#echo banner="" จิตตสังเขป บทที่ 6 สุจินต์ บริหารวนเขตต์

จิตตสังเขป
โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์
http://www.dhammastudy.com/thpar7.html

บทที่ ๖

จิต ๘๙ ดวง จำแนกออกเป็น ๔ ชาติ คือ

เป็น กุศล ๒๑ ดวง

เป็น อกุศล ๑๒ ดวง

เป็น วิบาก ๓๖ ดวง

เป็น กิริยา ๒๐ ดวง

เมื่อศึกษาเรื่องชาติของจิต ก็จะรู้ได้ว่าแต่ละบุคคลมีจิตประเภทใดบ้าง ดังนี้ คือ

ปุถุชน มีจิต ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา

พระโสดาบันบุคคล มีจิต ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา

พระสกทาคามีบุคคล มีจิต ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา

พระอนาคามีบุคคล มีจิต ๔ ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก กิริยา

พระอรหันต์ มีจิต ๒ ชาติ คือ วิบาก กิริยา

เมื่อรู้ว่าจิตแต่ละดวงเป็นชาติอะไร คือเป็นกุศล หรือ อกุศล หรือวิบาก หรือกิริยา ยังต้องรู้กิจการงานของจิตแต่ละดวงนั้นด้วยว่า จิตนั้นทำกิจอะไร ฉะนั้น จิตจึงมีชื่อตามกิจของจิตนั้นด้วย เช่น ขณะปฏิสนธิเป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม จิตที่ทำกิจปฏิสนธิในสุคติภูมิ เป็นกุศลวิบาก คือ เป็นผลของกุศลกรรม จิตที่ทำกิจปฏิสนธิในทุคติภูมิ ในอบายภูมิ เป็นอกุศลวิบาก คือเป็นผลของอกุศลกรรม

แต่กุศลวิบากจิตและอกุศลวิบากจิต ไม่ได้กระทำปฏิสนธิกิจทุกดวง ฉะนั้น เฉพาะ กุศลวิบากจิตและอกุศลวิบากจิต ที่ทำปฏิสนธิกิจเท่านั้น ที่ชื่อว่า "ปฏิสนธิจิต" กุศลวิบากจิตและอกุศลวิบากจิตใด ทำภวังคกิจ กุศลวิบากจิตและอกุศลวิบากจิตนั้น ก็ชื่อว่า "ภวังคจิต" จักขุวิญญาณจิต เป็นวิบากจิตที่ทำปฏิสนธิกิจไม่ได้ ทำภวังคกิจไม่ได้  ทำแต่ "ทัสสนกิจ" เท่านั้น ที่ชื่อว่า "จักขุวิญญาณจิต" เพราะเป็นจิตที่รู้แจ้ง คือ เห็นอารมณ์ ที่ปรากฏโดยอาศัยตา ฉะนั้น จึงเรียกชื่อจิตตามประเภทของจิตที่รู้แจ้งอารมณ์ทางทวารด้วย

ถาม ทำไมจิตจึงมี ๔ ชาติ ไม่ใช่ ๕ ชาติ คือควรจะเป็นกุศลจิตชาติ ๑ เป็นอกุศลจิตชาติ ๑ เป็นกุศลวิบากจิตชาติ ๑ เป็นอกุศลวิบากจิตชาติ ๑ เป็นกิริยาจิตชาติ ๑ รวมเป็น ๕ ชาติ

ตอบ ที่สงสัยว่า ทำไมจึงไม่มีจิต ๕ ชาติ ในเมื่อเหตุมี ๒ ชาติ คือ อกุศลเป็นเหตุ ๑ กุศลเป็นเหตุ ๑ ฉะนั้นวิบากจิตก็ควรมี ๒ ชาติด้วย คือ น่าจะมีอกุศลวิบากชาติ ๑ และกุศลวิบากชาติ ๑ แต่ที่จิตมี ๔ ชาตินั้นก็เพราะเหตุว่า วิบากจิตเองนั้น ไม่ชื่อว่าเป็นธรรมชาติที่เลว ปานกลาง หรือประณีต แต่จิตที่เป็นอกุศล และกุศลนั้น ต่างกันโดยประการต่างๆ เช่น ต่างกันโดยความวิจิตรของอกุศลธรรม หรือกุศลธรรมในขณะนั้นๆ ซึ่งเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ต่างกันโดยกรรมที่เป็นขั้นทานก็มี ขั้นศีลก็มี ขั้นอบรมเจริญปัญญา เช่น ขั้นฟังธรรม ขั้นแสดงธรรม ขั้นอบรมเจริญกุศล ที่เป็นความสงบ ระงับกิเลสเป็นสมถภาวนา และขั้นเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นการอบรม เจริญวิปัสสนาภาวนา และต่างกันโดยทวาร เช่น เป็นการกระทำโดยกาย หรือโดยวาจา หรือโดยใจ และยังต่างกันด้วยอธิบดี คือ สภาพธรรมที่เป็นสัมปยุตตธรรม ที่เป็นใหญ่ หรือโดยเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยต่างๆ กัน

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า สภาพธรรมที่เป็นเหตุ คืออกุศลและกุศลนั้นมีประเภทต่างๆ มากมาย แต่ว่าความต่างทั้งปวงเหล่านั้น ไม่มีในวิบากจิต วิบากจิตเป็นเพียงผลของกรรม ที่ได้กระทำแล้ว ซึ่งเมื่อกรรมสุกงอมพร้อมด้วยโอกาสปัจจัย ก็ทำให้วิบากจิตเกิดขึ้น ทำกิจปฏิสนธิ กิจภวังค์ หรือกิจอื่นๆ ที่รู้อารมณ์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ขณะเห็นในขณะนี้เป็นจักขุวิญญาณจิต เป็นวิบากจิตเกิดแล้วเพราะอดีตกรรมเป็นปัจจัย แต่วิบากจิตที่เห็นจะเป็นเหตุให้เกิดวิบากอีกไม่ได้

ขณะกำลังได้ยิน คือ ขณะที่จิตกำลังรู้เสียงนั้น เป็นวิบากจิต แต่ว่าโสตวิญญาณจิต คือจิตที่ได้ยินเสียงนั้น จะเป็นเหตุให้เกิดวิบากไม่ได้

เมื่อวิบากจิตไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต และไม่สามารถที่จะยังการกระทำทางกาย วาจาใดๆ ให้เกิดขึ้น และวิบากจิตต่างๆ ไม่ประกอบด้วย ธรรม เช่น กรุณาเจตสิก มุทิตาเจตสิก และวิรตีเจตสิก ๓ (คือ สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตเจตสิก สัมมาอาชีวเจตสิก) ฉะนั้น วิบากจิตเอง ไม่ชื่อว่าเป็นธรรมชาติที่เลว ปานกลาง ประณีต แต่วิบากแห่งกรรมเลว จัดเป็นเลว วิบากแห่งกรรมปานกลาง จัดเป็นปานกลาง วิบากแห่ง กรรมประณีต จัดเป็นประณีต เมื่อวิบากเป็นแต่เพียงธรรม ซึ่งเป็นผลของเหตุที่เป็นอกุศลหรือกุศล แต่ตัววิบากเอง ไม่ชื่อว่าเป็นสภาพธรรมที่เลว ปานกลาง ประณีต และไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบาก ฉะนั้นจึงรวมเป็นชาติวิบาก ๑ ชาติ เพราะไม่ต่างกันโดยประการต่างๆ อย่างสภาพธรรมที่เป็นเหตุ คือ อกุศลและกุศล ซึ่งแยกเป็นอกุศล ๑ ชาติ และกุศล ๑ ชาติ

วิบากจิตทั้งหมดเป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว

จักขุวิญญาณจิต เป็นวิบากจิต

สัมปฏิจฉันนจิต เป็นวิบากจิต

สันตีรณจิต เป็นวิบากจิต

ตทาลัมพนจิต เป็นวิบากจิต

ฉะนั้น ต้องรู้ว่าขณะใดเป็นวิบาก ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ขณะใดเป็นกิริยา

ขณะใดที่เห็นรูปสีสันวัณณะที่น่าพอใจ จักขุวิญญาณที่เกิดขึ้นเห็นนั้นเป็นกุศลวิบาก สัมปฏิจฉันนะก็เป็นกุศลวิบาก สันตีรณะก็เป็นกุศลวิบาก ตทาลัมพนะก็เป็นกุศลวิบาก เมื่อรูปที่ปรากฏทางตาดับไปแล้ว วิถีจิตทางตาดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตก็เกิดดับสืบต่อจนกว่าวิถีจิตต่อไปจะเกิดขึ้นรู้อารมณ์อื่น ฉะนั้น ควรรู้ว่าขณะเห็นสิ่งใดทางตา วิบากจิตทั้งหมดที่เป็นวิถีจิตวาระนั้นเป็นผลของอดีตกรรมหนึ่งที่ได้กระทำแล้ว

ขณะได้ยินเสียงที่น่าพอใจ หรือเสียงที่ไม่น่าพอใจ ก็เพียงชั่วขณะที่วิบากจิตเกิดขึ้นเป็นวิถีจิตรู้เสียงที่ได้ยินนั้นแล้วก็ดับไปหมดไปจริงๆ แต่อกุศลก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นพอใจหรือไม่พอใจในรูปต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมากมายเหลือเกิน ที่ว่ามากก็คือวัน หนึ่งๆ ไม่พ้นความพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้างในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โดยขั้นการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น ไม่สามารถที่จะดับอกุศลได้ทั้งๆ ที่รู้ว่าขณะเห็นเป็นเพียงวิบาก เป็นผลของกรรมในอดีตแต่ก็ยับยั้งความพอใจ คือ โลภะไม่ให้เกิดไม่ได้ขณะที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจ

ฉะนั้น จึงควรศึกษาให้เข้าใจสภาพทั้งหลายให้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อจะได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่สามารถประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ การศึกษาพิจารณาธรรมโดยละเอียดย่อมทำให้เห็นโทษของอกุศลธรรมยิ่งขึ้น และย่อมทำให้อบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้นทุกขั้น เพราะรู้ว่ามิฉะนั้นจะเป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยกิเลสมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ท่านถือว่าทุกอย่างเป็นของท่านในขณะที่วิถีจิตเกิดเท่านั้น เมื่อใดที่วิถีจิตไม่เกิด ไม่เห็นไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งกระทบสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เช่น ในขณะที่นอนหลับสนิท แม้ว่ายังไม่สิ้นชีวิตแต่ขณะหลับสนิทนั้นก็ไม่มีเยื่อใย ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ ไม่มีความผูกพันในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความยึดถือแม้แต่ในขันธ์ซึ่งเคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เพราะขณะนั้นวิถีจิตไม่เกิดขึ้นจึงไม่รู้อารมณ์ใดๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย ขณะที่ยังไม่สิ้นชีวิตเพียงแต่หลับสนิทก็ยังขาดเยื่อใยความสัมพันธ์ ความเกี่ยงข้องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและเรื่องราวต่างๆ ได้ แล้วทำไมจะไม่อบรมเจริญปัญญาเพื่อตัดเยื่อใย และการยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ซึ่งจะทำให้อกุศลน้อยลงเมื่อรู้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างปรากฏเพียงชั่วขณะที่วิถีจิตเกิดขึ้นเท่านั้นเอง และเมื่อจิตใดเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตนั้นก็ดับไปจริงๆ รูปใดเกิดแล้วดับไป รูปนั้นก็ดับไปจริงๆ รูปที่ปรากฏทางตาเมื่อครู่นี้ดับหมดจริงๆ วิถีจิตแต่ละขณะทางตาเมื่อครู่นี้ดับหมดจริงๆ เสียงที่ปรากฏทางหูก็ดับหมดจริงๆ ได้ยินก็ดับหมดจริงๆ จิตทุกขณะและรูปทุกรูปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปจริงๆ แต่ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ ก็ยังไม่เข้าถึงอรรถ คือความหมายของคำว่า "ดับ" เพราะยังไม่ประจักษ์การดับ เช่น เวลานี้ถ้าจะกล่าวว่าจักขุวิญญาณจิตดับ สัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตดับ ชวนจิตดับ ตทาลัมพนจิตดับ แต่ก็ยังไม่ประจักษ์การดับไปของสภาพธรรมใดๆ เลย ฉะนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ แต่ถึงแม้ว่าปัญญาขั้นนั้นยังไม่เกิด การฟังธรรมและการพิจารณาให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องละเอียดยิ่งขึ้นก็จะเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นปัจจัยโดยเป็นสังขารขันธ์ ปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ และปัญญาน้อม คือ ค่อยๆ ศึกษาพิจารณาจนเพิ่มความรู้ลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนขึ้นทีละเล็กละน้อยในอัฏฐสาลินี อตีตติกะ อธิบายอตีตธรรม (๑๐๔๔) กล่าวถึงลักษณะของธรรมที่เป็นอดีตล่วงไปแล้ว มีข้อความว่าคำว่า "ล่วงไปแล้ว" คือ ล่วงไปแล้ว ๓ ขณะ ทั้งอุปาทขณะคือขณะที่เกิด ฐิติขณะคือขณะที่ตั้งอยู่ และภังคขณะคือขณะที่ดับจิตดวงหนึ่งๆ มีอายุสั้นมากเหลือเกิน คือ เพียงเกิดขึ้นตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จิตทุกดวงจึงมีอนุขณะ ๓ ขณะ คือ

อุปาทขณะ เป็นขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่ไม่ใช่ขณะที่ดับ

ฐิติขณะ เป็นขณะที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ดับ

ภังคขณะ เป็นขณะที่ดับ ไม่ใช่ขณะที่เกิด ไม่ใช่ขณะที่ตั้งอยู่

จิตขณะที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังตั้งอยู่ ยังไม่ชื่อว่าเป็นอดีตสำหรับฐิติขณะ แต่เป็นอดีตแล้วสำหรับอุปทาขณะ

เมื่อศึกษาต่อไปเรื่องรูปก็จะรู้ว่า รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานนั้นเป็นกัมมชรูป เกิดทุกขณะของจิต คือ เกิดขณะอุปาทะของจิต เกิดขณะฐิติของจิต เกิดขณะภังคะของจิตทุกดวง เว้นไม่เกิดก่อนจุติจิต ๑๗ ขณะ ฉะนั้น รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานจึงดับหมดพร้อมกับจุติจิต ทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาตินั้นทั้ง ๕ ขันธ์

รูปที่เกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐานเป็นจิตตชรูป เกิดพร้อมกับอุปปาทขณะของจิต (เว้นปฏิสนธิจิต ๑ ดวง ทวิปัญจวิญญานจิต ๑๐ ดวง อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง และจุติจิตของพระอรหันต์ ๑ ดวง)รูปที่เกิดเพราะอุตุ คือ ธาตุไฟที่เหมาะสมเป็นสมุฏฐานนั้นเป็นอุตุชรูป เกิดในฐิติขณะของอุตุชรูปซึ่งเป็นสมุฏฐานนั้นรูปที่เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐานเป็นอาหารชรูป เกิดในฐิติขณะของโอชารูปในอาหารที่บริโภคเข้าไป เมื่อโอชารูปในอาหารนั้นซึมซาบแล้ว

จิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว ฉะนั้น ขณะทั้ง ๓ ก็หมดไปอย่างรวดเร็วด้วย แต่ธรรมใดซึ่งเป็นอดีต คือ "ล่วงไปแล้ว" นั้น ล่วงไปแล้วทั้ง ๓ ขณะ ไม่เหลือทั้งอุปาทขณะ ฐิติขณะและภวังคขณะคำอธิบายต่อไปมีว่า

คำว่า "ดับแล้ว" คือ ถึงความดับแล้ว เหมือนไฟดับ ดับแล้ว ไม่มีอีกคำว่า "ปราศไปแล้ว" คือ ถึงความปราศไปแล้วหรือไปปราศแล้ว เหมือนคนตายที่ปราศไปแล้ว ไปปราศแล้ว ไม่เหลือเลย นั้นคือลักษณะของความดับคำว่า "แปรไปแล้ว" คือ ถึงความแปรไปด้วยการละปกติ ปกติ คือ มี แต่แปรไปด้วยการละปกติ คือ ไม่มีคำว่า "อัสดงคตแล้ว" ด้วยอรรถว่า ถึงความตั้งอยู่ไม่ได้ กล่าวคือ ความดับ"อพฺภตฺถงฺคตา" แปลว่า ถึงความดับสูญแล้ว ทรงเพิ่มบทด้วย อุปสรรค คือ ไม่เพียงแต่ใช้คำว่าดับ ยังเพิ่มบทด้วยอุปสรรค คือ ให้รู้ถึงความดับสูญแล้ว ไม่เหลือจริงๆ คำว่า "เกิดขึ้นแล้วปราศไป" คือ บังเกิดแล้วปราศไป ไม่ใช่ว่าไม่มี เพราะเกิดขึ้น แต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ปราศไปแล้วสูญจริงๆ ไม่เหลือเลย ธรรมส่วนที่ล่วงไปแล้วเหล่านั้น อะไรบ้าง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นสังขตธรรมและเป็นขันธ์ ๕ ดังนี้ คือรูปขันธ์ รูปทุกรูป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

เวทนาขันธ์ ความรู้สึกทุกอย่าง คือ เวทนาเจตสิกเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

สัญญาขันธ์ สภาพจำ คือ สัญญาเจตสิก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

สังขารขันธ์ ได้ แก่ เจตสิก ๕๐ ประเภทซึ่งปรุงแต่ง เช่น โลภะ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ ศรัทธา วิริยะ และปัญญา เป็นต้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

วิญญาณขันธ์ คือ จิตทุกดวง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

เมื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสังขตธรรม เป็นขันธ์หนึ่งขันธ์ใดใน ๕ ขันธ์ ดับไปทุกขณะๆ อย่างนี้ ยังอาลัย ยังยึดถือยังผูกพันขันธ์ไหนบ้างไหม ในเมื่อทุกขันธ์เกิดแล้วก็ดับไปๆ สูญไปด้วย ไม่ใช่ดับแล้วยังมีเหลือ แต่ว่าดับสูญไป ปราศไปโดยไม่เหลือเลย

เพียงขั้นการอ่าน การฟัง ดับกิเลสไม่ได้เลย ยังอยู่เต็มทีเดียว ฉะนั้น จึงต้องพิจารณาให้เข้าใจเพื่อเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติระลึก สังเกต พิจารณารู้สิ่งที่ได้ยินได้ฟังเข้าใจแล้วนั้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏและดับไป จึงจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนได้

ในวันหนึ่งๆ เคยชอบสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เคยยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา เป็นสมบัติของเรา แท้ที่จริงทุกอย่างปรากฏขณะที่เป็นวิถีจิตเท่านั้นเอง สภาพธรรมใดที่เป็นวิบาก ก็เป็นผลของกรรม จะมีบ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ เสื้อผ้าอาภรณ์มากมายอย่างไร ประณีตสวยงามอย่างไร วิบากจิตซึ่งเป็นผลของอดีตกรรมก็เพียงเกิดขึ้นรู้อารมณ์นั้นๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพียงชั่วขณะที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนเลย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปๆ แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่ากรรมใดจะให้ผลในขณะต่อไป เพราะเหตุว่าทุกคนมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้ว เมื่อพร้อมด้วยปัจจัยที่กรรมใดจะให้ผลเป็นวิบากใดเกิดขึ้น วิบากนั้นก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง เท่านั้นเอง

การศึกษาพิจารณาเรื่องความไม่เที่ยงของสภาพธรรมย่อมเป็นวิริยารัมภกถา ที่จะทำให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วศึกษาพิจารณาจนกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมแต่ละลักษณะที่กำลังปรากฏทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ

เมื่อเข้าใจถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรม ชวนวิถีที่เป็นกุศลจิตก็เพิ่มขึ้น แต่ถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษาให้เข้าใจเรื่องของสภาพธรรมเลย ก็ไม่รู้ว่าขณะใดเป็นวิบากซึ่งเป็นผลของอดีตกรรม ขณะใดเป็นชวนวิถีจิตที่สั่งสมสันดานที่เป็นอกุศลหรือกุศล เมื่อไม่รู้ก็ไม่เห็นโทษของอกุศล และไม่อบรมเจริญกุศล สังสารวัฏฏ์ก็ย่อมจะต้องยืดยาวต่อไป ในวันหนึ่งๆ นั้นอกุศลจิตเกิดมากหรือกุศลจิตเกิดมาก ฉะนั้น ผลข้างหน้าจะเป็นกุศลวิบากมากหรืออกุศลวิบากมาก ซึ่งทุกท่านก็ย่อมพิจารณารู้สภาพธรรมที่เกิดกับท่านได้ในชีวิตประจำวันตามความเป็นจริง

สรุปกิจของจิต

กิจของจิตมี ๑๔ กิจ คือ

๑. ปฏิสนธิกิจ คือ กิจสืบต่อจากจุติกิจ จิตที่ทำปฏิสนธิกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๑๙ ดวง คือกามาวจรวิบาก ๑๐ ดวง

รูปาวจรวิบาก ๕ ดวง

อรูปาวจรวิบาก ๔ ดวง

๒. ภวังคกิจ คือ กิจดำรงภพชาติจิตที่ทำภวังคกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๑๙ ดวง คือ วิบากจิตประเภทใดทำปฏิสนธิกิจ วิบากจิตประเภทเดียวกันนั้น ก็เกิดขึ้นทำภวังคกิจต่อจากปฏิสนธิจิตที่ดับไปแล้ว จนกว่าวิถีจิตจะเกิดทางทวารใดทวารหนึ่ง และเมื่อวิถีจิตทางทวารนั้นดับไปแล้ว ภวังคจิตก็เกิดสืบต่อทุกครั้ง จนกว่าจะจุติ

๓. อาวัชชนกิจ คือ กิจนึกถึงอารมณ์ที่กระทบทวารเป็นวิถีจิตขณะแรกที่เกิดขึ้นทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวารจิตที่ทำอาวัชชนกิจเป็นกิริยาจิต ๒ ดวง คือ

ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง

มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง

๔. ทัสสนกิจ คือ กิจเห็นจิตที่ทำทัสสนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๒ ดวง คือ

จักขุวิญญาณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

จักขุวิญญาณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

๕. สวนกิจ คือ กิจได้ยินจิตที่ทำสวนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๒ ดวง คือ

โสตวิญญาณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

โสตวิญญาณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

๖. ฆายนกิจ คือ กิจได้กลิ่นจิตที่ทำฆายนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๒ ดวง

ฆานวิญญาณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

ฆานวิญญาณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

๗. สายนกิจ คือ กิจลิ้มรสจิตที่ทำสายนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๒ ดวง

ชิวหาวิญญาณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

ชิวหาวิญญาณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

๘. ผุสสนกิจ คือ กิจรู้อารมณ์ที่กระทบกายจิตที่ทำผุสสนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๒ ดวง

กายวิญญาณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

กายวิญญาณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

๙. สัมปฏิจฉันนกิจ คือ กิจรับอารมณ์ต่อจากทวิปัญจวิญญาณจิตที่ทำสัมปฏิจฉันนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๒ ดวง

สัมปฏิจฉันน อกุศลวิบาก ๑ ดวง

สัมปฏิจฉันน กุศลวิบาก ๑ ดวง

๑๐. สันตีรณกิจ คือ กิจพิจารณาอารมณ์ที่ปรากฏทางทวาร ๕จิตที่ทำสันตีรณกิจ ได้แก่วิบากจิต ๓ ดวง

อุเบกขาสันตีรณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

อุเบกขาสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

โสมนัสสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

๑๑. โวฏฐัพพนกิจ คือ กิจตัดสินอารมณ์ให้ชวนวิถีจิตประเภทหนึ่ง ประเภทใดเกิดทางปัญจทวารจิตที่กิจนี้ ได้แก่ กิริยาจิต ๑ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต

๑๒. ชวนกิจ คือ กิจแล่นไปในอารมณ์ หรือเสพอารมณ์จิตที่ทำชวนกิจมี ๕๕ ดวงคือ

อกุศลจิต ๑๒ ดวง

อเหตุกะ (หสิตตุปปาทจิต) ๑ ดวงกามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง

กามาวจรกิริยาจิต ๘ ดวง

รูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง

รูปาวจรกิริยาจิต ๕ ดวง

อรูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง

อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ ดวง

โลกุตตรจิต ๘ ดวง

๑๓. ตทาลัมพนกิจ คือ กิจรู้อารมณ์ต่อจากชวนกิจจิตที่ทำตทาลัมพนกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๑๑ ดวง

สันตีรณจิต ๓ ดวง

กามาวจร สเหตุก กุศลวิบาก ๘ ดวง

๑๔. จุติกิจ คือ กิจเคลื่อนจากภพชาติ เมื่อจุติจิตเกิดทำกิจเคลื่อนจากภพชาติดับไปแล้ว ก็สิ้นชีวิต หมดสภาพความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิงจิตที่ทำจุติกิจ ได้แก่ วิบากจิต ๑๙ ดวง ประเภทเดียวกับปฏิสนธิจิตและภวังคจิตนั่นเอง เมื่อวิบากจิตประเภทใดทำปฏิสนธิกิจ วิบากจิตประเภทเดียวกันนั้นเองก็ทำภวังคกิจและจุติกิจ

รวมจิต ๘๙ ดวง ทำกิจ ๑๔ กิจ

ปฏิสนธิจิตประมวลมาซึ่งนามธรรมและรูปธรรมทั้งหลาย ซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นเป็นไปในภพชาติหนึ่งๆ ตามกำลังและประเภทของปฏิสนธิจิตนั้นๆ

จิตที่ทำปฏิสนธิกิจในกามภูมิ ๑๑ ได้แก่ กามาวจรวิบากจิต ๑๐ ดวง คือ

อุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง

อุเบกขา สันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

กามาวจร สเหตุกกุศลวิบาก (มหาวิบาก) ๘ ดวงอุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง เป็นผลของอกุศลกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำปฏิสนธิกิจในอบายภูมิ ๔ คือ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน

อุเบกขา สันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง เป็นผลของกุศลกรรมอย่างอ่อนไม่มีกำลัง จึงทำปฏิสนธิกิจในมนุษย์และสวรรค์ชั้นต้น คือ สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา โดยมีอกุศลกรรมเบียดเบียน ทำให้เป็นบุคคลพิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก เป็นต้น ตั้งแต่กำเนิด

มหาวิบาก ๘ ดวง ทำปฏิสนธิกิจในภูมิมนุษย์และสวรรค์ ๖ ภูมิต่างๆ กัน ตามกำลังและความประณีตของกุศลกรรมนั้นๆ

รูปาวจรวิบากจิต ๕ ดวง ทำปฏิสนธิกิจในรูปพรหม ๑๕ ภูมิ ตามขั้นของอรูปาวจรกุศลนั้นๆ ซึ่งเป็นเหตุ

อรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง ทำปฏิสนธิกิจในอรูปพรหม ๔ ภูมิ ตามขั้นของรูปาวจรกุศลนั้นๆ ซึ่งเป็นเหตุ

สำหรับจิตที่ทำตทาลัมพนกิจ ๑๑ ดวงนั้น เกิดต่อจากกามชวนวิถีในกามภูมิเท่านั้น ไม่เกิดในภูมิที่สูงกว่านี้ คือไม่เกิดในรูปพรหมภูมิ และอรูปพรหมภูมิเลย

จิตที่ทำได้ ๕ กิจ มี ๒ ดวง คือ อุเบกขา สันตีรณ อกุศลวิบาก ๑ ดวง และอุเบกขาสันตีรณ กุศลวิบาก ๑ ดวง

จิตที่ทำได้ ๔ กิจ มี ๘ ดวง คือ มหาวิบากจิต ๘ ดวง

จิตที่ทำได้ ๓ กิจ มี ๙ ดวง คือ รูปาวจรวิบากจิต ๕ ดวงและอรูปาวจรวิบากจิต ๔ ดวง

จิตที่ทำได้ ๒ กิจ มี ๒ ดวง คือ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง และโสมนัส สันตีรณ กุศลวิบากจิต ๑ ดวง

จิตที่เหลือทำได้กิจเดียว เฉพาะกิจของตนๆ

คำถามทบทวน

๑. ตทาลัมพนจิตเป็นชาติอะไร เป็นผลของกรรมอะไร

๒. กัมมชรูปเกิดขณะใดบ้าง และเว้นไม่เกิดเมื่อไร

๓. จิตตชรูปเกิดเมื่อไร เว้นไม่เกิดขณะไหนบ้าง

๔. อกุศลจิตทำกิจอะไร

๕. จิตที่ทำชวนกิจมีกี่ชาติ

๖. กุศลจิต กิริยาจิต ทำตทาลัมพพนกิจได้ไหม

๗. อุเบกขาสันตีรณจิต ทำกิจได้กี่กิจ อะไรบ้าง

๘. โสมนัสสันตีรณจิต ทำกิจได้กี่กิจ อะไรบ้าง

๙. พระอรหันต์มีจิตกี่ชาติ

๑๐. ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีจิตกี่ชาติ

๒๖ มีนาคม ๒๕๔๓