#echo banner="" จิตตสังเขป บทที่ 10 สุจินต์ บริหารวนเขตต์

จิตตสังเขป

โดย

สุจินต์ บริหารวนเขตต์

http://www.dhammastudy.com/thpar11.html

บทที่ ๑๐

จิตต่างกันโดยสัมปยุตตธรรม คือ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จึงจำแนกจิตโดยนัยของเวทนาเภท คือ โดยประเภทของเวทนาเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ต่างกัน คือ

โสมนสฺสสหคตํ จิตเกิดร่วมกับโสมนัสสเวทนาเจตสิก (ความรู้สึกดีใจ)

โทมนสฺสสหคตํ จิตเกิดร่วมกับโทมนัสสเวทนาเจตสิก (ความรู้สึกเสียใจ)

อุเปกขาสหคตํ จิตเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา (ความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์)

สุขสหคตํ จิตเกิดร่วมกับสุขเวทนา (ความรู้สึกเป็นสุขทางกาย)

ทุกฺขสหคตํ จิตเกิดร่วมกับทุกขเวทนา (ความรู้สึกเป็นทุกข์ทางกาย)

ขณะใดที่จิตเกิดขึ้น ขณะนั้นต้องมีเวทนาเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ฉะนั้น เวทนาเจตสิกดวงหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะเป็นเวทนาเจตสิกประเภทใด จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งลักษณะต่างๆ ของอารมณ์ แต่เวทนาเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่รู้สึกดีใจหรือเสียใจ สุขหรือทุกข์ หรือเฉยๆ ในขณะที่รู้อารมณ์

เมื่อจิตต่างกันโดยชาติ คือ เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา เจตสิกที่เกิดกับจิตใดก็ต้องเป็นชาติเดียวกับจิตนั้น อกุศลเจตสิก จะเกิดกับกุศลจิต วิบากจิตและกิริยาจิตไม่ได้ กุศลเจตสิกจะเกิดกับอกุศลจิต วิบากจิตและกิริยาจิตไม่ได้ วิบากเจตสิกก็เกิดกับอกุศลจิต กุศลจิตและกิริยาจิตไม่ได้ ฉะนั้น เวทนาเจตสิกจึงต่างกันเป็นกุศล อกุศล วิบาก กิริยา เช่นเดียวกับเจตสิกอื่นๆ ด้วย แต่ถ้าพระผู้มีพระภาค ไม่ได้ทรงแสดง ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละประเภท ไว้โดยละเอียด ก็จะมีผู้เข้าใจผิดในลักษณะของเวทนาเจตสิก เช่น ทุกขเวทนาทางกาย ซึ่งเป็นความรู้สึกไม่สบาย ปวด เจ็บนั้นเกิดร่วมกับกายวิญญาณจิต ซึ่งเป็นจิตที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่เกิดขึ้นชั่วขณะจิตเดียว ไม่ใช่ขณะที่รู้สึกโทมนัสไม่แช่มชื่นเมื่อกระทบกับอารมณ์ที่ไม่พอใจทางกายแล้ว เมื่อจิตแต่ละขณะต่างกันโดยละเอียด ตามเวทนาเจตสิก ที่เกิดร่วมกับจิตแต่ละขณะ พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า จิตที่เป็นอกุศลแต่ละประเภทนั้นมีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย จิตที่เป็นวิบากแต่ละประเภทนั้นมีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย จิตที่เป็นกิริยาแต่ละประเภทนั้นมีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย

ชั่วขณะที่รู้สึกเจ็บนั้นเป็นทุกขเวทนาทางกาย เป็นอกุศลวิบาก แต่ขณะที่ไม่พอใจ เดือดร้อนกังวลเพราะทุกขเวทนานั้นไม่ใช่วิบาก ขณะนั้นอกุศลเวทนาเกิดกับอกุศลจิตจึงไม่สบายใจ

การศึกษาพระอภิธรรมโดยละเอียด ทำให้เข้าใจสภาพของเวทนาเจตสิกซึ่งเกิดกับจิตได้ถูกต้อง มิฉะนั้นก็จะพอใจหลงติดในโสมนัสเวทนา ในสุขเวทนา หรือในอุเบกขาเวทนาโดยไม่รู้ว่าเวทนาขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล ขณะใดเป็นวิบาก ขณะใดเป็นกิริยา

ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ สนิมิตตวรรคที่ ๓ ข้อ ๓๒๘ มีข้อความว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีเวทนาจึงเกิดขึ้น ไม่มีเวทนาไม่เกิดขึ้น เพราะละเวทนานั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มีด้วยประการดังนี้ ฯ

(ข้ออื่นๆ กล่าวถึงสัญญาเจตสิกซึ่งเป็นสัญญาขันธ์เจตสิกอื่นๆ ซึ่งเป็นสังขารขันธ์ และจิตซึ่งเป็นวิญญาณขันธ์)

แสดงว่า เวทนาเจตสิกซึ่งเป็นความรู้สึกนั้นเป็นที่ตั้งยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น เมื่อไม่รู้ความจริงของเวทนาเจตสิก ก็ไม่สามารถละความรู้สึกว่าเป็นเราได้

การรู้สภาพของเวทนาเจตสิกจะเกื้อกูลให้สติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของเวทนาได้ มิฉะนั้นก็จะไม่ระลึกได้เลยว่าในวันหนึ่งๆ นั้นมีเวทนา เช่นเดียวกับในวันหนึ่งๆ ก็มีแต่สภาพที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะจิตเกิดขึ้นรู้สภาพธรรมนั้นๆ แต่ลองคิดดูว่าถ้าเห็นแล้วไม่มีความรู้สึกอะไรเลยก็ไม่เดือดร้อน ถ้าได้ยินแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยก็ไม่เดือดร้อนอีกเหมือนกัน เมื่อได้กลิ่น ลิ้นรส รู้โผฎฐัพพะ แล้วไม่รู้สึกอะไรเลยก็ไม่เดือนร้อน ก็ย่อมไม่มีบาปอกุศลกรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อมีความรู้สึกเกิดขึ้นจึงติดและยึดมั่นในความรู้สึกและอยากได้สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีใจเป็นสุข ทำให้อกุศลธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ โดยไม่รู้ตัว ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถยับยั้งไม่ให้เวทนาเจตสิกที่รู้สึกในอารมณ์ขณะนั้น ขณะนี้เวทนาเจตสิกย่อมจะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือ อุเบกขาเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนา การศึกษาธรรมไม่ใช่เพียงเพื่อให้รู้จำนวนหรือรู้ชื่อ แต่เพื่อให้รู้ลักษณะของความรู้สึกซึ่งกำลังมีในขณะนี้ แม้ความรู้สึกนั้นมีจริงเกิดขึ้น แต่ก็ดับไปแล้ว เมื่อไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของความรู้สึก ก็ย่อมจะยึดถือความรู้สึกว่าเป็นเราซึ่งเป็นสุข เป็นทุกข์ ดีใจ เสียใจ หรือเฉยๆ

ฉะนั้น ตราบใดที่สติไม่เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของความรู้สึก ย่อมไม่มีทางที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ บุคคลตัวตน เพราะทุกคนยึดมั่นในความรู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ทุกคนต้องการความรู้สึกที่เป็นสุข ไม่มีใครต้องการความรู้สึกเป็นทุกข์ ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีทางใดที่จะให้เกิดสุขเวทนาหรือโสมนัสเวทนา ก็ย่อมจะพยายามขวนขวายให้เกิดความรู้สึกนั้น โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นเป็นการติด เป็นความพอใจยึดมั่นในความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เมื่อความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนยึดถือ พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงเวทนาเจตสิก ๑ ดวง เป็นเวทนาขันธ์ เพราะเป็นสภาพธรรมซึ่งเป็นที่ยึดมั่นว่าเป็นตัวตนสัตว์บุคคลอย่างสำคัญชนิดหนึ่ง การที่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพที่มีจริงที่เกิดขึ้นปรากฏนั้น จะต้องอาศัยการศึกษาการฟังเรื่องของสภาพธรรมให้ละเอียดยิ่งขึ้น และพิจารณาพิสูจน์สภาพธรรมที่มีจริงนั้นในชีวิตประจำวันด้วย

เวทนาเจตสิกมี ๔ ชาติ คือ เวทนาที่เป็นกุศล ๑ เวทนาที่เป็นอกุศล ๑ เวทนาที่เป็นวิบาก ๑ เวทนาที่เป็นกิริยา ๑ เวทนาเป็นสังขตธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เวทนาที่เป็นวิบากขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เวทนาที่เป็นกุศล อกุศล กิริยา ไม่ใช่วิบาก จึงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ก็จะต้องเกิดเพราะปัจจัยอื่น โดยนัยของเวทนา ๕ นั้น สุขเวทนาทางกายและทุกขเวทนาทางกายเป็นชาติวิบาก เป็นผลของกรรม เวทนาเจตสิกที่เป็นวิบากนั้นมีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นรู้สึกอารมณ์ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามประเภทของวิบากนั้นๆ

ขณะเห็น จักขุวิญญาณเป็นวิบากจิตเกิดร่วมกับอุเบกขาเวทนา ซึ่งเป็นวิบากเจตสิกและวิบากเจตสิกอื่นๆ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ และชิวหาวิญญาณก็โดยนัยเดียวกัน แต่กายวิญญาณอกุศลวิบากซึ่งรู้แจ้งลักษณะต่างๆ ของโผฎฐัพพารมณ์ ที่กระทบสัมผัสกายนั้นเกิดร่วมกับทุกเวทนา และกายวิญญาณ กุศลวิบากเกิดร่วมกับสุขเวทนา ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงเวทนาที่เกิดกับจิตประเภทต่างๆ ได้ กายวิญญาณเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย เมื่อกายปสาทรูปกระทบกับมหาภูตรูป (เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว) ที่เป็นอิฎฐารมณ์ สุขเวทนาก็เกิดเมื่อกายปสาทรูปกระทบกับมหาภูตรูปที่เป็นอนิฎฐารมณ์ ทุกขเวทนาก็เกิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นปรากฏที่กายเป็นทุกเวทนาหรือสุขเวทนาเท่านั้น จะเป็นอุเบกขาเวทนา หรือโสมนัสเวทนา หรือโทมนัสเวทนาไม่ได้เลย ต้องแยกเวทนาทางกายและทางใจขณะที่เป็นกายวิญญาณ สุขเวทนาหรือทุกขเวทนาเป็นชาติวิบากเป็นผลของอดีตกรรม แต่ขณะที่เดือดร้อนเป็นห่วงกังวลนั้น เป็นความรู้สึกไม่สบายใจ ขณะนั้นจึงไม่ใช่ผลของอดีตกรรมแต่เป็นผลของการสะสมของอกุศลธรรม จึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจไม่แช่มชื่น

นอกจากทุกขเวทนาและสุขเวทนา ซึ่งเป็นชาติวิบากอย่างเดียวเท่านั้น และโทมนัสเวทนาซึ่งเป็นชาติอกุศลอย่างเดียวเท่านั้น เวทนาอื่น คือ โสมนัสเวทนาและอุเบกขาเวทนานั้น เป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ เป็นวิบากก็ได้ เป็นกิริยาก็ได้ นี่เป็นความต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย

เคยระลึกรู้ลักษณะของเวทนาบ้างหรือยัง ขณะนี้เวทนากำลังเกิดขึ้นและกำลังดับไป บางท่านอาจจะเริ่มระลึกรู้ลักษณะของรูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย บางท่านอาจจะเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพรู้ในขณะกำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้นรส รู้โผฎฐัพพะและนึกคิด แต่นั่นไม่พอ เพราะสติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงที่กำลังปรากฏทั้ง ๕ ขันธ์ คือ ทั้งรูปขันธ์ เทวนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ เมื่อสติยังไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเหล่านี้จริงๆ ก็ไม่สามารถดับกิเลสได้ เพราะกิเลสไม่ใช่สิ่งที่ซึ่งจะดับได้ด้วยความไม่รู้ หรือโดยไม่มีสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจนทั่วจริงๆ

ขณะที่กำลังหลับมีเวทนาเจตสิกไหม ธรรมเป็นเรื่องที่น่าคิดน่าพิจารณา เพราะยิ่งคิดยิ่งพิจารณาก็ยิ่งทำให้เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งขึ้น ฉะนั้น จึงน่าคิดพิจารณาว่าในขณะที่กำลังหลับนั้นมีความรู้สึกไหม ขณะที่กำลังนอนหลับสนิทไม่รู้อารมณ์ของโลกนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ได้นึกคิด ไม่ได้ฝัน แต่เมื่อยังไม่ใช่ผู้ที่สิ้นชีวิตก็ย่อมจะต้องมีจิตเกิดดับเป็นภวังคจิต ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้นจนกว่าจะตื่นขึ้น แล้วจึงจะเห็นโลกนี้ต่อไปอีกจนกว่าจะถึงเวลาหลับอีก ขณะหลับสนิทนั้นไม่รู้อะไรในโลกนี้เลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่เคยเห็น เคยได้ยิน เคยชอบ เคยคิดนึกถึง ในขณะที่นอนหลับสนิทนั้นไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏเลย แต่จิตก็เกิดขึ้นและดับไปสืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ นามขันธ์ทั้ง ๔ คือ จิตและเจตสิกต้องเกิดร่วมกันแยกกันไม่ได้เลย ขณะที่นอนหลับสนิทเป็นวิบากจิต เป็นผลของอดีตกรรม จึงทำให้คนที่หลับนั้นยังไม่ตาย เพราะวิบากจิตเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติอยู่ และเมื่อจิตเกิดขึ้นก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง เวทนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง เวทนาเจตสิกที่เกิดกับภวังคจิตเป็นวิบากเจตสิกที่รู้สึกอารมณ์เดียวกับภวังคจิต คือ ไม่ใช่อารมณ์ของโลกนี้ จึงไม่รู้สึกตัวอย่างขณะที่จิตกำลังเห็นทางตา กำลังได้ยินทางหู เป็นต้น ไม่มีใครสามารถรู้ลักษณะของเวทนาเจตสิกซึ่งเกิดในขณะที่กำลังหลับได้ แต่เมื่อตื่นขึ้นก็น่าที่จะคิดอีกว่าอะไรตื่น ตอนหลับก็น่าจะคิดว่าอะไรหลับ รูปไม่ใช่สภาพรู้ รูปจึงไม่ตื่นไม่หลับ แต่นามธรรมเป็นสภาพรู้ เมื่อไม่รู้อารมณ์ที่ปรากฏในโลกนี้จึงชื่อว่าหลับ แต่จิตก็ยังเกิดดับสืบต่อดำรงภพชาติอยู่จึงยังไม่ตาย

ขณะที่ตื่นนั้นอะไรตื่น จิต เจตสิกตื่นโดยเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ขณะใดที่รู้อารมณ์ของโลกนี้ ขณะนั้นตื่น แต่ก็น่าที่จะพิจารณาให้ละเอียดขึ้นไปอีก เพื่อประโยชน์แก่การเจริญสติปัฎฐาน เพราะการแสดงธรรมนั้น จุดประสงค์เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ และเป็นวิริยารัมภกถาคือ คำพูดที่อุปการะเกื้อกูลให้เกิดวิริยะที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ฉะนั้น ก็ควรที่จะพิจารณาว่า ขณะที่ตื่นนั้น จิต เจตสิกเกิดขึ้นรู้อารมณ์ของโลกนี้ตามที่เข้าใจกัน แต่ก็น่าคิดให้ลึกซึ้งขึ้นอีกว่า อะไรตื่น จิต เจตสิกเกิดตื่นขึ้นพร้อมกัน วิบากจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง โดยยับยั้งไม่ได้เลย วิบากจิตเป็นผลของกรรม เกิดขึ้นแล้วดับไป จะหลับอยู่ตลอดไปได้ไหม ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย กรรมไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นในชาตินี้แล้วหลับไปจนกระทั่งตาย แต่ว่ากรรมเป็นปัจจัยให้มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศลกรรม ได้ยินเสียงที่ดีเป็นผลของกุศลกรรมได้ยินเสียงที่ไม่ดีเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นต้น

ฉะนั้นวิบากจิตและเจตสิกเกิดตื่นขึ้นรู้อารมณ์ทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นแล้วยังมีอะไรอีก เมื่อตื่นแล้วนอกจากวิบากจิตเกิดขึ้นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งกระทบสัมผัสแล้ว อกุศลธรรมหรือกิเลส คือ กิเลสที่ยังไม่ได้ดับสะสมอยู่ในภวังคจิตทุกดวงที่เกิดดับ ในขณะหลับนั้น กิเลสไม่ได้เกิดขึ้นกระทำกิจยินดี ยินร้ายเพราะยังไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้นรส ไม่กระทบสัมผัสอารมณ์ใดๆ ของโลกนี้ ขณะหลับสนิทอยู่นั้นกิเลสทั้งหลายก็ยังหลับอยู่ด้วย แต่เมื่อตื่นขึ้นแล้วกิเลสก็ตื่นขึ้นด้วยคือ หลังจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายแล้ว กิเลสทั้งหลายก็เกิดร่วมกับอกุศลจิตตามเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดอกุศลธรรมประเภทนั้นๆ ดีไหม

เมื่อจำแนกจิตโดยภูมิ ๔ คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ โลกุตตรภูมินั้น จิตประณีตขึ้นตามลำดับขั้น แต่จิตของคนส่วนมากก็เป็นกามาวจรภูมิ คือ เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ กามาวจรจิตเป็นภูมิขั้นต้นของระดับของจิต คือ เมื่อตื่นขึ้นก็เป็น ได้ยิน ผลัดเปลี่ยนเวียนไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ่น ทางกาย ทางใจ ในวันหนึ่งๆ จิตที่เกิดขึ้นนั้นนอกจากจะเป็นภูมิขั้นต้นแล้ว โดยชาติยังเป็นชาติที่เลวอีกคือ เป็นอกุศลจิตที่ตื่นขึ้นเป็นประจำ ขณะที่กุศลจิตไม่เกิดเมื่อเห็นก็ยินดีติดข้อง เมื่อได้ยินก็พอใจติดข้องในเสียงที่ได้ยินเป็นปกติธรรมดา เพราะส่วนใหญ่โลภมูลจิตเกิดบ่อยกว่าโทสมูลจิต ซึ่งเป็นสภาพจิตที่หยาบกระด้างไม่แช่มชื่น

ในวันหนึ่งๆ ต้องยอมรับตามความเป็นจริงว่ามีอกุศลจิตมากกว่ากุศลจิต ถ้าไม่รู้ก็จะอบรมเจริญกุศลอยู่มากเหมือนเดิม และยังมีความยินดีพอใจในอกุศลนั้นๆ โดยไม่เห็นว่าโทษ ฉะนั้นก็ควรทราบว่าที่ตื่นขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่แล้วกิเลสตื่นทั้งนั้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แล้วแต่ว่ากิเลสของใครจะวุ่นวายแค่ไหน จะทำให้เกิดความเดือดร้อนใจและกายสักแค่ไหน ซึ่งเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ควรขวนขวายอบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นทาน ศีล ความสงบของจิตหรือขั้นสติปัฎฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

ไม่ใช่ว่าใครสามารถจะละโลภะได้เสียก่อน แล้วจึงจะอบรมเจริญปัญญาที่จะเป็นพระโสดาบันในภายหลัง ถึงแม้ว่าโลภะจะเกิดขึ้นก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ปัญญาจะต้องระลึกรู้ลักษณะของโลภะตามความเป็นจริง ว่าเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดดับ

เวทนา ๕ เกิดกับจิตต่างๆ ดังนี้ คือ

สุขเวทนาเกิดกับกายวิญญาณกุศลวิบากจิต ๑ ดวง

ทุกขเวทนาเกิดกับกายวิญญาณอกุศลวิบากจิต ๑ ดวง

โทมนัสเวทนาเกิดกับโทสมูลจิต ๒ ดวง

โสมนัสเวทนาและอุเบกขาเวทนาเกิดกับจิตที่เป็นกุศลก็ได้ อกุศลก็ได้ วิบากก็ได้ กิริยาก็ได้

โทมนัสเวทนาเกิดกับจิตที่เป็นกุศล วิบาก กิริยาไม่ได้ เกิดได้เฉพาะกับจิตที่เป็นอกุศล คือ โทสมูลจิตเพียง ๒ ดวง เท่านั้น ถ้าไม่รู้อย่างนี้ บางท่านอาจจะเข้าใจว่าอกุศลเป็นกุศลเช่น เวลาสงครามคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อน ใคร่ที่จะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ยาก ขณะที่จิตเกิดกรุณานั้นเป็นกุศลจิตที่มีกรุณาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งจะต้องรู้ลักษณะของเวทนาด้วยว่ารู้สึกไม่แช่มชื่นบ้างหรือเปล่า ถ้ารู้สึกโทมนัสเสียใจไม่แช่มชื่นก็เป็นอกุศลจิต ไม่ใช่ขณะเดียวกับที่จิตเกิดร่วมกับกรุณาเจตสิก เมื่อรู้อย่างนี้ก็จะละคลายความรู้สึกเสียใจ โทมนัส ไม่แช่มชื่นซึ่งเป็นอกุศล และสามารถช่วยคนอื่นให้พ้นความทุกข์ยากได้โดยแช่มชื่น ไม่โทมนัส ไม่เสียใจ ฉะนั้น จึงต้องรู้ว่าขณะใดเป็นอกุศลจึงจะละคลายได้ เพราะโดยมากเข้าใจกันว่า เมื่อสงสารคนที่กำลังเป็นทุกข์เดือดร้อน ก็จะต้องพลอยเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์กับบุคคลนั้นด้วย ถ้าถามว่าขณะนี้รู้สึกอย่างไร บางคนก็ตอบว่าเฉยๆ บางคนก็ดีใจ บางคนก็ไม่สบายใจ แม้เวลาที่สติระลึกตรงลักษณะของความรู้สึกนั้น ก็ยากที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ความรู้สึกนั้นๆ เป็นเพียงสภาพรู้ เป็นนามธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ

ขณะที่เสียงปรากฏ โสตวิญญาณจิตเป็นสภาพรู้ที่ได้ยินเสียงนั้น ขณะนั้นมีเวทนาเจตสิกที่รู้สึกเกิดพร้อมกับโสตวิญญาณจิต เมื่อผัสสเจตสิกเกิดขึ้นกระทบอารมณ์นั้น จะไม่ให้เวทนาเจตสิกเกิดไม่ได้เลย เมื่อสติสามารถเริ่มระลึกรู้ลักษณะของจิตบ้าง หรือเวทนาเจตสิกบ้าง ก็ย่อมเป็นปัจจัยสะสมเกื้อกูลให้ไม่หลงลืม ดังนั้นเวลารู้สึกเฉยๆ ดีใจ สุข ทุกข์ หรือเสียใจนั้น แทนที่จะยิ่งเสียใจ สติก็ระลึกรู้ได้ว่าขณะนั้นก็เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ฉะนั้น สติปัฏฐานจึงมีคุณประโยชน์ที่ละคลายทุกข์ ในขณะที่รู้สึกไม่แช่มชื่นได้

คำถามทบทวน

1. อุเบกขาเวทนา โสมนัสเวทนา เป็นชาติอะไร

2. ทุกขเวทนา สุขเวทนา เป็นชาติอะไร

3. โทมนัสเวทนา เป็นชาติอะไร

4. ขณะหลับสนิท เวทนาเจตสิก เป็นชาติอะไร

5. รูปตื่นหรือหลับได้ไหม เพราะอะไร

๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๓