วิมุตติธรรม
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวด ชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 12037 โดย : ตรงประเด็น 12 พ.ค 47
เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ???
โยม : ท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าค่ะ???
หลวงปู่ชา : ต้นไม้ผลิดอกออกผล มีนกมาเกาะกิ่งไม้แล้วจิกกินผลไม้นั้น จะหวานหรือเปรี้ยวเป็นเรื่องของนกที่จะรู้ได้ แต่ต้นไม้ไม่รู้อะไรเลย
อย่าเป็นพระพุทธเจ้า อย่าเป็นพระอรหันต์ อย่าเป็นพระโพธิสัตว์ อย่าเป็นอะไรเลย การ เป็นอะไร ก็มีแต่ความทุกข์เท่านั้นแหละ เราไม่มีความจำเป็นต้องเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง
(จากอุปลมณี น.551)
อย่าเพิ่งใจร้อนรีบละกิเลส
พอล : ทำอย่างไรจึงจะละกิเลสได้ครับ???
หลวงปู่ชา : อย่าเพิ่งใจร้อนรีบละกิเลส ..ใจเย็นๆ คอยดูความทุกข์ดูเหตุของมัน ..ดูให้ดีๆ แล้วจะล่ะมันออกอย่างเต็มที่.
เหมือนกับเวลาเรากินอาหารเราเคี้ยวช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด.มันจึงย่อยง่ายย่อยได้ดี .
(จากอุปลมณี น.550)
พระอรหันต์ตายแล้วไปไหน
ในวาระสุดท้ายของชีวิตถ้าหลวงพ่อพูดได้ท่านคงจะเอ่ยอ้างพระสูตรที่ท่านชอบมากที่สุดตอนหนึ่ง ..คือ คำตอบของพระยมกะตอบคำถามของพระสารีบุตรว่า
พระสารีบุตร : ถ้ามีใครถามว่าพระอรหันต์ตายแล้วไปไหน? ท่านจะตอบเขาว่าอย่างไร .
พระยมกะ : ข้าพเจ้าจะตอบว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเกิดขึ้นแล้วดับไป
ซึ่งในสมัยก่อนเมื่อหลวงปู่ชาอ้างคำนี้ท่านจะหัวเราะเบาๆ ด้วยความพอใจทุกครั้ง
(จาก.อุปลมณี น.581)
ตะกั่วฤาแลกทอง
พอลเล่าว่า คืนนั้นได้ฟังธรรมลึกซึ้งที่สุดที่เคยได้ยินมา นัยน์ตาของหลวงพ่อปิดลงแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น .แล้วท่านพูดไปเรื่อยๆ .โดยไม่สนใจว่าพูดกับใคร .มีใครฟัง .มีใครสนใจ .ข้ออรรถข้อธรรมไหลเรื่อยออกมาเหมือน สายน้ำที่ไหลนิ่ง .คำสอนของหลวงพ่อที่พอลพยายามจำมาถ่ายทอดให้ฟังมีตอนหนึ่งว่า .
ในความจริง สิ่งที่ต้องละและต้องบำเพ็ญนั้นไม่มี
สิ่งที่โลกเขาสมมติกันว่าเป็นของจริงมีราคา สำหรับพระอรหันต์แล้วมันเป็นของปลอมไม่มีค่าเลย ..
ฉะนั้นการที่จะให้พระอรหันต์ไปสนใจเรื่องของโลกก็เหมือนกับเอาตะกั่วไปขอแลกกับทองคำ ..
เราคิดแต่ว่าเรามีตะกั่วแท่งใหญ่ๆ ท่านมีทองคำก้อนนิดเดียว ..ทำไมหนอท่านจึงไม่อยากเปลี่ยน ..
ทุกวันนี้คนเราจึงมองไม่เห็นพระอรหันต์กัน .
(จากอุปลมณี น.545)
การปฏิบัตินั้นไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก
ในการปฏิบัติสมถะภาวนา ขั้นอุปจารสมาธินั้น ..
กายของเราเปรียบได้ดังไก่ที่ถูกขังไว้ในเล้า ..มันยังเดินวนไปวนมาอยู่ไม่นิ่งไม่หลับไม่ตาย แต่อยู่ในการเคลื่อนไหวที่อยู่ในการควบคุม ..
ถ้าจิตสงบแล้วก็ให้พิจารณากายดูอาการสามสิบสอง ..
ถ้ามันฟุ้งซ่านก็ให้ตามรู้สึกนึกคิดที่จิตเจ้าของปรุงแต่งขึ้นมา ..ให้รู้เท่าทันว่ามันเป็นของไม่เที่ยงเป็นอนัตตาหาตัวตนเรา-เขาไม่ได้ ..
การปฏิบัตินั้นไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก ..เพียงแต่เฝ้าสังเกตดูตรงจุดนี้ ..จนเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดแล้วจะได้ปล่อยวางความยึดถือในขันธ์ห้า .
นี่แหละคือจุดมุ่งหมายของการภาวนา
(จากอุปลมณี น.547)
ปัญญาเทวทัต
วันหนึ่งหลวงพ่ออบรมเรื่องการเจริญมรณสติ (ให้แก่ฝรั่ง) ท่านเตือนให้หมั่นระลึกถึงความตายให้ได้อย่างน้อยวันล่ะสามครั้งเช้าบ่ายดึกก็ยังดี .
พอลได้ออกความเห็นแย้งว่า เรื่องความตายนี้มันเหมือนของที่อยู่ไกลจากตัวเรามาก ผมจึงกำหนดไม่ค่อยเป็น .ถ้ามีภยันตรายมาคุกคามคงจะกำหนดได้ง่ายขึ้น
หลวงปู่ชาจึงย้อนว่า ภัยมันมีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกไม่ใช่หรือ
พอลแย้งอีกว่า .แต่ความตายมันเป็นเรื่องของอนาคต .บางครั้งรู้สึกว่าเราจะอยู่ในโลกนี้จนอายุถึงร้อยปี
หลวงปู่ชาให้คะแนนลูกศิษย์เก่าตกขอบเลยว่า นั่นเป็นปัญญาของเทวทัต .
(จากอุปลมณี น.548)
ทางเดินของพระ
ชอบ ..ก็ไม่ให้เอา
ไม่ชอบ ..ก็ไม่ให้เอา
ไม่มีรัก .ไม่มีเกลียด
เดินตรงไปหาสัจจธรรม.
(จากอุปลมณี น.559)
ต้องมีสติเหมือนเบรก ABS .
บางครั้งท่านก็ใช้วิธีอีกวิธีหนึ่งค่อนข้างตลกเช่นตอนออกบิณฑบาตกับท่านท่านก็ชวนคุยไปด้วยเดินไปด้วย บางทีท่านก็แกล้งหยุด ..เมื่อท่านหยุดผู้ที่เดินมาตามหลังเกิดเผลอสติตั้งตัวไม่ทันก็ไปชนท่านเข้า คนตามหลังมาก็ชนอีก ..บางทีชนหมดทั้งแถวเลยก็มี ..
เมื่อกลับถึงวัดถึงเวลาเทศน์อบรมท่านก็ให้ข้อคิดเตือนสติให้มีความระมัดระวังสำรวมสังวร .มีสติในการยืนการเดินการทำอะไรทุกอย่างก็ให้มีสติระมัดระวังมากยิ่งขึ้น .
(จากอุปลมณี)
ต้อง....โอปนยิโก
หลวงพ่อเคยสอนพระที่แตกฉานในทางปริยัติรูปหนึ่งว่า ..
.เอาปริยัติของคุณใส่หีบห่อเก็บไว้เสียอย่าเอามาพูด ..
เวลามีอะไรขึ้นมามันไม่เป็นอย่างนั้น .เหมือนกับเราเขียนหนังสือว่าความโลภ
เวลามันเกิดขึ้นในใจมันไม่เหมือนกับตัวหนังสือ ..เวลาโกรธก็เหมือนกัน เขียนใส่กระดานดำเป็นอย่างหนึ่งมันเป็นตัวอักษร ..เวลามันอยู่ในใจมันอ่านอะไรไม่ทันหรอก
..มันเป็นขึ้นมาที่นี่เลยสำคัญนักสำคัญมาก ..
จริงอยู่ ..ปริยัติเขียนไว้ถูกแต่ต้อง โอปนยิโก .ให้เป็นคนน้อมถ้าไม่น้อมก็ไม่รู้ความจริง ..
(จากอุปลมณี น.206)
ตามรู้-ตามดูจิต
ที่สำคัญคือตัวรู้
รู้ดีมันก็รู้รู้ชั่วมันก็รู้
รู้สงบมันก็รู้รู้ไม่สงบมันก็รู้
อันนี้คือตัวรู้
พระพุทธเจ้าให้ตามรู้ ตามดูจิตของเรา .
(จากอุปลมณี น.213)
ธรรมะสุดยอด
ธรรมะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือคำพูด คำสอนธรรมะทั้งหลายนั้นมันเป็นคำสมมุติกันขึ้นมาพูด ตัวธรรมะแท้ๆ นั้นอยู่เหนือคำพูด ..
ผู้มีปัญญารู้เห็นธรรมะ ท่านไม่ต้องการอะไร ..ไม่เอาอะไรอีกแล้ว.
เพราะถ้าจะเอาความสุข ..ความสุขมันก็ดับ.
ถ้าจะเอาความทุกข์ ความทุกข์มันก็ดับ.
จะเอาวัตถุสมบัติข้าวของอะไรต่างๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็จะดับเหมือนกัน.
แม้นแต่ร่างกายที่คนหวงแหนกันนี้ ..เกิดขึ้นแล้วที่สุดแล้วมันก็ดับ.
(จากอุปลมณี น.496)
คนตายซะ .แต่เอาป่าไว้
ครั้งหนึ่งมีคณะแพทย์เขามากราบเรียนหลวงพ่อว่า
ป่านี้ทึบเกินไปให้ตัดรอนกิ่งไม้ออกบ้างให้โปร่งๆ ลมจะได้เข้าสะดวก
(คนพูดคงมีเจตนาจะช่วยให้อากาศถ่ายเทในวัดหนองป่าพงสะดวก พระเณรจะได้ไม่อาพาธ
เพราะในอดีตที่วัดหนองป่าพงเคยมีมาลาเรียระบาดอย่างหนัก)
หลวงพ่อตอบว่า ตายซะคน เอาป่าไว้ก็พอ
พวกหมอก็พยายามอธิบายโน้มน้าวหว่านล้อมด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เกี่ยวกับเรื่องป่า ..แต่หลวงพ่อก็ยืนยันเจตนาดั้งเดิม
ท่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า พระหรือชีก็ตาม อาตมาเองก็ตาม ตายแล้วก็ตายไป เอาป่าไว้เสียดีกว่า
พวกหมอก็เลยพูดไม่ออกแล้วก็ลากลับ
(จากอุปลมณี น.113)
รักษาสมาธิสิยาก!!!
ทำสมาธิ ..คิดว่าทำแล้วหยุด ..ไม่ใช่!!!
ต้องมีสติ รู้อารมณ์ที่จะมาทำลายสมาธิของเราให้วุ่นวาย ..รู้ตัวอยู่เสมอ ..
ทำสมาธิไม่ยากหรอก
การรักษาสมาธิสิยาก ..
เหมือนสร้างบ้านหลังหนึ่งไม่นานก็เสร็จ ..แต่การรักษาบ้านทำความสะอาดบ้าน ต้องทำไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต.
(จากอุปลมณี น.538)