค์กัมมัฏฐานเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อใกล้ฤดูกาลเข้าพรรษาในปีนั้น (พ.ศ. ๒๔๖๓) คณะของหลวงปู่ซึ่งนำโดยหลวงปู่สิงห์ ก็แยกย้ายจากพระอาจารย์ใหญ่ พาหมู่คณะแสวงหาที่สงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญเพียรในช่วงเข้าพรรษาต่อไป

. เหนือความตาย

คณะที่นำโดย หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ก็มี พระอาจารย์บุญ พระอาจารย์สีทา พระอาจารย์หนู และ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล รวม ๕ องค์ เมื่อแยกทางจาก พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต แล้ว ก็เดินธุดงค์เลียบเทือกเขาภูพานไปเรื่อยๆ

เมื่อถึง ป่าท่าคันโท อำเภอท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ได้พิจารณาเห็นว่าสภาพป่าแถบนั้นมีความเหมาะสมที่จะอยู่จำพรรษา จึงได้สมมติขึ้นเป็น สำนักป่าท่าคันโท แล้วทั้ง ๕ องค์ ก็อธิษฐานอยู่จำพรรษา ณ สถานที่นั้น

เมื่อพิจารณาที่จำพรรษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกองค์ก็ตั้งสัจจะปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ดำเนินข้อวัตรปฏิบัติ ตามคำอบรมสั่งสอนของพระอาจารย์ใหญ่ อย่างสุดชีวิต

ป่าท่าคันโท แถบเทือกเขาภูพานในสมัยนั้น ยังรกชัฏ อุดมไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด ที่ร้ายกาจก็คือ มีไข้ป่าชุกชุม ชาวบ้านเรียกว่า “ไข้หนาว” ใครก็ตามที่เป็น จะมีอาการหนาวสั่นเหมือนมีคนจับกระดูกเขย่าให้โยกคลอนไปทั้งกาย

ปรากฏว่าพระทุกองค์ ยกเว้น พระอาจารย์หนู เพียงองค์เดียว ที่ไม่ถูกพิษไข้หนาวเล่นงานเอา นอกนั้นต่างล้มเจ็บ ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสด้วยกันทั้งสิ้น

ในท่ามกลางป่าทึบดงเถื่อนเช่นนั้น หยูกยาอะไรก็ไม่มี ได้แต่เยียวยาช่วยรักษากันไปตามมีตามเกิด

ในกลางพรรษา พระสหธรรมิกรูปหนึ่งก็ถึงแก่มรณภาพไปต่อหน้าต่อตา ยังความสลดสังเวชให้กับหมู่เพื่อนเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ความตายมิอาจทำให้เกิดความหวั่นไหวรวนเร ในหมู่พระนักปฏิบัติทั้ง ๔ รูปที่เหลืออยู่

เมื่อจัดการฝังสรีระของพระสหธรรมิกแล้ว ต่างองค์ต่างก็รีบเร่งความเพียรหนักยิ่งขึ้น เสมือนหนึ่งจะช่วงชิงชัยชนะเหนือความตายที่รุกคืบเข้ามา

เบื้องหน้าคือความตาย เบื้องหลังคือความยากลำบาก เบื้องหน้าคือ การจากพระสหธรรมิกที่ร่วมเดินทางกันมา นับเป็นบททดสอบอันเด็ดขาดยิ่ง ที่ต้องเผชิญเป็นครั้งแรกในชีวิตธุดงค์ของหลวงปู่

สำหรับหลวงปู่ดูลย์ เมื่อต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ ก็ได้อาศัยความสำเหนียกรู้ เผชิญกับความตายอย่างเยือกเย็น

ความเป็นจริงที่เห็นและเป็นอยู่ก็คือ การเผชิญกับโรคาพยาธิ ขณะที่หยูกยาขาดแคลนอย่างน่าใจหาย

หลวงปู่เกิดความคิดขึ้นในใจว่า สิ่งที่จะพึ่งได้ในยามนี้ก็มีแต่ อำนาจพุทธคุณเท่านั้น แม้ท่านจะได้รับพิษไข้อย่างแสนสาหัสด้วยใจอดทนและมุ่งมั่นท่านได้ระลึกถึงพุทธคุณแล้วตั้งสัจวาจาอย่างแม่นมั่นว่า

“ถึงอย่างไร ตัวเราคงไม่พ้นเงื้อมมือแห่งความตายในพรรษานี้แน่แล้ว แม้เราจักตาย ก็จงตายในสมาธิภาวนาเถิด”

จากนั้นหลวงปู่ก็เริ่มปรารภความเพียร ตั้งสติให้สมบูรณ์เฉพาะหน้า ธำรงจิตให้อยู่ในสมาธิอย่างมั่นคงทุกอิริยาบถ พร้อมทั้งพิจารณาความตาย คือ ใช้เวทนานุสติกัมมัฏฐานเป็นอารมณ์ โดยมิได้ย่อท้อพรั่นพรึงต่อมรณภัยที่กำลังคุกคามจะมาถึงตัวในไม่ช้านี้เลย

เมื่อไม่หวาดหวั่นต่อความตายแล้ว ความตายจะมีบทบาทและความหมายอะไรอีกเล่า !

๑๐. แยกจิตออกจากกิเลส

ณ ป่าท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ นี้เอง แม้จะเป็นพรรษาแรกของการปฏิบัติกัมมัฏฐานก็ตาม แต่ด้วยความพยายามและด้วยปณิธานอันแน่วแน่ไม่ลดละ ผลแห่งการปฏิบัติก็เริ่มบังเกิดขึ้นอย่างเต็มภาคภูมิ

กล่าวคือในระหว่างที่นั่งภาวนา ซึ่งเริ่มตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงตอนดึกสงัดจิตของท่านค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบ เกิดความปีติชุ่มเย็น แล้วเกิดนิมิตที่ชัดเจนคือได้เห็นองค์พระพุทธรูปปรากฏขึ้นในตัวท่าน สวมทับร่างของท่านได้สัดส่วนพอดี จนดูประหนึ่งว่า ตัวท่านเองเป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง

ท่านพยายามพิจารณารูปนิมิตนั้นต่อไปอีก ก็จะเห็นเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอด แม้กระทั่งออกจากสมาธิแล้ว รูปนิมิตนั้นก็ยังเห็นติดตาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเช้า ได้เดินออกบิณฑบาตสู่ละแวกบ้านของชาวบ้านป่าแถบนั้น นิมิตก็ยังปรากฏอยู่เช่นนั้น ท่านสังเกตดูนิมิตนั้นไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้เอ่ยปากบอกใครเลย

ขณะเดินกลับจากบิณฑบาต ก่อนที่รูปนิมิตนั้นจะหายไป หลวงปู่ได้พิจารณาถึงตัวของท่านเอง ก็ปรากฏเห็นกระดูกทุกสัดส่วนอย่างชัดเจน ด้านนอกมีเนื้อและหนังหุ้มพันเอาไว้ เมื่อเพ่งพิจารณาต่อ ก็เห็นว่ากระดูกและเนื้อหนังเหล่านั้นล้วนแต่ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง

เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนั้น ท่านเกิดความรู้สึกไม่อยากฉันอาหารในวันนั้น แต่รู้สึกอิ่มเอิบจากการที่จิตเป็นสมาธิ จึงทำความเพียรต่อไป ก็ปรากฏว่ารูปนิมิตนั้นหายไป พอออกจากสมาธิแล้ว ปรากฏว่า ฤทธิ์ไข้ที่ท่านเป็นอยู่ก็หายไปสิ้น เหมือนถูกปลิดทิ้งไปตั้งแต่นั้น

นี่คือความมหัศจรรย์!

หลวงปู่เร่งกระทำความเพียรต่อไปอีก โดยเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้างสลับกันไปตลอดทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ด้วยอาศัยความอิ่มเอิบแห่งจิตที่เป็นสมาธิ

เมื่อจิตสงบได้ที่ พลันก็บังเกิดแสงแห่งพระธรรมปรากฏแก่จิตของท่านอย่างแจ่มแจ้งจนกระทั่งสามารถแยกจิตกับกิเลสออกจากกันได้

รู้ได้ชัดเจนว่าอะไรคือจิต และอะไรคือกิเลส

จิตปรุงกิเลส หรือ กิเลสปรุงจิต

และเข้าใจสภาพเดิมของจิตที่แท้จริงได้

ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังรู้ได้อย่างแจ่มแจ้งด้วยว่า   กิเลสส่วนไหนละได้แล้ว และส่วนไหนบ้างที่ยังละไม่ได้

ในครั้งนั้นหลวงปู่ยังไม่ไต้เล่าให้ใครฟัง นอกจากบอกหลวงปู่สิงห์ให้ทราบเพียงว่า จิตของท่านเป็นสมาธิเท่านั้น ซึ่งหลวงปู่สิงห์ก็ชมว่า “ท่านมาถูกทางแล้ว” และอนุโมทนาสาธุด้วย

หลวงปู่รู้สึกบังเกิดความแจ่มแจ้งในตนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน รอให้ถึงเวลาออกพรรษา จะได้ไปกราบเรียนให้พระอาจารย์ใหญ่ทราบ และขอคำแนะนำในการปฏิบัติขั้นต่อไป

๑๑. กราบนมัสการหลวงปู่มั่น

กาลเวลาที่รอคอยได้มาถึง เมื่อออกพรรษาในปีนั้น ซึ่งเป็นปี พ.ศ. ๒๔๖๕ พระที่จำพรรษา ณ เสนาสนะป่าท่าคันโท กาฬสินธุ์ ต่างก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไปเพื่อตามหาพระอาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

หลวงปู่ดูลย์ ร่วมธุดงค์ไปกับหลวงปู่สิงห์ แล้วต่อมาก็แยกทางกันต่างองค์ต่างก็มุ่งตามหาพระอาจารย์ใหญ่ตามประสงค์

หลวงปู่ออกจาริกตามลำพังมาถึง หนองหาร จังหวัดสกลนคร แวะไปพำนักที่เกาะเกต อันถือกันในหมู่พระธุดงค์ว่าเป็นแดนแห่งความขลังและอาถรรพ์แรง ชาวบ้านในแถบนั้นต่างก็เกรงกลัวไม่กล้าเข้าไป และก็ขอร้องไม่ให้หลวงปู่เข้าไป เกรงท่านจะไม่ปลอดภัย

แต่หลวงปู่ของเรา กลับเห็นว่าสถานที่แห่งนั้นเหมาะสมที่จะบำเพ็ญภาวนาเพราะเป็นที่สงบสงัด ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปรบกวน เหมาะสมยิ่งนักที่จะตรวจสอบความแข็งแกร่งของจิต

หลวงปู่พำนัก ณ สถานที่แห่งนั้นหลายวัน แล้วจึงเดินทางต่อไปจนถึง บ้านตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน สกลนคร สอบถามชาวบ้านได้ความว่ามีพระธุดงค์จำนวนมากชุมนุมในป่าใกล้ๆ หมู่บ้านนั่นเอง หลวงปู่รู้สึกยินดีอย่างมากคิดว่าต้องเป็น พระอาจารย์ใหญ่มั่น อย่างแน่นอน

หลวงปู่รีบรุดไปสถานที่แห่งนั้น และพบว่าเป็นความจริง เห็นหลวงปู่สิงห์และพระรูปอื่นๆ นั่งด้วยอาการสงบ แวดล้อมพระอาจารย์ใหญ่อยู่

พระอาจารย์ใหญ่หันมาทางหลวงปู่ แล้วบอกแก่คณะว่า “โน้นๆ ท่านดูลย์มาแล้ว! ท่านดูลย์มาแล้ว!”

หลวงปู่มีความปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับรำพึงในใจว่า "ด้วยอำนาจพระพุทธคุณ ประสงค์อย่างไรก็สำเร็จอย่างนั้น”

หลวงปู่เข้าไปกราบนมัสการพระอาจารย์ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสุตซึ้ง ได้สนทนาธรรมกันอยู่นานพอสมควร โดยพระอาจารย์ใหญ่เป็นผู้สอบถามและหลวงปู่ดูลย์เป็นผู้กราบเรียน

ถึงตอนหนึ่งหลวงปู่ดูลย์กราบเรียนพระอาจารย์ใหญ่ว่า

“เดี๋ยวนี้กระผมเข้าใจแล้ว กระผมได้ทำความรู้จักกับกิเลสของกระผมได้ดีแล้ว คือ ถ้ารวมกันทั้งหมดแล้วแบ่งเป็น ๔ ส่วน ส่วนที่หนึ่ง กระผมละได้เด็ดขาดแล้ว ส่วนที่สองกระผมละได้ครึ่งหนึ่ง และส่วนที่สามกับส่วนที่สี่ กระผมยังละไม่ได้ขอรับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น พระอาจารย์ใหญ่จึงเอ่ยว่า “เก่งมาก ฉลาดมาก ที่สามารถรู้จักกิเลสของตนเอง และการปฏิบัติที่ผ่านมา ที่เล่าบอกนั้น ก็เป็นการถูกต้องดีแล้ว”

จากบทสนทนานี้ แสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญเพียรตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์ก็คือ การค้นหาความจริงของตนเอง เป็นการมองลึกลงไปในสภาพตัวตนที่เป็นจริงของตน และอีกประการหนึ่งเป็นการค้นหาสภาพความเป็นจริงแห่งกองทุกข์ นั่นคือกิเลส

เพราะหากไม่รู้จักตนเอง และไม่รู้จักกิเลส ก็ไม่รู้จักกองทุกข์ คือไม่รู้จักกองทุกข์ ก็ไม่สามารถดับทุกข์ให้หมดสิ้นไปได้ เป้าหมายสูงสุดคือสามารถดับทุกข์อย่างชนิดไม่มีเหลืออยู่เลย

พระอาจารย์ใหญ่ และหลวงปู่ดูลย์ ได้สนทนาธรรมกันด้วยความเคร่งเครียด จริงจัง แล้วพระอาจารย์ใหญ่ก็มอบการบ้านให้หลวงปู่ไปพิจารณา ความเป็นอนิจจังของสังขาร และภาวะแห่งการแปรเปลี่ยน โดยเริ่มจากกายและสังขารแห่งตน

โดยพระอาจารย์ใหญ่ได้บอกเป็นคำบาลีเป็นการบ้านให้หลวงปู่นำไปพิจารณาว่า “สพฺเพ สงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา”

นี่คือการบ้านที่พระอาจารย์ใหญ่มอบให้หลวงปู่ก่อนการอำลาในครั้งนั้น

๑๒. เป็นทุกข์เพราะความคิด

หลังจากหลวงปู่ดูลย์ได้รับคำแนะนำ พร้อมทั้งรับ “การบ้าน” จากพระอาจารย์ใหญ่แล้ว จึงได้กราบลาและปลีกตัวไปบำเพ็ญภาวนาตามลำพัง

หลวงปู่นั่งเข้าที่ทำสมาธิประเดี๋ยวเดียวจิตก็สงบ แล้วยกหัวข้อธรรมซึ่งเป็นการบ้านที่ว่า “สพฺเพ สงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา” ขึ้นพิจารณา เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็เกิดความสว่างแจ้งในธรรม คือเห็น “ปฏิจฺจสมุปฺปบาท” กระจ่างชัดตลอดสายนั่นคือ

เห็นความเป็นมาของสังขารทั้งหลายว่า เกิดจากความคิดปรุงแต่งของวิญญาณที่ได้รู้จากอายตนะของตนนั่นเอง เมื่อละสังขารเหล่านี้ได้ ความทุกข์ก็ดับหมดตลอดสาย และนี่คือหลักการของปฏิจจสมุปบาท

แม้จะไม่มีคำอธิบายโดยพิสดารในที่นี้ แต่เมื่อนำคำสอนของหลวงปู่ในหนังสือ “หลวงปู่ฝากไว้” มาพิจารณาจะเห็นว่า ท่านพูดสั้นๆ เพียงว่า

“คนสมัยนี้เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด”

ที่ใจเป็นทุกข์เพราะเกิดความยึดมั่นแล้วมีการปรุงแต่งในความคิดขึ้นและอุบายที่จะละความทุกข์ก็คือ หยุดการปรุงแต่ง แล้วปล่อยวางให้เป็น

นี่คือหลักการ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยภาวนา ทำใจให้สงบจึงจะเกิดพลัง มีสติปัญญามองเห็นเหตุเห็นผล แล้วจิตก็จะมีการปล่อยวางได้เมื่อละความยึดมั่นได้ ความทุกข์ในสิ่งนั้นก็หมดไป

๑๓. ตายแล้วไปไหน

ครั้งนั้น เมื่อหลวงปู่ดูลย์อยู่รับการอบรมสั่งสอน และปฏิบัติอาจาริยวัตร แด่พระอาจารย์ใหญ่นานพอสมควร ก็ได้กราบลาปลีกตัวออกธุดงค์แสวงหาความวิเวกต่อไป

ในช่วงนี้ (พ.ศ. ๒๔๖๓) คาดว่าหลวงปู่จะธุดงค์ไปทางจังหวัดสุรินทร์ระยะหนึ่ง แล้วจึงขึ้นไปทางอีสานเหนือไปทางอำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร โดยมีสามเณรติดตามไปด้วยองค์หนึ่ง

หลวงปู่และเณรได้อธิษฐานจำพรรษาที่ชายป่าแห่งหนึ่งใกล้บ้านกุดก้อม

ต่อมาไม่นานนัก สามเณรอาพาธ (ป่วย) เกิดเป็นไข้หนาวอย่างแรง หยูกยาจะรักษาก็ไม่มี ในที่สุด สามเณรก็ถึงแก่มรณภาพลงไปต่อหน้าต่อตา ด้วยสภาพที่ชวนสังเวชยิ่งนัก

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า “สงสารเณรมาก อายุก็ยังน้อย หากมียารักษาเณรคงไม่ตายแน่”

ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๒ ที่หลวงปู่ได้อยู่ใกล้ชิดกับความตาย คือ ครั้งแรกเมื่อจำพรรษาที่สำนักป่าท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อพระสหธรรมิก ของท่านรูปหนึ่งได้มรณภาพในกลางพรรษา

จากการที่สามเณรมรณภาพในครั้งนั้น หลวงปู่ได้คอยสังเกต พิจารณาอาการตายของคนเราเป็นอย่างไร จิตหรือวิญญาณออกไปทางไหนหรืออย่างไร ท่านได้แจ้งโดยตลอด

ด้วยเหตุผลบางประการ ท่านเจ้าคุณพระราชวรคุณ (อดีตพระโพธินันทมุนี และพระครูนันทปัญญาภรณ์) เห็นว่าไม่สมควรจะบันทึกไว้ในที่นี้

ในหนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" หลวงปู่พูดถึงความตาย หรือตายแล้วไปไหนอยู่ตอนหนึ่งเหมือนกัน เรื่องนี้อยู่ภายใต้หัวข้อ “ต้องปฏิบัติจึงหมดความสงสัย” ซึ่งบันทึกไว้ว่า : -

เมื่อมีผู้ถามถึงทางตาย การเกิดใหม่ หรือถามถึงชาติหน้าชาติหลังหลวงปู่ไม่เคยสนใจที่จะตอบ หรือเมื่อมีผู้กล่าวค้านว่าเชื่อหรือไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงหรือไม่จริงประการใด หลวงปู่ไม่เคยค้นคว้าหาเหตุผลเพื่อจะเอาค้านใครหรือไม่เคยหาหลักฐานเพื่อยืนยันให้ใครยอมจำนนแต่ประการใด ท่านกลับแนะนำว่า

ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ

ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ

หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ

และในตอนท้าย หลวงปู่สอนว่า : -

การฟังคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้นไม่อาจแก้ข้อบกพร่องข้อสงสัยได้ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้ง ความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง

๑๔. สร้างความศรัทธา

เมื่อสามเณรที่ติดตามหลวงปู่มรณภาพลงแล้ว หลวงปู่ก็พำนักจำพรรษาแต่เพียงองค์เดียว ณ บ้านกุดก้อม อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร นั่นคือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ นับเป็นเหตุการณ์ที่น่าสลดสังเวชยิ่ง

ชาวบ้านได้กราบอาราธนาหลวงปู่ให้ไปจำพรรษา ณ วัดม่วงไข่ บ้านกุดก้อม แห่งเดียวกันนั้นเอง ซึ่งพอจะเป็นที่สบาย เหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติ ท่านก็อนุโลมตามคำอาราธนา

ที่วัดม่วงไข่นั้นมีพระเณรจำพรรษาอยู่ด้วยกันหลายรูป มี ท่านครูบาญาคูดี เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระที่มีอัธยาศัยน้ำใจดี ได้แสดงความเอื้อเฟื้อและให้การต้อนรับหลวงปู่ในฐานะพระอาคันตุกะเป็นอย่างดี

ตลอดพรรษานั้น หลวงปู่พำนักอยู่ในโบสถ์แต่เพียงผู้เดียว เพราะเห็นเป็นที่สงบสงัด เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนา

หลวงปู่ดำเนินตามปฏิปทาของ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต โดยมิได้ขาดตกบกพร่อง ปฏิบัติข้อวัตรต่างๆ ของพระธุดงค์อย่างเคร่งครัดครบถ้วนทุกประการ เช่นออกบิณฑบาตทุกวัน ตลอดจนเดินจงกรม และทำสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง ทุกอิริยาบถมีความสำรวมระวังและทำด้วยความมีสติ

ทั้งท่านเจ้าอาวาส และพระภิกษุสามเณรที่จำพรรษาอยู่ในวัดนั้น เห็นข้อวัตรปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงปู่ มีความสงบเย็น น่าเลื่อมใสชนิดที่พวกตนไม่เคยเห็นมาก่อน ก็เกิดความพิศวงอยู่ในใจ และแสดงความสนใจในการปฏิบัติของหลวงปู่เป็นอันมาก

เมื่อพระภิกษุและสามเณรเหล่านั้นมีความสนใจ ไต่ถามถึงข้อวัตรปฏิบัติเหล่านั้น หลวงปู่ก็อธิบายถึงเหตุและผลให้ฟังอย่างแจ่มแจ้ง ได้เน้นถึงภารกิจหลักของพระภิกษุสามเณร ซึ่งเป็นพุทธบุตร ได้ชื่อว่าเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจึงได้ละฆราวาสวิสัยออกมาบวชในบวรพุทธศาสนา ว่ามีหน้าที่โดยตรงอย่างไรบ้าง

ท่านอธิบายข้อธรรมะ ตลอดจนแนวทางปฏิบัติธุดงควัตรอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ด้วยถ้อยคำและเนื้อหาที่ครบถ้วนบริบูรณ์ พร้อมทั้งมีความหมายลึกซึ้งสัมผัสถึงแก่นใจของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง

บรรดาพระภิกษุสามเณรเหล่านั้นต่างก็รู้สึกซาบซึ้ง เลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมเทศนาที่ไพเราะ สมบูรณ์ด้วยเหตุและผล และแปลกใหม่ไปจากที่เคยได้ยินได้ฟังมา จึงพร้อมใจกันปฏิญาณตนขอเป็นศิษย์ และดำเนินตามปฏิปทาของพระธุดงค์กัมมัฏฐานตามแบบอย่างของหลวงปู่หมดทั้งวัด

ในบรรดาพระเณรวัดม่วงไข่ที่ศรัทธาในหลวงปู่นั้น มีสามเณรรูปหนึ่งชื่อว่า สามเณรอ่อน มีวิริยะอุตสาหะแรงกล้าในธรรมปฏิบัติ ได้เจริญรุ่งเรืองในพระศาสนาในกาลต่อมา จนเป็นพระมหาเถระ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่เป็นที่เคารพศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง

สามเณรอ่อน ในขณะนั้นก็คือ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ แห่งสำนักวัดป่านิโครธาราม อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานีในเวลาต่อมานั่นเอง

๑๕. เหตุการณ์พลิกแผ่นดินบ้านม่วงไข่

เหตุการณ์ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโลมาพำนักจำพรรษาที่วัดม่วงไข่ บ้านกุดก้อม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร นั้น ถือว่าเป็นข่าวที่มีเสียงร่ำลือไปอย่างกว้างขวาง ที่ว่า มีพระดีซึ่งเป็นพระธุดงค์มาโปรด ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงต่างเดินทางมากราบนมัสการ ฟังเทศน์ฟังธรรม และฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานกับหลวงปู่เป็นอันมาก

ที่สำคัญยิ่งคือ บรรดาพระภิกษุและสามเณรทุกรูป นับตั้งแต่เจ้าอาวาส คือ ครูบาญาคูดี เป็นต้นมา ต่างปวารณาขอเป็นศิษย์ติดดามปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่หมดทั้งวัด

ปรากฏการณ์ครั้งนั้น ถือเป็น “การพลิกแผ่นดิน” ของวัดม่วงไข่ เลยทีเดียวและเหตุการณ์หลังออกพรรษาปีนั้น ถือเป็นเหตุมหัศจรรย์เลื่อนลั่นอันเป็นประวัติศาสตร์ของบ้านกุดก้อมในยุคสมัยนั้น

กล่าวคือ เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ดูลย์ก็ออกธุดงค์ จาริกหาสถานที่สงบวิเวก เพื่อบำเพ็ญภาวนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ยึดติดสถานที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะถือวัตรปฏิบัติเยี่ยง “พระป่า” ทั้งหลาย

เหตุการณ์ที่ไม่มีชาวบ้านคนใดจะคาดคิดถึงได้ก็คือ บรรดาพระภิกษุและสามเณรวัดม่วงไข่ทุกรูป นับตั้งแต่ท่านเจ้าอาวาสเป็นต้นมา ได้พากันสละละทิ้งวัด ออกจาริกธุดงค์ติดตามหลวงปู่ไป โดยมิได้ใส่ใจนำพาต่อคำอ้อนวอนทัดทานของชาวบ้านเลย

ทุกรูปยอมสละทิ้งวัดม่วงไข่ให้เป็นวัดร้าง ไม่มีใครยอมอยู่ดูแล ต่างมีใจมุ่งมั่นเข้าสู่ความเป็น อนาคาริกะ คือเป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือนที่ต้องห่วงหาอาลัยกันอีกต่อไป

มีใจมุ่งมั่น มุ่งบำเพ็ญภาวนา เพื่อค้นหาพระธรรม คือ ความดับทุกข์แห่งตนหนีให้พ้นภัยในวัฏสงสาร คือ ความเวียนว่ายตายเกิด โดยมิได้อาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แม้แต่ชีวิตของตนก็มุ่งอุทิศถวายต่อพระธรรม ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่องราวเหตุการณ์พลิกแผ่นดินที่วัดม่วงไข่นี้ล้วนอยู่ในสายตาและอยู่ในความสนใจของ พระภิกษุฝั้น อาจาโร ซึ่งเป็นพระภิกษุหนุ่ม พำนักอยู่ที่วัดใกล้เคียงกับวัดม่วงไข่แห่งนี้ ได้เข้ามอบตัวเป็นศิษย์ฟังพระธรรมเทศนาและฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงปู่ตลอดพรรษา

ด้วยความเลื่องชื่อระบือของ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ประกอบกับวัตรปฏิบัติอันงดงามของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เป็นศิษย์ได้จำหลักหนักแน่นอยู่ในดวงใจของ พระภิกษุฝั้น ในสมัยนั้น

สิ่งดีงามที่พระภิกษุฝั้นได้รับในครั้งนั้นได้กลายเป็นแม่เหล็กอันทรงพลังดึงดูดให้ท่านกลายเป็นศิษย์สำคัญในสายของ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต อีกรูปหนึ่ง

ในเวลาต่อมา คุณงามความดีและเกียรติภูมิของพระภิกษุฝั้นได้แผ่ออกไปอย่างกว้างขวาง จนเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งสำนักวัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร ในเวลาต่อมา

เมื่อหลวงปู่ดูลย์ ออกธุดงค์จากวัดม่วงไข่ ไปพร้อมกับพระภิกษุและสามเณรวัดม่วงไข่ทั้งวัดนั้น พระภิกษุฝั้น อาจาโร ก็ได้ติดตามออกจาริกธุดงค์ไปกับคณะด้วย

๑๖. พระฝั้น อาจาโร

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยเล่าถึง หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อสมัยยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม ออกปฏิบัติธรรมติดตามท่านในสมัยนั้นว่า

“ท่านอาจารย์ฝั้นนั้น ทำกัมมัฏฐานได้ผลดีมาก เป็นนักปฏิบัติที่เอาจริงเอาจัง มีน้ำใจเป็นนักผู้ที่สู้เสมอตาย ไม่มีการลดละท้อถอย เข้าถึงผลการปฏิบัติได้โดยเร็ว นอกจากนั้นยังมีรูปสมบัติและคุณสมบัติพร้อม”

หลวงปู่เคยทำนายหลวงปู่ฝั้นไว้ในใจว่า : -

“พระภิกษุรูปนี้ จะต้องมีความสำคัญใหญ่หลวง และเป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธศาสนาในอนาคตอย่างแน่นอน”

ในช่วงที่ออกธุดงค์ จากวัดม่วงไข่ในครั้งนั้น หลวงปู่ดูลย์ตั้งใจว่า “จะต้องพาท่านอาจารย์ฝั้น ไปพบและมอบถวายต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตผู้เป็นพระปรมาจารย์ในโอกาสต่อไปให้จงได้”

เรื่องราวประการหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับหลวงปู่ฝั้น ที่เคยได้ยินได้ฟังมามีอยู่ว่า

“เมื่อหลวงปู่ดูลย์มาพำนักประจำอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์แล้ว ท่านอาจารย์ฝั้นยังได้หาโอกาสเดินธุดงค์ ติดตามรับคำแนะนำแนวทางปฏิบัติกับหลวงปู่ดูลย์เป็นครั้งคราว โดยเดินธุดงค์มาทางเทือกเขาดงเร็ก แล้วเข้ามาพำนักอยู่ที่ป่าเล็กๆ แถวชานเมืองสุรินทร์ด้านทิศใต้ เมื่อได้โอกาสอันควรก็เข้าไปหาหลวงปู่ ณ วัดบูรพาราม”

บริเวณป่าที่หลวงปู่ฝั้นเคยมาพักปฏิบัติธรรมนั้น ต่อมาได้กลายเป็นสำนักสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี มีชื่อว่า วัดป่าโยธาประสิทธิ์ และปัจจุบันตั้งอยู่ภายในบริเวณของวิทยาลัยเกษตรสุรินทร์นั่นเอง

๑๗. อริยสัจแห่งจิต

ในการออกจาริกธุดงค์ จากวัดม่วงไข่ บ้านกุดก้อม อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๖ ในครั้งนั้น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พร้อมทั้งพระภิกษุสามเณรวัดม่วงไข่ และ พระภิกษุฝั้น อาจาโร ได้เดินทางรอนแรมไปตามป่าเขาลำเนาไพรไปเรื่อยๆ เพื่อติดตามค้นหา พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต

การเดินทางของหลวงปู่ และสานุศิษย์ไม่มีกำหนดการที่แน่นอน เดินทางด้วยเท้าไปตลอด บางแห่งก็หยุดพัก ๕ วัน บางแห่งก็ ๗ วัน ตามแต่สัปปายะและความเหมาะสม ในการปรารภความเพียร ของสถานที่แต่ละแห่ง

การจาริกธุดงค์ครั้งนั้น ถือว่าเป็นครั้งสำคัญของหลวงปู่ เนื่องจากท่านได้ดำรงมาสู่การเป็นผู้นำทางการปฏิบัติ ในกลุ่มพระเณรที่ติดตาม โดยหลวงปู่ทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ เหมือนกับที่ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ได้ปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง

คณะของหลวงปู่ได้จาริกไปถึง ถ้ำพระเวสฯ (ถ้ำพระเวสสันดร) ซึ่งอยู่บนเทือกเขาภูพานในท้องที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม แล้วได้พำนักบำเพ็ญภาวนาอยู่ ณ สถานที่นั้นเป็นเวลาค่อนข้างนานจนตลอดฤดูแล้งนั้น

คณะพระภิกษุสามเณร ลูกศิษย์ลูกหาที่ติดตามหลวงปู่ทุกองค์ ต่างบำเพ็ญเพียรกันอย่างเอาจริงเอาจัง และด้วยใจมุ่งมั่นจนกล่าวได้ว่าทุกองค์ได้รับผลแห่งการปฏิบัติโดยทั่วกัน

ในการบำเพ็ญภาวนาของหลวงปู่เอง ณ ถ้ำพระเวสฯ แห่งนี้ หลวงปู่ได้เล่าให้สานุศิษย์ใกล้ชิดฟัง ดังนี้

“เราได้ตริตรองพิจารณาตามหัวข้อหลักของกัมมัฏฐาน ที่ได้รับจากพระอาจารย์ใหญ่ที่ว่า สพฺพสงฺขารา สพฺพสญฺญา อนตฺตา ก็บังเกิดความสว่างไสวรู้แจ้งตลอดว่า

เมื่อสังขารขันธ์ดับไปแล้ว ความเป็นตัวตนจักไม่มี เพราะมิได้เข้าไปเพื่อปรุงแต่ง ครั้นเมื่อความปรุงแต่งขาดไป และสภาพแห่งความเป็นตัวตนไม่มีความทุกข์จะเกิดขึ้นแก่ใครได้อย่างไร"

ดังได้เคยเล่าถึงในตอนต้นแล้วว่า ความรู้ในธรรมะดังกล่าวก็คือ ความรู้แจ้งในหลัก ปฏิจจสมุปบาท คือ เหตุและผลของการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง

นอกจากนี้หลวงปู่ยังได้ค้นพบธรรมะที่เป็นหัวใจ คำสอนในพระพุทธศาสนา และได้รู้ซึ้งถึงแก่นในเหล่าธรรมทั้งหลาย แล้วสรุปลงเป็น อริยสัจแห่งจิต ด้วยถ้อยคำของหลวงปู่เองว่า

“จิตที่ส่งออกนอก เพื่อรับสนองอารมณ์ทั้งสิ้น        เป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอกแล้วหวั่นไหว          เป็นทุกข์

จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง                                          เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง                   เป็นนิโรธ”

หลวงปู่เล่าว่า

"เมื่อพิจารณาตามหลัก อริยสัจ ๔ โดยเห็นแจ้งดังนี้แล้ว ย่อมหมายถึงการผ่านเลยแห่งความรู้ใน ปฏิจจสมุปบาท ไปแล้ว เนื่องเพราะความรู้ในเหตุแห่งทุกข์ การดำรงอยู่แห่งทุกข์ และวิธีดับทุกข์นั้น คือแก่นกลางแท้จริงของปฏิจฺจสมุปฺบาท”

ที่สำคัญยิ่งก็คือ ธรรมะใน อริยสัจ ๔ นี้ เป็นธรรมะหมวดแรก ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นศิษย์ตถาคตผู้หนึ่ง ที่สามารถให้อรรถาธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง

๑๘. จิต คือ พุทธะ

ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมสายพระกรรมฐานทั้งพระภิกษุและฆราวาสให้การยอมรับว่า “หลวงปู่ดูลย์ อตุโล นับเป็นองค์เดียวที่มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องของจิต จนกระทั่งได้รับสมญาว่า เป็นบิดาแห่งการภาวนาจิต”

ประจักษ์พยานแห่งสมญานามดังกล่าว จะเห็นได้จาก คำเทศน์คำสอนและความสนใจของหลวงปู่ อยู่ในเรื่อง “จิต” เพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นนอกจากนั้นหาได้อยู่ในความสนใจของหลวงปู่ไม่

ด้วยความลึกซึ้งในเรื่องจิต จึงทำให้หลวงปู่ประกาศหลักธรรมโดยใช้คำว่า “จิต คือ พุทธะ” โดยเน้นสาระเหล่านี้ เช่น

“พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งนั้น ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งนี้แล้ว ไม่มีอะไรตั้งอยู่เลย”

“จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย”

“จิตหนึ่งเท่านั้นที่เป็นพุทธะ ดังคำตรัสที่ว่า : -

ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นเรา

ผู้ใดเห็นปฏิจฺจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต”

พระธรรมเทศนาของหลวงปู่ในหัวข้อเรื่อง "จิต คือ พุทธะ” โดยละเอียด ได้นำเสนอในภาคคำสอน ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้แล้ว พร้อมทั้งคำแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย

ในการสอนของหลวงปู่ ท่านจะเตือนสติสานุศิษย์เสมอๆ ว่า

“อย่าส่งจิตออกนอก”

หลวงปู่ยังสอนแนวทางปฏิบัติ อีกว่า

“จงทำญาณให้เห็นจิต เมื่อเห็นจิตได้ ก็จะสามารถแยกรูป ถอดด้วยวิชชามรรคจิต เพื่อที่จะแยกรูปกับกายให้อยู่คนละส่วน แล้วจะเข้าใจพฤติของจิตได้ในลำดับต่อไป”

คำสอนเกี่ยวกับเรื่องจิตของหลวงปู่ ที่มีการบันทึกไว้ในที่อื่นๆ อีก ก็มีเช่น :-

“หลักธรรมที่แท้จริงคือ จิต จิตของเราทุกคนนั่นแหละ คือหลักธรรมสูงสุดในจิตใจเรา นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีหลักธรรมใดๆ เลย

จิตนี้แหละ คือ หลักธรรม ซึ่งนอกไปจากนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่จิต แต่จิตนั้นโดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต

ขอให้เลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้นเราอาจกล่าวได้ว่าคลองแห่งคำพูดได้ถูกตัดทอนไปแล้ว พิษของจิตได้ถูกถอนขึ้นจนหมดสิ้น

จิตในจิตก็จะเหลือแต่ความบริสุทธิ์ซึ่งมีอยู่ประจำแล้วทุกคน”

ด้วยเหตุนี้การสอนของหลวงปู่ จึงไม่เน้นที่การพูด การคิดหรือการเทศนาสั่งสอน แต่ท่านจะเน้นที่ การภาวนา และให้ดูลงที่จิตใจ ของตนเอง อย่าไปดูสิ่งอื่น เช่น อย่าไปสนใจดูสวรรค์ ดูนรก หรือสิ่งอื่นใด แต่ให้ดูที่จิตของตนเอง ให้ดูไปภายในตนเอง

“อย่าส่งจิตออกนอก” จึงเป็นคำที่หลวงปู่เตือนลูกศิษย์อยู่เสมอ

ความรู้ ความเข้าใจเรื่องจิต อย่างลึกซึ้งนี้ เป็นผลจากการปฏิบัติที่ ถ้ำพระเวสฯ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เมื่อครั้งนั้นนั่นเอง

๑๙. คำรับรองจากพระอาจารย์ใหญ่

ผลจากการบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระเวส ทำให้หลวงปู่มีความอิ่มเอิบใจเป็นล้นพ้น เฝ้ารอวันที่จะได้กราบนมัสการท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต อยู่ตลอดเวลา

เมื่อหลวงปู่และคณะได้ปรารภความเพียร ณ ถ้ำพระเวสฯ นานพอสมควรแล้ว ก็ได้จาริกออกตามหาพระอาจารย์ใหญ่ เป็นคำรบสองต่อไป

ปีนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๔๖๗ คณะของหลวงปู่ได้ไปพบพระอาจารย์ใหญ่ ที่ วัดป่าโนนสูง (ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งแยกจากจังหวัดนครพนมมาเป็นจังหวัดใหม่)

หลวงปู่ได้กราบเรียนพระอาจารย์ใหญ่ ให้ทราบถึงเรื่องราวของการปฏิบัติที่ผ่านมาโดยเฉพาะหัวข้อธรรม เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท และ อริยสัจ ๔ ที่ได้รับขณะบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำพระเวสฯ

พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโตได้กล่าวคำรับรอง และยกย่องหลวงปู่ดูลย์ ต่อหน้าที่ชุมนุมศิษยานุศิษย์ว่า

“ถูกต้องแล้ว เอาตัวรอดได้แล้ว นับว่าไม่ถอยหลังอีกแล้ว อยากให้ดำเนินตามปฏิปทานี้ต่อไป”

หลวงปู่ดูลย์ได้นำคณะพระภิกษุสามเณรจากวัดม่วงไข่ พร้อมทั้งพระภิกษุฝั้น อาจาโร ที่ติดตามมา เข้าถวายตัวเป็นศิษย์ต่อพระอาจารย์ใหญ่

ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโตได้กล่าวยกย่องสรรเสริญ การกระทำให้ปรากฏต่อศิษย์ทั้งหลายว่า

"ท่านดูลย์นี้ เป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง สามารถมีสานุศิษย์และผู้ติดตามมาประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยเป็นจำนวนมาก"

๒๐. รางวัลเกียรติยศ

ในครั้งนั้นหลวงปู่ดูลย์ อตุโลได้พำนักอยู่ปรนนิบัติ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต เป็นเวลานานพอสมควร ก่อนที่จะกราบลาออกท่องเที่ยวธุดงค์ เพื่อปฏิบัติภาวนา และเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนให้แก่ประชาชนผู้สนใจในถิ่นอื่นต่อไป

ในระหว่างพำนักที่ วัดป่าโนนสูง นี้เอง พระอาจารย์ใหญ่ ผู้ทรงคุณธรรมยิ่งใหญ่ ได้ให้ความเมตตาต่อหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง

กล่าวคือ ก่อนที่หลวงปู่ดูลย์จะกราบลาเพื่อเดินทางไปจำพรรษาที่อื่น พระอาจารย์ใหญ่ได้เมตตา ตัดผ้าไตรจีวรด้วยมือของท่านเอง พระลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันเย็บย้อม แล้วมอบให้หลวงปู่ดูลย์ ๑ ไตร

หลวงปู่ดูลย์ถือว่า ความเมตตาจากพระอาจารย์ใหญ่ในครั้งนั้น เป็นผลหรือรางวัลเกียรติยศ แก่การปฏิบัติดี ที่ครูบาอาจารย์มอบให้เป็นกรณีพิเศษและด้วยเมตตาธรรม

เมื่อกราบลาพระอาจารย์ใหญ่แล้ว หลวงปู่ก็จาริกธุดงค์เสาะหาสถานที่สงบสงัดเพื่อบำเพ็ญเพียรให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

หลวงปู่ได้ไปพักจำพรรษาที่ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในครั้งนั้นได้มี สามเณรอ่อน (ต่อมาคือ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ) ได้ติดตามไปปรนนิบัติหลวงปู่ด้วย

ในพรรษานั้น มีอุบาสกอุบาสิกา และภิกษุสามเณรในบริเวณใกล้เคียงพากันแตกตื่นมาฟังพระธรรมเทศนา และฝึกปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่เป็นจำนวนมาก

หลวงปู่บอกว่า "มากมายจนแทบไม่มีที่นั่ง และแทบทุกคนได้ประจักษ์ผลแห่งการปฏิบัติ"

สานุศิษย์ที่ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ที่อำเภอท่าบ่อในครั้งนั้น บางท่านยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ (ในปี ๒๕๕๐ไม่มีเหลืออยู่แล้ว)

หลังออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ตั้งใจว่า จะเดินทางไปโปรดญาติโยมที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเกิดเมืองนอนของท่านต่อไป

๒๑. เหตุอาถรรพ์ที่ถ้ำผาบิ้ง

เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ดูลย์เดินธุดงค์ต่อไปถึง จังหวัดเลย มีสามเณรติดตามไปด้วย ๑ รูป หลวงปู่มีความประสงค์จะไปพักภาวนาที่ ถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก อำเภอวังสะพุง ซึ่งเป็นสถานที่ร่ำลือกันในด้านความอาถรรพ์ มากไปด้วยตำนานมหัศจรรย์

ชาวบ้านตามทิศทางที่ผ่านไป มีความเป็นห่วงหลวงปู่และสามเณรจะได้รับอันตราย จึงได้ทัดทานไว้

“ที่ถ้ำนั้นพักไม่ได้ เพราะมีสิ่งเร้นลับมหัศจรรย์ มีอาถรรพ์แรงร้าย”

ความอาถรรพ์ของ ถ้ำผาบิ้ง ที่ร่ำลือกันมาเป็นเวลานานก็คือ เมื่อถึงยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ จะมีเสียงพิณพาทย์ ทั้งเสียงระนาด ฆ้อง กลอง กระหึ่มบรรเลง

พร้อมกันนั้นก็มีตัวประหลาด มองเห็นคล้ายควันดำ เหาะลอยฉวัดเฉวียนขึ้นสู่อากาศ แล้วก็หายลับไป ไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร เป็นที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

โดยปกติวิสัยของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล นั้น ท่านไม่เคยเชื่อถือในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และไม่เคยยกย่องสิ่งใด นอกเหนือไปจากยึดมั่นในพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะที่พึ่ง

ในประวัติชีวิตของท่านไม่เคยปรากฏว่า ท่านให้การยอมแพ้ในสิ่งมหัศจรรย์ หรืออภินิหารใดๆ ทั้งสิ้น

แม้ได้ฟังเรื่องเล่า และคำทัดทานจากชาวบ้านแถบนั้น ท่านก็ไม่ได้หวั่นไหว โดยวิสัยแห่งศิษย์พระตถาคต ซึ่งไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย หลวงปู่จึงต้องการไปพิสูจน์หาความจริง ของความมหัศจรรย์ที่ ถ้ำผาบิ้ง แห่งนั้น

หลวงปู่พาสามเณรไปพักปฏิบัติภาวนาที่ถ้ำผาบิ้งทันทีในวันนั้น โดยไม่ต้องเสียเวลารั้งรอ

หลวงปู่ได้สังเกตพิจารณาดูว่า สิ่งที่ชาวบ้านร่ำลือกันนั้น เป็นอะไรกันแน่ในที่สุดท่านก็พบความจริง และเปิดเผยต่อชาวบ้าน

ความจริงก็คือ เมื่อถึงเวลาโพล้เพล้จวนใกล้ค่ำ ค้างคาวที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นจำนวนนับหมื่นนับแสนตัว ก็พากันบินพรั่งพรูเกาะกลุ่ม ชิงกันออกจากปากถ้ำเพื่อออกไปหากิน ปรากฏเป็นกลุ่มควันดำ ฉวัดเฉวียนพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศบังเกิดเป็นกระแสลมกระโชกหวีดหวิว เมื่อพัดพุ่งผ่านโกรกกรวยและร่องรูต่างๆ ตามผนังถ้ำ ทำให้เกิดเป็นเสียงสูงต่ำมีลีลา

เสียงปีกค้างคาวกระทบกันคึกคักแหวกอากาศ ผสมผสานสอดคล้องกับเสียงที่สะท้อนจากผนังถ้ำ ดังกระหึ่มเป็นจังหวะจะโคน กึกก้องไปมา ราวกับเป็นเสียงดนตรีสวรรค์ ที่เหล่าเทพยดาพากันบรรเลงด้วยพิณพาทย์ระนาดกลองฉะนั้น

กลุ่มค้างคาวเป็นหมื่นเป็นแสน ที่บินฉวัดเฉวียน พวยพุ่งออกจากถ้ำเป็นเส้นสายยักย้ายไปมา ก็ดูประหนึ่งมังกรเทพยดา หรือสัตว์วิเศษในเทพนิยายปรัมปราที่เล่าสืบๆ กันมา พุ่งเลื้อยหายไปในอากาศ ประจักษ์แก่สายตาชาวบ้านป่าที่ตะลึงมองอย่างขนลุกขนชัน ด้วยความหวาดหวั่นระย่อยำเกรง

หลวงปู่ได้นำความจริงมาเปิดเผยให้ชาวบ้านฟ้ง จนเป็นที่หัวเราะขบขันของชาวบ้านแถบนั้น ความหวาดหวั่นเกรงกลัวในเรื่องอาถรรพ์ของถ้ำผาบิ้งที่เชื่อถือกันมานานก็หมดไป

๒๒. สนทนาธรรมกับพระอาจารย์ใหญ่

ในช่วงเวลาระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๔๖๓ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๔ แม้ไม่มีรายละเอียดชี้ชัดว่า ในแต่ละพรรษา หลวงปู่ดูลย์จาริกไปปรารภธรรม ณ ที่ใด และค้นพบข้อธรรมล้ำลึกประการใด แต่ก็น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ยังคงจาริกธุดงค์วนเวียนอยู่แถบเทือกเขาภูพาน อันเป็นที่สงบสงัด เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาสำหรับพระธุดงค์

นอกจากนั้นหลวงปู่ก็เดินทางไปโปรดญาติโยมที่จังหวัดสุรินทร์ บ้านเกิดของท่านเป็นบางครั้งบางคราว

หลวงปู่พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำมาบิ้งอยู่ประมาณ ๑ เดือน แล้วก็ออกจาริกธุดงค์ต่อไปทาง อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี แล้วเลยไปยัง อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ได้พบและกราบนมัสการ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง

การพบกับพระอาจารย์ใหญ่ในครั้งนี้ ไม่ปรากฏว่ามีการกราบเรียนถึงผลการปฏิบัติ หรือมีข้อแนะนำจากพระอาจารย์ใหญ่ เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติต่อไปอีกอันใด หากแต่เน้นหนักในเรื่องสนทนาธรรมในเรื่องลึกๆ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตล้วนๆ อันยังผลให้เกิดความอาจหาญร่าเริงในธรรมปฏิบัติแต่อย่างเดียว

การสนทนาธรรมระหว่างพระอาจารย์ใหญ่ กับหลวงปู่ดูลย์ในช่วงนี้แต่ละครั้ง จะใช้เวลานานๆ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาต่างเชื่อกันว่า ช่วงนั้น หลวงปู่ดูลย์คงจะมีคุณธรรมสมควรแก่การสนทนาธรรมแล้วอย่างแน่นอน

หลวงปู่พักอยู่กับพระอาจารย์ใหญ่ระยะหนึ่ง แล้วก็กราบลาออกเดินทางต่อไป โดยมีเป้าหมายอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ ในระหว่างทาง มีการแวะพักเพื่อบำเพ็ญภาวนา และเผยแผ่ธรรมะแก่ผู้สนใจตามโอกาสอันควร

๒๓. โน้มน้าวใจพระมหาปิ่น

หลังจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล กราบลาพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต แล้วก็ออกเดินทางจากบ้านผือ อุดรธานีมุ่งไปจังหวัดสุรินทร์

ในระหว่างทาง หลวงปู่ได้แวะเยี่ยม หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม พระสหธรรมิกผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงแก่ท่าน ขณะนั้นหลวงปู่สิงห์พำนักอยู่ในแถบจังหวัดกาฬสินธุ์

มีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่ควรกล่าวถึง แต่ไม่สามารถกำหนดกาลเวลาแน่ชัดว่าเหตุการณ์นี้เกิดในปี พ.ศ.ใดแน่ นั่นคือเรื่องที่หลวงปู่สิงห์กับหลวงปู่ดูลย์ได้ร่วมมือกันโน้มน้าวใจท่านพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล พระน้องชายของหลวงปู่สิงห์ ให้เปลี่ยนหนทางจากการมุ่งแต่ปริยัติ มาอยู่ฝ่ายปฏิบัติได้ในที่สุด

เรื่องมีอยู่ว่า พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นเปรียญธรรมจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร มีความรู้ด้านปริยัติอย่างแตกฉาน เดินทางจากกรุงเทพฯ มาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี

ท่านพระมหาปิ่นสนใจแต่ทางปริยัติอย่างเดียว ไม่นำพาต่อการบำเพ็ญภาวนาฝึกฝนจิตและธุดงค์กัมมัฏฐานเลย

หลวงปู่สิงห์ จึงชักชวนหลวงปู่ดูลย์ให้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อให้ช่วยชักนำพระมหาปิ่นให้สนใจในทางปฏิบัติพระกัมมัฏฐานบ้าง ไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอด

หลวงปู่ทั้ง ๒ องค์ได้พักจำพรรษาที่ วัดสุทัศนาราม วัดที่ท่านเคยอยู่มาก่อน คราวนี้ท่านได้ปลูกกุฏิหลังเล็กๆ อยู่ต่างหาก ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัด แล้วก็ค่อยๆ โน้มน้าวจิตใจให้พระมหาปิ่นเกิดความศรัทธาเลื่อมใสทางด้านการปฏิบัติด้วย

ทั้งหลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ได้ชี้แจงแสดงเหตุผลว่า ในการครองเพศสมณะนั้น แม้ว่าได้บวชมาในพระบวรพุทธศาสนาก็นับว่าดีประเสริฐแล้ว ถ้าหากมีการปฏิบัติให้รู้แจ้งในธรรม ก็จะยิ่งประเสริฐขึ้นอีก คือจะเป็นหนทางออกเสียซึ่งความทุกข์ ตามแนวคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระสงฆ์ที่มีสติปัญญาพิจารณาปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งคำเทศน์ของพระอาจารย์ทั้ง ๒ องค์ที่ได้กรุณาเป็นแบบอย่าง ก็เกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

โดยปกติแล้วหลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ เป็นนักปฏิบัติธรรมขั้นสูงแม้จะมีความอาวุโส แต่ก็มีลักษณะประจำตัวในการรู้จักนอบน้อมถ่อมตนระมัดระวังกายวาจาใจ ไม่คุยโม้โอ้อวดว่าตนเองได้ธรรมขั้นสูง และเห็นว่าธรรมะเป็นสมบัติอันล้ำค่าของนักปราชญ์มาประจำแผ่นดิน ซึ่งควรระมัดระวังให้สมกับผู้มีภูมิธรรมในใจ

ท่านพระอาจารย์มหาปิ่นได้พิจารณารอบคอบด้วยเหตุด้วยผลแล้ว พอถึงกาลออกพรรษาจึงรีบเตรียมบริขาร แล้วออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่สิงห์พระพี่ชายไปทุกหนทุกแห่ง ทนต่อสู้กับอุปสรรคยากไร้ท่ามกลางป่าเขา มุ่งหาความเจริญในทางธรรม จนสามารถรอบรู้ธรรมด้วยสติปัญญาของท่านในกาลต่อมา

ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อรู้ธรรมอันสมควรแล้ว มักจะมองย้อนมาดูตัวเองที่เคยนำชีวิตผ่านมา ทำให้เกิดความสงสารสลดใจในสิ่งที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่า แท้จริงแล้วความทุกข์ร้อนวุ่นวายใจ มักเกิดจากสิ่งภายในใจเราทั้งสิ้น คือ กิเลส ตัณหาอุปาทานมันก่อขึ้นภายในใจ จนต้องดิ้นรนอย่างน่าเวทนายิ่ง

กิเลส หรือ ความทุกข์ทั้งหลาย เมื่อเกิดขึ้นภายในจิตใจเราแล้วไม่มีอะไรจะรักษามันได้ นอกเสียจากต้องรักษาด้วยธรรมะ ที่เกิดจากความเพียรด้วยตัวของเรา ตามแบบอย่างของศากยบุตรพุทธสาวกทั้งหลายที่ท่านเคยทำมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

การที่พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญฺญาพโล ออกธุดงค์กัมมัฏฐานในครั้งนั้นประชาชนในภาคอีสานได้แตกตื่นชื่นชมกันมากว่า "พระมหาเปรียญธรรมหนุ่มจากเมืองบางกอก ได้ออกฝึกจิต ดำเนินชีวิตสมณเพศ ตัดบ่วง ไม่ห่วงอาลัยในยศถาบรรดาศักดิ์ออกป่าดง เดินธุดงค์กัมมัฏฐาน ฝึกสมาธิภาวนาเป็นองค์แรกในสมัยนั้น"

ชื่อเสียงของพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโลในครั้งนั้นจึงหอมฟุ้งร่ำลือไปไกล ท่านได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ชาย คือ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมนำกองทัพธรรม ออกเผยแพร่พระธรรมคำสอนในสายพระกัมมัฏฐาน จนมีผู้เลื่อมใสศรัทธาอย่างกว้างขวางมาจนปัจจุบัน

๒๔. กลับสุรินทร์ถิ่นกำเนิด

นับแต่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จาริกจากวัดจุมพลสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ไปพำนักยังวัดสุทัศนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๙

หลวงปู่เริ่มศึกษาด้านพระปริยัติ สอบได้เป็นนักธรรมชั้นตรี นวกภูมิ นับเป็นรุ่นแรกของจังหวัดอุบลราชธานี ขณะเดียวกันที่ได้เรียนบาลีไวยากรณ์ที่เรียกว่า “มูลกัจจายน์” จนสามารถแปลพระธรรมบทได้

จากนั้นเมื่อได้รู้จักกับหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้กราบนมัสการฝากตัวเป็นศิษย์กัมมัฏฐานของ พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ชีวิตแห่งสมณะของหลวงปู่ก็แปรเปลี่ยน จากการที่เคยมุ่งหวังการศึกษาด้านพระปริยัติ หันเข้าหาทางด้านการปฏิบัติ

หลวงปู่ออกจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร แสวงหาสัจธรรมตามรอยพระบาทองค์สมเด็จพระบรมศาสดา

จนปี พ.ศ. ๒๔๖๖ รวมเป็นเวลา ๗ ปี หลวงปู่จึงได้คืนกลับไปยังจังหวัดสุรินทร์บ้านเกิดของท่าน เพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติ

การมาสุรินทร์ของหลวงปู่ในครั้งนี้ เป็นการมาแบบพระธุดงค์ ครบเครื่องด้วยภูมิปัญญาที่แก่กล้า ด้วยจริยาวัตรที่ไม่เบียดเบียน

หลวงปู่มาพำนักอยู่ที่ วัดนาสาม ตำบลนาบัว อำเภอเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ไปทางทิศใต้ประมาณ ๑๕ กิโลเมตร

การมาสุรินทร์ของหลวงปู่ในครั้งนั้น ถือได้ว่ากรุแห่งพระธรรมได้เปิดขึ้นแก่ชาวสุรินทร์แล้ว ได้สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะชาวบ้านแถบตำบลนาบัว และตำบลเฉนียง ได้พากันแตกตื่นพระธุดงค์เป็นการใหญ่ พากันไปฟังพระธรรมเทศนา และบำเพ็ญสมาธิภาวนากับหลวงปู่ดูลย์อย่างล้นหลาม จนกระทั่งวัดนาสามไม่มีที่จะนั่ง

เมื่อจวนจะถึงวันเข้าพรรษา หลวงปู่เห็นว่าวัดนาสามตั้งอยู่ในละแวกชุมชนมากเกินไป ไม่เหมาะที่จะวิเวกและปรารภธรรม ตามแบบอย่างของพระธุดงค์

หลวงปู่จึงได้ไปพำนักที่ ป่าบ้านหนองเสม็ด ตำบลเฉนียง ซึ่งอยู่ห่างจากวัตนาสามไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๑๐ กิโลเมตร สมมติสถานที่นั้นขึ้นเป็นสำนักป่า อธิษฐานจำพรรษา ณ ที่นั้น

บรรดาญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ เริ่มประสบผลในทางปฏิบัติก็ได้พากันเดินทางติดตามไปปฏิบัติที่ สำนักป่าบ้านหนองเสม็ด แม้จะต้องเดินด้วยเท้าร่วม ๑๐ กิโลเมตรก็ไม่ลดละ หวังจะได้เจริญสมาธิภาวนาให้มีความก้าวหน้าและฟังพระธรรมเทศนาที่มีรสชาติซาบซึ้งถึงใจ อย่างชนิดไม่เคยได้ฟังจากที่ใดมาก่อน

๒๕. สรรเสริญและนินทาเป็นธรรมดาของโลก

เป็นธรรมดาของโลก ย่อมหนีไม่พ้นกฎแห่ง โลกธรรม คือ เมื่อมี สรรเสริญ ก็ย่อมมี นินทา เป็นของคู่กัน

การมาตั้งสำนักปฏิบัติธรรมที่ บ้านหนองเสม็ด ของหลวงปู่ ก็มีทั้งฝ่ายที่ศรัทธาชื่นชอบ และฝ่ายต่อต้านทำลาย เช่นเดียวกัน เมื่อมีคนรัก ก็ย่อมมีคนไม่ชอบ ตามติดเหมือนเป็นเงา ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ทางด้านดี บัณฑิตทั้งหลายย่อมยกย่องสรรเสริญ ว่าหลวงปู่เป็นผู้ประกาศธรรม ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง บรรดาผู้ที่รู้ ผู้ที่ชอบ ผู้ที่สนใจ ผู้ที่ศรัทธา ก็ร่วมกันทำนุบำรุง ส่งเสริมและกราบฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ฝึกปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่

อีกด้านหนึ่ง ถือเป็นพวกใจบอดต่อสัจธรรม ก็มีปฏิกิริยาในทางต่อต้านคัดค้าน ด้วยการด่าว่าให้เสียหาย วางอุบายทำลาย จนถึงขั้นลงมือทำร้ายหลวงปู่ก็มี แต่ก็มีอันแคล้วคลาดปลอดภัยด้วยอำนาจพุทธคุณและด้วยคุณธรรมความดีของหลวงปู่

คำพูดที่กระทบเสียดสีเปรียบเปรยหลวงปู่ เช่น

“มีวัดให้อยู่ ก็ไม่อยู่กลับไปอยู่ป่าเหมือนชะมด มีข้าวให้กินทุกมื้อ ก็กินมื้อเดียว เหมือนคนอนาถามีถ้วยชามให้ใช้ก็ไม่ใช้ เอาแกงเอากับคลุกข้าวในบาตรกินเหมือนแมว..”

เมื่อเสียงตำหนิเหล่านั้นแว่วเข้าหูหลวงปู่ก็ได้แต่ยิ้มๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไร

หลวงปู่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอนอบรมบรรดาลูกศิษย์ลูกหาด้วยความหนักแน่น และเต็มเปี่ยมด้วยเมตตา ทำให้จำนวนผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใส ขยายวงออกไปเรื่อยๆ

๒๖. ได้ศิษย์สำคัญ

ในบรรดาญาติโยมที่ติดตามไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมบ้านเสม็ดอยู่เป็นประจำนั้น มีอุบาสิกาที่สนใจธรรมของหลวงปู่อย่างยิ่งคนหนึ่งชื่อ นางเหรียญ เมืองไทย

นางเหรียญ เป็นชาวบ้านกะทม ตำบลนาบัว อำเภอเมืองสุรินทร์มีศรัทธาต่อหลวงปู่อย่างแรงกล้า มักจะพาบุตรชาย อายุ ๑๒ ปี ชื่อ ด.ช.โชติ เมืองไทย มาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เป็นประจำ

เด็กชายโชติมีอุปนิสัยชอบความสงบ ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศเงียบสงัดของวัด และได้ปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่ก็ติดใจไม่อยากกลับบ้าน

นางเหรียญ ผู้มารดาจึงมอบถวายบุตรชาย ให้อยู่คอยรับใช้อุปัฏฐากหลวงปู่เสียเลย

เด็กชายโชติ เป็นเด็กฉลาดมีสติปัญญาดี ได้ฝึกปฏิบัติภาวนาและเรียนรู้ธรรมวินัยเป็นอย่างดี อีกทั้งมีใจศรัทธาต่อพระศาสนา หลวงปู่จึงได้จัดการบรรพชาให้เป็นสามเณร

ผู้สนใจศึกษาประวัติครูบาอาจารย์สายพระกัมมัฏฐานคงจะทราบเรื่องราวของสามเณรโชติองค์นี้ดี ด้วยท่านสามารถจำกำเนิดหรือระลึกชาติได้ คือในชาติก่อน ท่านเป็นพี่ชายของนางเหรียญ มารดาในชาติปัจจุบัน ด้วยความรักและห่วงใยในน้องสาว เมื่อท่านป่วยและถึงแก่กรรมก็ได้มาเกิดใหม่เป็นลูกของนางเหรียญน้องสาวของตน

เรื่องราวการระลึกชาติของสามเณรโชติ หรือหลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน จะของดกล่าวในที่นี้ ผู้สนใจคงค้นหาอ่านจากแหล่งอื่นได้ไม่ยากนัก

สามเณรโชติเป็นคนขยันขันแข็ง มีอุปนิสัยอ่อนโยน ว่านอนสอนง่ายจึงปรากฏในภายหลังว่า เป็นผู้เจริญในสมณวิสัย ประกาศสุปฏิบัติ เป็นกำลังใหญ่ในกิจพระศาสนา เป็นที่นับถือบูชาและรู้จักกันดีในหมู่สาธุชนผู้ใฝ่ธรรมทั่วประเทศ

สามเณรโชติ เมืองไทย นี้เองที่ต่อมาได้ติดตามหลวงปู่ดูลย์ บุกเขาลำเนาไพรอย่างใกล้ชิด รับรู้ความเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นธรรมตาของพระอาจารย์ของตน และได้ยึดถือวัตรปฏิบัติแห่งพระอาจารย์เป็นแนวทาง กระทั่งเป็นที่ยอมรับนับถือในหมู่พุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวาง

สามเณรโชติ เมืองไทย ในระยะเวลาต่อมา ก็คือ หลวงปู่โชติ คุณสมฺปนฺโน แห่ง วัดวชิราลงกรณ์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นั่นเอง

สมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายของหลวงปู่โชติ ก็คือ พระเทพสุทธาจารย์ เรื่องราวเกี่ยวกับคุณธรรมของท่านมีมากมาย ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้เมตตานำพาสังขารวัย ๘๘ ของท่านเดินทางไปเผาศิษย์รักของท่านเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๘ ที่วัดวชิราลงกรณ์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาในครั้งนั้นด้วย

หน้าที่  ๑