จิตตสังเขป

โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์

http://www.dhammastudy.com/thpar6.html

บทที่ ๕

การเกิดดับสืบต่อกันของจิตและวิถีต่างๆ นั้นเป็นชีวิตปรกติประจำวัน แต่เมื่อมีศัพท์ธรรมะที่แสดงลักษณะและกิจของจิตต่างๆ ก็ทำให้สงสัย เพราะไม่เข้าใจความหมายของศัพท์นั้นๆ แต่ศัพท์นั้นๆ ล้วนแสดงลักษณะของสภาพธรรมต่างๆ ในชีวิตปรกติประจำวันนั่นเอง ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายจึงไม่ได้อยู่ในหนังสือตำรา แต่เป็นชีวิตจริงๆ แต่ละขณะที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกขณะนี้ทุกท่านกำลังเห็น รู้แล้วว่าเป็นวิถีจิตซึ่งมี อาวัชชนจิต จักขุวิญญาณจิต สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต ชวนจิต เกิดดับสืบต่อกันทีละขณะ ความเข้าใจพระธรรมย่อมเตือนให้ระลึกว่าชวนวิถีจิตที่เกิดในวาระที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้นนั้น เป็นกุศลหรืออกุศลซึ่งเกิดดับสั่งสมสืบต่อสันดานตนเอง

การศึกษาเรื่องชาติทั้ง ๔ ของจิต คือ จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล ๑ เป็นอกุศล ๑ เป็นวิบาก ๑ เป็นกิริยา ๑ จึงทำให้รู้ว่าจิตขณะใดเป็นเหตุที่จะให้เกิดผลคือวิบากจิตข้างหน้า และจิตขณะใดเป็นวิบาก คือผลของเหตุที่ได้กระทำแล้วในอดีต ฉะนั้น การศึกษาเรื่องจิตซึ่งเป็นวิถีจิตและจิตที่ไม่ใช่วิถีนั้น จะต้องรู้ด้วยว่าจิตนั้นๆ เป็นชาติอะไร เช่น ปฏิสนธิจิต เป็น วิบากจิต ซึ่งเป็นผลของกรรมหนึ่งในกรรมทั้งหลายที่ได้กระทำแล้วในอดีต เป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ปฏิสนธิจิตเป็นวิบากจิตที่ทำกิจปฏิสนธิในภพหนึ่งชาติหนึ่งเพียงชั่วขณะเดียว จะทำกิจปฏิสนธิในชาตินั้นอีกไม่ได้เลย ทำได้เพียงชั่วขณะแรกขณะเดียวที่เกิดต่อจากจุติจิตของชาติก่อนเท่านั้น แล้วปฏิสนธิจิตก็ดับไปไม่ยั่งยืนเลย

เมื่อปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นชาติวิบากดับไปแล้ว ปฏิสนธิจิตนั้นเป็นอนันตรปัจจัย ทำให้จิตดวงต่อไปเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตทันที จิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตนั้นทำภวังคกิจ จึงไม่ใช่วิถีจิต ภวังคจิตเป็นวิบากจิต ฉะนั้น กรรมจึงไม่ได้เป็นปัจจัยเพียงให้ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับไปเท่านั้น แต่กรรมยังทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นทำภวังคกิจสืบต่อ และภวังคจิตดวงแรกที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิตนั้นชื่อว่า ปฐมภวังค์ ส่วนภวังค์ดวงต่อๆ ไปจนถึงจุติจิตนั้นไม่จำเป็นต้องนับเลย

ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อยๆ จนกว่าวิถีจิตจะเกิด วิถีจิตแรกที่เกิดก่อนวิถีจิตอื่นๆ คือ จิตที่ทำอาวัชชนกิจ ได้แก่ อาวัชชนจิต ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิตทำอาวัชชนกิจทางปัญจทวารหนึ่งดวง และมโนทวาราวัชชนจิตทำอาวัชชนกิจทางมโนทวารหนึ่งดวง จิตที่ทำอาวัชชนกิจทั้ง ๒ ดวงนี้เป็นกิริยาจิต คือ ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต และไม่ใช่วิบากจิต เพราะจิต ๒ ดวงนั้นรู้ได้ทั้งอิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ดีน่าพอใจ และอนิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ ถ้าเป็นวิบากจิตแล้ว อกุศลวิบากรู้ได้แต่อนิฏฐารมณ์ และกุศลวิบากก็รู้ได้แต่อิฏฐารมณ์เท่านั้น

ข้อความในอัฏฐสาลินี แสดงลักษณะของกิริยาจิตว่าเป็นเพียงการกระทำ และแสดงลักษณะของกิริยาจิตที่ต่างกันโดยกิจว่า

ก็ในบรรดากิริยาจิตทุกดวงทีเดียว กิริยาจิตดวงใดไม่ถึงความเป็นชวนะ กิริยาจิตดวงนั้นย่อมไม่มีผลเหมือนดอกไม้ลม (วาตปุปฺผํ ซึ่งมูลฎีกาแก้ว่า โมฆปุปฺผํ หมายถึงดอกไม้ที่ไร้ผล) เพราะดอกไม้บางดอกเมื่อร่วงหล่นไปแล้วก็ไม่มีผลฉันใด กิริยาจิตก็ฉันนั้น กิริยาจิตซึ่งไม่ถึงความเป็นชวนะ คือ ไม่เป็นชวนวิถีจิตนั้น มี ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง และมโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง ปัญจทวาราวัชชนจิตทำกิจเดียวคือ ทำอาวัชชนกิจทางปัญจทวาร มโนทวาราวัชชนจิตทำ ๒ กิจคือ ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร และทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร ส่วนกิริยาจิตอื่นๆ ซึ่งถึงความเป็นชวนะนั้นเป็นจิตของพระอรหันต์ ซึ่งข้อความในอัฏฐสาลินีอุปมาว่า กิริยาจิตดวงใดถึงความเป็นชวนะ (คือ กิริยาชวนวิถีจิตของพระอรหันต์) กิริยาจิตดวงนั้นก็ไม่มีผล เหมือนดอกของต้นไม้ที่รากขาดเสียแล้ว จึงเป็นแต่เพียงการกระทำเท่านั้น เพราะเป็นไปด้วยอำนาจให้สำเร็จกิจนั้นๆผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีกิริยาจิตเพียง ๒ ดวงเท่านั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ และมโนทวาราวัชชนจิต ๑

กิริยาจิตอื่นทั้งหมดนอกจากปัญจทวาราวัชชนจิตและมโนทวาราวัชชนจิต เป็นจิตของพระอรหันต์ทั้งสิ้น ฉะนั้นพระอรหันต์จึงมีกิริยาจิตที่ไม่ใช่ชวนะ ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง และมีชวนวิถีที่เป็นกริยาจิตเท่านั้น เพราะพระอรหันต์กับกุศลและอกุศลทั้งหมด จึงไม่มีชวนวิถีจิตที่เป็นกุศลและอกุศลเลย

วิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางตานั้น เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไปแล้ว จิตเห็นคือจักขุวิญญาณเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว กุศลกรรมเป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณกุศลวิบากเป็นรูปต่างๆ ที่ปรากฏทางตาที่สวยงามน่าพอใจเป็นอิฏฐารมณ์ อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณอกุศลวิบากเห็นรูปที่ไม่สวยงาม ไม่น่าพอใจ เป็นอนิฏฐารมณ์วิถีจิตที่ได้ยินเสียงทางหู คือ โสตวิญญาณ ก็เป็นวิบากจิตซึ่งไม่มีใครรู้ว่าขณะใดโสตวิญญาณจะได้ยินเสียงอะไร ทั้งนี้เพราะย่อมเป็นไปตามเหตุ คือ กรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีตทั้งสิ้น ขณะได้กลิ่นทางจมูก ฆานวิญญาณจิตที่รู้กลิ่นก็เป็นวิบากจิต ขณะลิ้มรสทางลิ้น ชิวหาวิญญาณจิตก็เป็นวิบากจิตขณะกระทบสัมผัสทางกาย กายวิญญาณจิตที่รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็ง รู้ตึง รู้ไหว ก็เป็นวิบากจิต เป็นผลของอดีตกรรมซึ่งได้กระทำสำเร็จแล้ว เป็นปัจจัยให้วิบากจิตเหล่านั้นเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ต่อจากปัญจทวาราวัชชนจิต และเมื่อปัญจวิญญาณจิตที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส รับรู้อารมณ์นั้นๆ ดับไปแล้วก็เป็นอนันตรปัจจัยให้สัมปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์นั้นๆ ต่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว กรรมเดียวกันนั่นเอง ก็ทำให้สันตีรณจิตซึ่งเป็นวิบากเกิดขึ้นกระทำสันตีรณกิจต่อจากสัมปฏิจฉันนจิต

ฉะนั้น วิถีจิตซึ่งเป็นวิบากจิตที่เกิดทางปัญจทวารนั้น คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ จึงไม่ได้สั่งสมสันดานเป็นแต่เพียงผลของกรรมที่เกิดขึ้น กระทำกิจของตนๆ แล้วก็ดับไป ต่อจากนั้นโวฏฐัพพนจิต ซึ่งได้แก่มโนทวาราวัชชนจิตนั่นเอง กระทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร โวฏฐัพพนจิตเป็นกิริยาจิต กระทำโวฏฐัพพนกิจแล้วก็ดับไป ไม่ได้สั่งสมสันดาน เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้วก็ดับไป ไม่ได้สั่งสมดาน เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้วจิตที่เกิดต่อ คือ ชวนวิถีจิต ซึ่งกระทำกิจแล่นไปในอารมณ์โดยเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ และสำหรับพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต ชวนวิถีจิตเกิดดับสืบต่อซ้ำกัน ๗ ขณะ จึงเป็นขณะที่สั่งสมสันดานตนเอง ซึ่งก็เป็นในขณะนี้นั่นเอง

ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาธรรมสังคณีปกรณ์ อุปมาการเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวารว่า พระราชาองค์หนึ่งบรรทมหลับอยู่บนแท่นบรรทม มหาดเล็กคนหนึ่งถวายนวดพระยุคลบาทอยู่ นายทวารหูหนวกยืนอยู่ที่พระทวารทหารยาม ๓ คนยืนเรียงลำดับอยู่ ทีนั้นยังมีคนบ้านนอกคนหนึ่งถือเครื่องราชบรรณาการมาเคาะประตูเรียก นายทวารหูหนวกไม่ได้ยินเสียง มหาดเล็กผู้ถวายนวดพระยุคลบาทจึงให้สัญญาณ นายทวารหูหนวกจึงเปิดประตูดูด้วยสัญญาณนั้น ทหารยามคนที่หนึ่งรับเครื่องราชบรรณาการส่งให้คนที่สอง คนที่สองส่งให้คนที่สาม คนที่สามทูลเกล้าฯ ถวายพระราชาพระราชาเสวย คำอุปมาเปรียบเทียบแสดงให้เห็น วิถีจิต ที่เกิดขึ้นรับรู้อารมณ์แต่ละขณะว่า ขณะที่อารมณ์กระทบกับจักขุปสาท เปรียบเหมือนคนบ้านนอกที่ถือเครื่องบรรณาการมาเคาะที่พระทวาร มหาดเล็กที่ถวายงานนวดพระยุคลบาทของพระราชา คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นขณะที่รู้ว่ามีแขกมาเคาะที่ทวาร จึงให้สัญญาณคือรู้อารมณ์ที่กระทบ แล้วก็ดับไป จักขุวิญญาณจิต ก็เกิดขึ้นสืบต่อทำกิจเห็นที่จักขุปสาท แล้วต่อจากนั้นทหารยามคนที่หนึ่งคือ สัมปฏิจฉันนจิต ก็รับเครื่องราชบรรณาการส่งให้คนที่สอง คือ สันตีรณจิต คนที่สองส่งให้คนที่สามคือ โวฏฐัพพนจิต คนที่สามทูลเกล้าฯ ถวายพระราชาคือ ชวนจิต พระราชาได้เสวยเครื่องราชบรรณาการคือ อารมณ์นั้น

มีคำอธิบายว่า ข้อเปรียบเทียบนั้นแสดงเนื้อความอะไรแสดงเนื้อความว่า อารมณ์มีกิจ คือ หน้าที่เพียงกระทบปสาทเท่านั้น คนบ้านนอกไม่ได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แต่เครื่องราชบรรณาการส่งต่อจากคนที่หนึ่ง-สอง-สาม แล้วจึงถึงพระราชาและจักขุวิญญาณจิตเท่านั้นที่กระทำกิจเป็นอารมณ์ที่กระทบทวาร อารมณ์สามารถเพียงกระทบปสาทรูปเท่านั้น แต่ว่าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์สืบต่อกันโดยอารมณ์ไม่ได้ข้ามพ้น หรือล่วงล้ำปสาทเข้าไปสู่ที่อื่นเลย

เมื่อพิจารณาคำอุปมานี้ก็เข้าใจการเปรียบวิถีจิตที่เกิดขึ้นทำกิจแต่ละขณะว่า จักขุวิญญาณจิตกระทำกิจ เป็นที่จักขุปสาทรูปซึ่งเป็นจักขุทวาร เหมือนนายทวารที่เปิดประตูดูที่ทวาร สัมปฏิจฉันนะเป็นทหารยามคนที่หนึ่งที่รับเครื่องราชบรรณการส่งให้คนที่สอง เพราะเมื่อจักขุวิญญาณจิตกระทำกิจเห็นแล้วก็ดับไป จักขุวิญญาณจิตจะกระทำกิจรับอารมณ์อย่างสัมปฏิจฉันนะไม่ได้ เพราะว่าจักขุวิญญาณกระทำทัสสนกิจได้อย่างเดียว คือ เห็นที่ทวารคือที่ปสาทรูปเท่านั้น แต่สัมปฏิจฉันนจิตเป็นดุจทหารยามคนที่หนึ่งที่ทำกิจรับอารมณ์ แล้วส่งให้ทหารยามคนที่สอง คือสันตีรณะ ซึ่งพิจารณาอารมณ์แล้วส่งต่อให้โวฏฐัพพนจิตตัดสิน แล้วส่งต่อให้พระราชาคือชวนวิถีจิตทำกิจเสวย คือ เสพเครื่องราชบรรณาการนั้น

ฉะนั้น ที่ใช้คำว่า เสพหรือเสวย ก็เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของกุศลจิต หรืออกุศลจิตที่กระทำชวนกิจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ชวนวิถีจิตเป็นจิตที่เสพอารมณ์ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ หรือด้วยกุศล หรือด้วยกิริยาจิตของพระอรหันต์ ชวนจิตกระทำกิจแล่นไปในอารมณ์โดยไม่ใช่เห็น ไม่ใช่รับ ไม่ใช่พิจารณา ไม่ใช่ตัดสิน เพราะจิตที่เกิดก่อนได้กระทำกิจเหล่านั้นไปหมดแล้ว จึงเป็นปัจจัยให้กุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือกิริยาจิตเกิดขึ้นเสพ คือ แล่นไปในอารมณ์นั้นถึง ๗ ขณะ ชวนวิถีจิตจึงเป็นวิถีจิตที่เสพอารมณ์จริงๆ ถ้าเป็นโมฆวาระ แม้เสียงกระทบโสตปสาทแต่ก็ไม่ได้ยิน หรือถ้าเป็นโวฏฐัพพนวาระ กุศลจิต อกุศลจิต กิริยาจิตก็ไม่เกิด จะเสพอารมณ์นั้นได้ไหม ในเมื่อชวนวิถีจิตไม่เกิด แต่เมื่อชวนวิถีจิตเกิดจึงเสพอารมณ์นั้นโดยเป็นจิตประเภทเดียวกัน เกิดดับสืบต่อซ้ำกันถึง ๗ ขณะ แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลชวนวิถีจิต หรืออกุศลชวนวิถีจิต หรือกิริยาชวนวิถีจิต

การที่ชวนวิถีจิตเกิดดับเสพอารมณ์ซ้ำถึง ๗ ขณะนั้นเป็นไปโดยปัจจัย คือ ชวนวิถีจิตขณะที่ ๑ เป็นอาเสวนปัจจัยให้ชวนวิถีจิตขณะที่ ๒ เกิดขึ้นเสพอารมณ์นั้นซ้ำอีก และชวนวิถีจิตขณะที่ ๒ ก็เป็นอาเสวนปัจจัยให้ชวนวิถีจิตขณะที่ ๓ เกิดขึ้นเสพอารมณ์นั้นซ้ำอีกเรื่อยไป จนถึงชวนวิถีจิตขณะที่ ๗ จึงไม่เป็นอาเสวนปัจจัย อาเสวนปัจจัย คือ อกุศลชวนวิถีจิตกุศลชวนวิถีจิต หรือกิริยาชวนวิถีจิตที่ทำให้จิตชาติเดียวกันเกิดขึ้นทำชวนกิจซ้ำอีก จึงมีกำลังทำให้อกุศลจิตและกุศลจิตเป็นกัมมปัจจัย ให้วิบากจิตซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นอุปนิสสยปัจจัย ให้อกุศลชวนวิถีและกุศลชวนวิถีและกิริยาชวนวิถีเกิดขึ้นอีกในอนาคต การสั่งสมอกุศลประเภทต่างๆ มากมายหนาแน่นพอกพูนขึ้นนั้น ทำให้ทันทีที่ลืมตาขึ้นเห็นแล้วก็หลงเลย ขณะที่เป็นภวังคจิตนั้นไม่รู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะถ้าคิดนึกหรือฝันก็เป็นมโนทวารวิถีจิต ไม่ใช่ภวังคจิต ฉะนั้น ตลอดเวลาที่เป็นภวังคจิตนั้นไม่รู้อารมณ์ใดๆ ของโลกนี้เลย โลกนี้ไม่ปรากฏเลย แต่แม้กระนั้นในขณะนั้นก็มีอนุสัยกิเลส ทั้งนี้เพราะกิเลสมี ๓ ขั้น คือ

อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียดที่สะสม นอนเนื่องอยู่ในจิต

ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับชวนวิถีจิต

วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบที่เกิดร่วมกับชวนวิถีจิต

ฉะนั้น แม้จิตซึ่งไม่ใช่ชวนวิถีจิตก็มีอนุสัยกิเลส เว้นจิตของพระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น

ฉะนั้น ให้ทราบว่า ขณะใดที่วิถีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียงที่ปรากฏทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น กระทบสัมผัสโผฏฐัพพะทางกาย หรือคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ทางใจ ขณะนั้นชวนวิถีจิตก็สั่งสมสันดานตนเพิ่มขึ้น ทั้งที่เป็นอกุศลและกามาวจรกุศล และกามาวจรกิริยาชวนวิถี

วาระหนึ่งๆ ที่เห็น วิถีจิตทั้ง ๗ วิถี เป็นจักขุทวารวิถี

วาระหนึ่งๆ ที่ได้ยิน วิถีจิตทั้ง ๗ วิถี เป็นโสตทวารวิถี

วาระหนึ่งๆ ที่ได้กลิ่น วิถีจิตทั้ง ๗ วิถี เป็นฆานทวารวิถี

วาระหนึ่งๆ ที่ลิ้มรส วิถีจิตทั้ง ๗ วิถี เป็นชิวหาทวารวิถี

วาระหนึ่งๆ ที่รู้โผฏฐัพพะ วิถีจิตทั้ง ๗ วิถี เป็นกายทวารวิถี

วาระหนึ่งๆ ที่คิดนึก วิถีจิตทั้ง ๗ วิถี เป็นมโนทวารวิถี

คำถามทบทวน

๑. วิถีจิตใดทางปัญจทวารและทางมโนทวารเป็นวิบากจิตบ้าง

๒. ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีกิริยาจิตกี่ดวง

๓. พระอรหันต์มีกิริยาจิตที่ไม่ใช่ชวนวิถีกี่ดวง

๔. อาเสวนปัจจัย คืออะไร

๕. จิตขณะใดเป็นอาเสวนปัจจัย

๒๕ มีนาคม ๒๕๔๓