#echo banner="" ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย หลวงพ่อชา สุภัทโท/

ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย

คัดลอกจาก: "เหมือนกับใจ คล้ายกับจิต" รวบรวมคำอุปมาของ

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 010312 - โดย คุณ : mayrin [ 10 พ.ย. 2546 ]

๏ ใบไม้

ขณะนี้เรานั่งอยู่ในป่าที่สงบ ที่นี่ไม่มีลม ใบไม้จึงนิ่ง

เมื่อใดที่มีลมพัด ใบไม้จึงไหวปลิว

จิตก็ทำนองเดียวกับใบไม้

เมื่อสัมผัสกับอารมณ์มันก็สะเทือนไปตามธรรมชาติของจิต

เรายิ่งรู้ธรรมะน้อยเพียงไร ใจก็จะรับความสะเทือนได้มากเพียงนั้น

รู้สึกเป็นสุข ก็ตายด้วยความสุข รู้สึกเป็นทุกข์

ก็ตายด้วยความทุกข์อีก มันจะไหลไปเรื่อย ๆ

๏ น้ำเจือสี

ใจของเราขณะที่เป็นปกติอยู่

เปรียบเหมือนน้ำฝนเป็นน้ำที่สะอาด มีความใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นปกติ

ถ้าเราเอาสีเขียวใส่ลงไป เอาสีเหลืองใส่เข้าไป

น้ำก็จะกลายเป็นสีเขียว สีเหลืองไป

จิตของเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อไปถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ใจก็ดี

ใจก็สบาย เมื่อถูกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแล้ว ใจนั้นก็ขุ่นมัว ไม่สบาย

เหมือนกันกับน้ำที่ถูกสีเขียวก็เขียวไป ถูกสีเหลืองก็เหลืองไป

เปลี่ยนสีไปเรื่อย

๏ อยู่กับงูเห่า

ขอให้โยมจำไว้ในใจ  อารมณ์ทั้งหลายนั้น

ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่พอใจก็ตาม หรืออารมณ์ที่ไม่พอใจก็ตาม

อารมณ์ทั้งสองอย่างนี้มันเหมือนงูเห่าซึ่งมีพิษมาก ถ้ามันฉกคนแล้ว

ก็ทำให้ถึงแก่ความตายได้ อารมณ์นี้ก็เหมือนงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น

อารมณ์ที่พอใจก็มีพิษมาก อารมณ์ที่ไม่พอใจก็มีพิษมาก

มันทำให้จิตใจของเราไม่เสรี ทำให้จิตใจไข้วเขว

จากหลักธรรมของพระพุทธเจ้า

๏ ปล่อยพิษงูไป

อารมณ์ทั้งหลายเหมือนกันกับงูเห่าที่มีพิษร้าย

ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่

มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน

งูเห่าก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น

ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้วก็จะปล่อยหมด

สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป

สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป

เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าตัวที่มีพิษร้ายนั้น

ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป

มันก็เลื้อยไปทั้งที่มีพิษอยู่ในตัวมันนั่นเอง

๏ สอนเด็ก

ฉะนั้น การปฏิบัตินี้จึงว่านั่ง นั่นแหละปฏิบัตินั่ง

ดูไปมันมีอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว สลับซับซ้อนกันไปเป็นธรรมดาของมัน

อย่าไปสรรเสริญจิตของเราอย่างเดียว อย่าไปให้โทษมันอย่างเดียว

ให้รู้จักกาล รู้จักเวลามัน เมื่อถึงคราวสรรเสริญ ก็สรรเสริญมันหน่อย

สรรเสริญให้พอดีอย่าให้หลง

เหมือนกับสอนเด็กนั่นแหละ บางทีก็เฆี่ยนมันบ้าง

เอาไม้เรียวเล็ก ๆ เฆี่ยนมัน ไม่เฆี่ยนไม่ได้

อันนี้บางทีก็ให้โทษมันบ้าง อย่าให้โทษมันเรื่อยไป

ให้โทษมันเรื่อยไปมันก็ออกจากทางเท่านั้นแหละ ถ้าให้สุขมัน

ให้คุณมันเรื่อย ๆ มันไปไม่ได้

๏ เด็กซุกซน

เปรียบกับเด็กที่ซุกซน เล่นสนุก ทำให้รำคาญจนเราต้องดุเอา

ตีเอา แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าธรรมชาติของเด็กก็เป็นอย่างนี้เอง

พอรู้อย่างนี้ เราก็ปล่อยให้เด็กเล่นไปตามเรื่องของเขา ความเดือดร้อน

รำคาญของเราก็หมดไป เพราะเรายอมรับธรรมชาติของเด็ก

ความรู้สึกของเราจึงเปลี่ยนไป

เรายอมรับธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย เราปล่อยวางได้

จิตของเราก็มีความสงบเยือกเย็น นี่เรามีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว

เป็นสัมมาทิฏฐิ ทีนี้ก็หมดปัญหาที่จะต้องแก้

๏ รับแขก

เรามาทำจิตของเราให้เป็นผู้รู้ตื่นอยู่

คอยรักษาจิตของเราอยู่ ถ้าแขกมาเมื่อไรโบกมือห้าม มันจะมานั่งที่ไหน

มีที่นั่งเดียวเท่านั้น เราก็พยายามรับแขกอยู่ตรงนี้ตลอดวัน

นี่คือพุทโธ ตัวตั้งมั่นอยู่ที่นี่ ทำความรู้นี้ไว้ จะได้รักษาจิต

เรานั่งอยู่ตรงนี้ แขกที่เคยมาเยี่ยมเราตั้งแต่เราเกิดตัวเล็ก ๆ โน้น

มาทีไรก็มาที่นี่หมด เราจึงรู้จักมันหมดเลย พุทโธอยู่คนเดียว

พูดถึงอาคันตุกะ แขกที่จรมาปรุงแต่งต่าง ๆ นานา

เราให้เป็นไปตามเรื่องของมัน

อาการของจิตที่เป็นไปตามเรื่องของมันนี่แหละเรียกว่า  เจตสิก

มันจะเป็นอะไร จะไปไหนก็ช่างมัน ให้เรารู้จักอาคันตุกะที่มาพัก

ที่รับแขกมีเก้าอี้ตัวเดียวเท่านี้เอง

เราเอาผู้หนึ่งไปนั่งไว้แล้ว มันก็ไม่มีที่นั่ง

มันมาที่นี่ มันก็จะมาพูดกับเรา ครั้งนี้ไม่ได้นั่ง

ครั้งต่อไปก็จะมาอีก มาเมื่อไรก็พบผู้ที่นั่งอยู่ ไม่หนีสักที

มันจะทนมากี่ครั้ง เพียงพูดกันอยู่ที่นั่น เราก็จะรู้จักหมดทุกคน

พวกที่ตั้งแต่เรารู้เดียงสาโน้น มันจะมาเยี่ยมเราหมดนั่นแหละ

๏ บุรุษจับเหี้ย

 วิธีกำหนดอารมณ์ จับอารมณ์ ให้รู้จักจิตของตน

ให้รู้จักอารมณ์ของตน เปรียบโดยวิธีที่บุรุษทั้งหลายจับเหี้ย

เหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปในโพรงจอมปลวกที่มีรูอยู่หกรู ก็ปิดรู้นั้น ๆ

เสียห้ารู เหลือรูเดียวให้เหี้ยออกแล้วนั่งจ้องมองที่รูเดียวนั้น

เหี้ยออกมาก็จับได้ ฉันใด

การกำหนดจิตก็ฉันนั้น ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดลิ้น ปิดกาย

เหลือแต่จิตอันเดียวเปิดไหว้ คือ การสำรวมสังวร กำหนดจิตอย่างเดียว

การภาวนาก็เหมือนกับบุรุษจับเหี้ย คือ

กำหนดจิตให้อยู่ที่ลมหายใจ มีสติ ระมัดระวังรู้อยู่แล้ว กำลังทำอะไร

มีสัมปชัญญะ คือ รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้น

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น คือรู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งนั้น

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตขณะนั้น ทำให้รู้จัก

๏ แมงมุม

ได้ไปเห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมันเหมือนข่าย

มันสายข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่าง ๆ เราไปนั่งพิจารณาดูมัน

ทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง

เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวเองเงียบอยู่ตรงกลางข่าย ไม่วิ่งไปไหน

พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่นบินผ่านข่ายของมัน

พอถูกข่ายเท่านั้น ข่ายก็สะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ

มันก็วิ่งออกจากรังทันที ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร

เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวของมันไว้ที่กลางข่ายเหมือนเดิม

ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือน

มันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้น

แล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่กลางข่ายไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป

เห็นแมงมุมทำอย่างนี้ เราก็มีปัญญาแล้ว อายตนะทั้งหก คือ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจนี้อยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย

แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่าง ๆ พอรูปมาก็ถึงตา

เสียงมาก็ถึงหู กลิ่นมาก็ถึงจมูก รสมาก็ถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็ถึงกาย

ใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ แค่นี้ก็เกิดปัญญาแล้ว

เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้

เหมือนแมงมุมที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมันไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่าง ๆ

มันผ่านข่าย ก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ก็ออกไปจับแมลงไว้

แล้วก็กลับอยู่ที่เดิม

ดูแมงมุมแล้วก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา

มันก็เหมือนกันเท่านั้น ถ้าจิตเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันกว้าง

ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์อีกแล้ว ก็เห็นชัดได้อย่างนี้

มันก็ได้ความเท่านั้นแหละ จะทำอะไรอยู่ก็สบาย ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

มีแต่การภาวนาจะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น