เรื่องของหลวงพ่อชา
จากหนังสืออุปลมณี
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 009436 - โดย คุณ : กิเลสเต็มตัว [ 13 ส.ค. 2546 ]
ผมรวบเรื่องธรรมของหลวงพ่อชาขึ้นในรูปแบบนิทานเซ็นเป็นตอน ๆ จากหนังสืออุปลมณี เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านสำหรับผู้เกลียดการอ่านหนังสือธรรมะยาว ๆ |
ใช้ภาษาอะไร?
หลวงพ่อชา สุภัทโท แห่ง วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่สำคัญมากรูปหนึ่ง ที่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ชาวต่างชาติเกิดความเลื่อมใสศรัทธาออกบวชปฏิบัติกับท่านมากมายด้วยปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบแหลม
ในช่วงแรกนั้น สำหรับชาวบ้านที่มาเห็นพระฝรั่งในวัดหนองป่าพง เขาเหล่านั้นต่างรู้สึกทึ่งที่เห็นว่าพระฝรั่งชาวต่างชาติปฏิบัติกรรมฐานเคร่งครัดเคียงข้างกับพระชาวไทย จึงเกิดความสงสัยว่าหลวงพ่อชาท่านสอนพระฝรั่งได้อย่างไร? เพราะตัวหลวงพ่อชาเองท่านเป็นพระป่าที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อน ท่านรู้จักแต่ภาษาบาลีภาษาพระพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนทางฝ่ายลูกศิษย์ฝรั่งเองก็ไม่คุ้นเคยกับภาษาไทย บางคนอดสงสัยไม่ได้จนถึงกับถามเอาความจากท่าน ท่านก็ย้อนถามโยมท่านนั้นว่า
ที่บ้านมีสัตว์เลี้ยงหรือเปล่า? อย่างหมา อย่างแมว หรือวัวควายอย่างนี้ เวลาฝึกหัดมัน โยมต้องรู้ภาษาของมันด้วยไหม?
เพ่งโทษผู้อื่น
พระขี้บ่นรูปหนึ่ง ชอบติเตียนเพื่อนสหธรรมิกบ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง สถานที่บ้าง ว่าไม่สัปปายะ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการปฏิบัติ คอยแต่จะนึกตำหนินั่น ตำหนินี่ จิตใจหมักหมมไว้แต่เรื่องอกุศลมูลจนกลิ่นตลบ คราวนี้หลวงพ่อชา ท่านกระทุ้งเอาอย่างแรงแต่เป็นเชิงตลกว่า
คุณนี่แปลก.. ชอบเอาขี้พกใส่ย่าม แล้วพกติดตัวไปไหนต่อไหนด้วย แล้วมาบ่นว่าเหม็นขี้ ที่โน่นเหม็นขี้ ที่นี่เหม็นขี้ ที่ไหน ๆ ก็เหม็นขี้ ดีแต่บ่น ทำไมไม่ลองสำรวจย่ามของตัวเองดูบ้าง
อาจารย์ที่แท้จริง
ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์ชาคโร (พระชาวต่างชาติ) ถูกหลวงพ่อชาส่งให้ไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อท่านได้เดินทางไปเยี่ยม หลวงพ่อถามว่า
ท่านชาคโรเป็นอย่างไร? ทำไมผอมอย่างนี้ล่ะ? พระอาจารย์ชาคโรกราบเรียนโดยไม่อ้อมค้อมว่า
เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ ไม่สบายเลย หลวงพ่อซักไซ้ต่อว่า
เป็นทุกข์เรื่องอะไร? ทำไมจึงไม่สบาย? พระอาจารย์ชาคโรเผยความในใจว่า
เป็นทุกข์เพราะอยู่ห่างไกลครูบาอาจารย์ครับ หลวงพ่อท่านจึงท้วงขึ้นในทันทีว่า
มีอาจารย์อยู่ด้วยตั้ง ๖ องค์ ยังไม่พอรึ? มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่แหละ เป็นอาจารย์ของเรา ฟังให้ดี ดูให้ดี เขาจะสอนเราให้เกิดปัญญา
ปล่อยวางผิดทาง
ลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งกำลังสนใจฝึกที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นตามแนวทางของ "ท่านเว่ยหล่าง (สังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ของจีน) อยู่ ท่านพักอาศัยอยู่ในกุฏิหลังคามุงแฝกหลังหนึ่งภายในวัดหนองป่าพง ในฤดูฝนนั้นฝนตกชุก และวันหนึ่งพายุก็พัดเอาหลังคาโหว่ไปครึ่งหนึ่ง ท่านก็ไม่ขวนขวายที่จะมุงมันใหม่ จึงปล่อยให้ฝนรั่วอยู่อย่างนั้น หลายวันผ่านไปหลวงพ่อท่านได้ถามถึงกุฏิของท่านเข้า ลูกศิษย์ท่านนั้นก็ตอบว่า
ผมกำลังฝึกการไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ขอรับ
หลวงพ่อท่านก็ตอบสวนกลับไปว่า
นั้นเป็นการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ใช้หัวสมอง มันก็เกือบจะเหมือนกับความวางเฉยของควาย ถ้าท่านมีความเป็นอยู่ดีและเป็นอยู่ง่าย ๆ ถ้าท่านอดทนและไม่เห็นแก่ตัวนั้นแหละถึงจะเข้าใจความไม่ยึดมั่นถือมั่นของท่านเว่ยหล่างได้
อุบายคลายคิดถึง
ครั้งหนึ่งพระหนุ่มชาวต่างชาติซึ่งบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง เกิดคิดถึงคู่รักเก่าของตนขึ้นมา จิตใจฟุ้งซ่านวุ่นวายเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติของตนมาก จึงได้มากราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อเพื่อขออุบายในการคลายความฟุ้งซ่านของตน หลวงพ่อท่านก็แนะนำให้ว่า
ขอให้เขียนจดหมายถึงคู่รัก และขอให้เธอเอาขี้ใส่ขวดเล็ก ๆ ส่งมาให้ด้วย แล้วเก็บไว้ในย่ามตลอดเวลา คิดถึงเมื่อไหร่ก็ให้หยิบขวดขี้ของเธอออกมาสูดดม.. เฮ้อ!
พระอรหันต์
สำหรับตัวหลวงพ่อชาเอง ท่านไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลยเหมือนไม่สนใจ ท่านไม่กล่าวถึงแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ถ้ามีคนไปถามเรื่องอย่างนี้ หลวงพ่อท่านก็จะพูดตัดบทหรือพูดชักนำออกไปในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์เสีย อย่างเช่นครั้งหนึ่งมีคนไปถามท่านว่า
เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นแล้วเหาะได้หรือเปล่า? หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
เรื่องเหาะเรื่องบินนี่มันไม่สำคัญหรอก แมงกุดจี่ (แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย) มันก็บินได้ มันเป็นพระอรหันต์รึเปล่า?
และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อครูคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับการเหาะเหินเดินอากาศของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ซึ่งเคยอ่านพบว่าเป็นความจริงหรือไม่ว่า
เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อน ๆ เขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ?หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
ถามไกลตัวเกินไปแล้วล่ะครู มาพูดถึงตอสั้น ๆ ที่จะตำเท้าเราจะไม่ดีกว่ารึ?
จับเองก็ปล่อยเอง
มีเด็กหิ้วกรงขังนกมาชวนให้หลวงพ่อซื้อเพื่อปล่อยเป็นการทำบุญในสถานที่แห่งหนึ่ง ท่านถามว่า
นกอะไร? เอามาจากไหน? เด็กที่ขายนกก็ตอบว่า
ผมจับมาเอง หลวงพ่อปล่อยไหม จะได้ทำบุญ หลวงพ่อชาก็ตอบว่า
เอ๊า.. จับเองก็ปล่อยเองซิ มาให้หลวงพ่อปล่อยทำไม?
ไม่อายหรือ?
หลวงพ่อท่านมีความรักและเคารพต่อข้อวัตรปฏิบัติของท่านมาก จนกระทั่งเคยบอกกับลูกศิษย์ว่า
ถ้าจะให้ผมละเมิดพระวินัย ผมยอมตายก่อนไม่เสียดายชีวิตเท่าเสียดายพระวินัย
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปฉันในพระบรมมหาราชวัง ขณะลงจากรถได้พบกับเจ้าคุณรูปหนึ่งพอดี ท่านเจ้าคุณรูปนั้นมองเห็นว่าหลวงพ่อสะพายบาตรอยู่ ก็ถามหลวงพ่ออย่างเยาะหยันว่า
คุณชา ไม่อายในหลวงหรือ สะพายบาตรเข้าวัง? หลวงพ่อท่านก็ตอบท่านเจ้าคุณทันทีเลยว่า
ท่านเจ้าคุณไม่อายพระพุทธองค์หรือครับ จึงไม่สะพายบาตรเข้าวัง
นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่
วันหนึ่งหลวงพ่อพาพระเณรขนดินขึ้นไปใส่สนามหญ้ารอบโบสถ์ พอดีขณะที่ท่านกำลังยืนสั่งงานอยู่นั้น มีหนุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้ามาเที่ยวชมวัด เดินมาพบท่านเข้า พวกเขาเข้ามายืนใกล้ ๆ ท่านทำท่าทางแบบฝรั่งวัยรุ่นกิริยาไม่สู้จะอ่อนน้อมเท่าไรนัก หนึ่งในคณะของเขาถามท่านหลายอย่างและท้ายสุดเขาจึงถามท่านทำนองรุกไล่ว่า
ทำไม? ท่านไม่พาพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาทำงานอยู่เรื่อย หลวงพ่อตอบออกไปทันควันว่า
นั่งมากมันขี้ไม่ออกว่ะ
พวกนั้นรู้สึกงุนงงต่อคำตอบของท่าน ทันทีท่านก็ยกไม้เท้าขึ้นชี้ไปยังคนถามปัญหาและสั่งสอนว่า
ที่ถูกนั้นนั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง ทำประโยชน์บ้าง และทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที อย่างนี้จึงจะถูก กลับไปเรียนใหม่นี่ยังอ่อนอยู่มาก เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันจะขายขี้หน้าตัวเอง
รักษ์ป่า
ในช่วงแรกที่หลวงพ่อและคณะสงฆ์มาอยู่ที่วัดหนองป่าพง ไข้มาเลเรียระบาดหนักอยู่ถึง ๓ ปีเต็ม ทั้งพระเณรและแม่ชีเป็นไข้กันงอมแงมเริ่มจากหลวงพ่อก่อนเลย ท่านเป็นหนักมากจนเนื้อตัวเขียวคล้ำ นึกว่าถึงที่สุดแล้วแต่ในที่สุดก็หาย พอหลวงพ่อหายลูกวัดก็เป็นกันใหญ่ ทั้งพระทั้งชีป่วยหนักไปตาม ๆ กัน แต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตกันเลย
การรักษาในสมัยนั้นก็ไม่มีหยูกยาอะไรกินนอกจากสมุนไพร ครั้งหนึ่งมีคณะแพทย์เขามากราบเรียนหลวงพ่อว่า
ป่านี้ทึบเกินไป ให้ตัดรอนกิ่งไม้ออกบ้างให้โปร่ง ๆ ลมจะได้เข้าสะดวก หลวงพ่อตอบว่า
ตายซะคน เอาไว้แต่ป่าก็พอ
พวกหมอก็พยายามอธิบายพูดโน้มน้าวหว่านล้อมด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องป่า แต่หลวงพ่อก็ยังยืนยันเจตนารมณ์ดั้งเดิม ท่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า
พระหรือชีก็ตาม อาตมาเองก็ตาม ตายแล้วก็แล้วไป เอาป่าไว้เสียดีกว่า
พวกหมอก็เลยพูดไม่ออก แล้วก็ลากลับไป
รถประจำตำแหน่ง
ครั้งหนึ่งโยมที่อุบลฯ เอารถมาถวายหลวงพ่อ เขาบอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่รับผมไม่ยอมหรอกครับ เขาเอารถมาจอดไว้หลังกุฏิท่านใต้ต้นประดู่ (ด้านประตู) แล้วเอากุญแจใส่ย่ามท่านไว้ แล้วก็มานั่งหัวเราะภาคภูมิใจในผลบุญของตน แต่หลวงพ่อไม่เคยไปดูรถคันนั้นเลย พอออกจากกุฏิท่านจะเดินไปทางอื่น จะไปในเมืองท่านก็ขึ้นรถคนอื่น ไม่ได้ไปดูเลยว่ามันเป็นอย่างไร? มีสีอะไร? ผ่านไป ๗ วันหลวงพ่อท่านก็เรียกโยมคนหนึ่งมาแล้วบอกว่า
ไปบอกเขาเอารถกลับคืนไปนะ เอามาถวายข้อย ๆ ก็รับไปแล้ว ได้บุญแล้ว เดี๋ยวนี้ข้อยจะส่งคืน มันไม่ใช่ของพระ
ปวดเหมือนกัน
มีโยมผู้หญิงมากราบหลวงพ่อและร้องขอกับท่านว่า
หลวงพ่อเป่าขาให้ดิฉันหน่อยซิ แหม! ดิฉันปวดขาเหลือเกิน หลวงพ่อท่านก็บอกว่า
โยมมาเป่าให้อาตมาบ้างซิ อาตมาก็ปวดเหมือนกัน
จริงแต่ไม่ถูก
นักปฏิบัติที่ถือเอาการปฏิบัติที่จิตภาวนาอย่างขะมักเขม้น แต่ละเลยกิริยาภายนอก หลวงพ่อท่านถือว่าเป็นการสร้างประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ไม่ใส่ใจในประโยชน์ผู้อื่นจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ครบถ้วนสมบูรณ์ยังไม่ได้ ส่วนการประพฤติปฏิบัติโดยเอื้อเฟื้อต่อพระวินัยนั้น ถือเป็นการประกาศศาสนาไปในตัวเพราะทำให้ผู้ที่มาพบเห็นที่ยังไม่เคยเลื่อมใสให้เลื่อมใส ที่เลื่อมใสแล้วเกิดความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งข้อนี้ตรงกับวัตถุประสงค์อันหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นคู่เคียงกับพระธรรม บางสำนักสอนว่าไม่ต้องไปจุกจิกจู้จี้เรื่องสิกขาบทต่าง ๆ มากเกินไป ให้มีสติตัวเดียวก็พอแล้ว ครั้งหนึ่งมีพระถามหลวงพ่อว่าท่านเห็นอย่างไร? ต่อทัศนะนี้หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
จริงแต่ไม่ถูก ถูกแต่ไม่จริง
วางมันซิ
พระฝรั่งลูกศิษย์รูปหนึ่ง มีปัญหาในการเลือกอารมณ์กรรมฐานที่ถูกจริตของตัวเอง เพราะได้เจริญพุทโธกับอานาปานสติมาเป็นเวลานานแล้ว จิตก็ไม่เคยสงบ ระลึกความตายก็ไม่สงบ ระลึกขันธ์ห้าก็ไม่สงบ เลยหมดปัญญา เมื่อมากราบเรียนถามหลวงพ่อท่านก็ตอบง่าย ๆ ว่า
วางมันซิ หมดปัญญาก็วางมัน
ใครรู้ ?
คนที่นับถือพระเจ้าท่านหนึ่ง ไม่ยอมรับคำสอนเรื่อง "อนัตตา" ของศาสนาพุทธ เหตุผลของเขาก็คือว่า
จะเอาอะไรมารู้อนัตตาเล่า ? ถ้าไม่ใช่อัตตา
ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เป็นอนัตตาหรือสิ่งที่ไม่มีตัวตน สิ่งนั้นเราจะรู้และเข้าใจได้อย่างไร? ถ้าไม่มีตัวตนผู้ที่มารู้มาเข้าใจ วันหนึ่งมีชาวคริสต์คนหนึ่งมาถามหลวงพ่อว่า
ใครรู้อนัตตา ?
หลวงพ่อท่านก็ถามกลับทันทีว่า
ใครรู้อัตตา ?
เมาความสุข
ครั้งหนึ่งระหว่างที่พำนักอยู่ที่วัดหนองป่าพง พระอาจารย์ปสันโน (พระฝรั่ง) มีโอกาสได้ตามหลวงพ่อไปบิณฑบาตที่บ้านกลาง ขากลับหลวงพ่อเดินช้า ๆ ขณะเดินผ่านต้นไม้ กิ้งก่าคู่หนึ่งซึ่งกำลัง "ปฏิบัติกามกิจ อยู่ข้างบนก็พลาดท่า หล่นตุ๊บลงมาต่อหน้าทั้งที่ตัวยังติดกัน หลวงพ่อเห็นเข้าก็หัวเราะชี้ให้ลูกศิษย์ดู พร้อมกับทำมือทำไม้ประกอบคำอธิบายแก่ท่านอาจารย์ปสันโน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจภาษาไทยมากนักว่า
แน่ะ! เห็นไหม มันเมาความสุขอยู่ข้างบน เป็นเหตุให้ประมาท ตกลงมาก็เจ็บอย่างนี้แหละ
ข้าวฟักไข่
ที่วัดมีกติกาว่า อาหารที่ได้จากการบิณฑบาตต้องส่งไปโรงครัวทั้งหมด ห้ามเก็บไว้ในบาตรของตนครั้งหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่ง เกิดฝ่าฝืนกติกาสงฆ์ข้อนี้ ท่านคงคิดว่าอาหารมีน้อยบางทีอาหารบางอย่างก็แจกหมดก่อนแต่ต้นแล้ว ไม่ถึงปลายแถวหรือแม้จะถึงก็กลัวจะได้น้อยหรือได้ของที่ไม่ชอบใจ วันนั้นพระรูปนั้นไปบิณฑบาตได้ไข่ต้มมาหนึ่งฟอง ท่านก็เลยปั้นข้าวเหนียวหุ้มไว้ เอาไข่ไว้ข้างในก้อนข้าวจะด้วยเหตุบังเอิญหรืออาจจะทำมานานแล้วกรรมมันส่งผลก็ไม่ทราบได้ วันนั้นก่อนฉันหลวงพ่อท่านก็ออกเดินตรวจในบาตรของพระภิกษุสามเณร พอมาถึงบาตรของพระรูปนั้นท่านก็หยุดเพราะก้อนข้าวปริแตกและมองเห็นไข่ต้มอยู่ข้างใน ท่านก็เลยพูดขึ้นว่า
ปั้นข้าวใครฟักไข่หนอ?
ภิกษุสามเณรเป็นจำนวนมาก ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในโรงฉันต่างก็หันไปมองพระรูปนั้นเป็นจุดเดียวยังกะนัดกันไว้ ทำให้พระรูปนั้นทั้งกลัวทั้งอายจนตัวสั่นหน้าซีดแทบจะแทรกแผ่นดินหนีให้ได้ ตั้งแต่นั้นมาภิกษุรูปนั้นก็เข็ดขยาดหวาดกลัว ไม่กล้าทำอย่างนั้นอีกเลย อย่าว่าแต่ภิกษุรูปนั้นเลย แม้แต่ภิกษุรูปอื่น ๆ ซึ่งเห็นเหตุการณ์ก็ไม่กล้าทำอย่างนั้นเช่นกัน
ตึง ๆ หย่อน ๆ
ความเป็นครูบาอาจารย์อาจจะทำให้หลวงพ่อมองเห็นว่า การปฏิบัติของลูกศิษย์นั้นก็คงเหมือนกับการเตรียมตัวดูหนังสือเพื่อเข้าสอบของนักเรียน ถ้าเตรียมดูหนังสือเพียงแค่ให้สอบผ่าน ๕๐ - ๖๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เข้าสอบจริง ๆ อาจจะไม่ผ่านก็ได้จะต้องเตรียมพร้อมไว้ ๙๐ หรือถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นั่นแหละ แล้วเวลาสอบมันจะเลื่อนลดลงมาเหลือเพียง ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ก็ยังถือว่าสอบได้ ปฏิปทาในการรักษาข้อวัตรของหลวงพ่อ จึงเป็นไปอย่างผู้ที่เข้าถึงสัจธรรม ความไม่เที่ยงอย่างแท้จริง เมื่อมีการปรารภถึงข้อวัตรที่บางคนเห็นว่าตึงเกินไป หลวงพ่อตอบว่า
ให้มันตึงไว้นั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวมันก็หย่อนลงมาเอง
เรื่องของความเพียร
นักปฏิบัติผู้มุ่งมั่นบางท่าน เร่งทำความเพียรในการปฏิบัติอย่างไม่ลดละ บางคนก็คิดว่าการปฏิบัติกรรมฐาน คือ การเดินจงกรมและนั่งสมาธิเท่านั้น แต่หลวงพ่อเน้นว่าการปฏิบัติอยู่ที่สติมากกว่าอิริยาบถหมายความว่า ฝึกให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถโดยไม่ถือเอาอากัปกิริยาเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่เฉพาะเวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรมเท่านั้น เคล็ดลับของท่านก็คือ ปฏิบัติเรื่อยไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคร่งเกินไป แต่ก็ไม่หย่อน ให้พอดีแก่การขัดเกลากิเลส จึงจะเรียกว่าเป็น "สัมมาปฏิปทา" อย่างที่ท่านเทศน์ในตอนหนึ่งว่า
ในการปฏิบัติทำความเพียรนั้น ไม่ใช่เดินเพียร นั่งเพียร แต่หมายถึงให้ รู้เพียร
พระอรหันต์ (อีกแล้ว)
ครั้งหนึ่งมีการเล่าลือว่า ลูกศิษย์ของหลวงพ่อรูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ พระบางรูปก็เชื่อ บางรูปก็ไม่เชื่อ นานเข้าพระรูปหนึ่งอดรนทนไม่ไว้ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านตอบว่า
ท่านเป็นก็เป็น ไม่เป็นก็ไม่เป็น ผมก็ไม่ได้เป็นอะไร ผมไม่มีอะไรจะเป็น เรื่องของเราก็เป็นเรื่องของเรา เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เรื่องของคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องของเรา
ชอบคนละอย่าง
มีรูปหลวงพ่อชายิ้มกว้างแพร่หลายออกมา ภายหลังจากที่ท่านกลับจากประเทศอังกฤษ ภาพยิ้มนั้นเป็นฝีมือศิษย์ฝรั่งที่ถ่ายเอาไว้ เมื่อลูกศิษย์คนไทยได้พบเห็นก็ถามเป็นเชิงตำหนิว่า
ทำไมจะต้องมีรูปหลวงพ่อยิ้มด้วย ? หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า
นี่ก็เป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน คนไทยชอบให้ครูบาอาจารย์มีรูปขรึม ๆ สำรวม แต่ฝรั่งชอบไปอีกอย่าง
พูดได้หลายภาษา
เคยมีโยมคนหนึ่งมากราบเรียนถามท่านว่า ที่หลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหาชาวต่างประเทศมากนั้น เป็นเพราะหลวงพ่อได้ นิรุตติปฏิสัมภิทา (ปัญญาที่แตกฉานในภาษา) หรือเปล่า? หลวงพ่อยิ้มแล้วตอบว่า
อาจจะใช่นะโยม ภาษาชาวนาอาตมาก็พูดได้ ภาษาแม่ค้าก็พูดได้ ภาษาทหารก็พูดได้ ที่จริงมันแตกฉานหลายภาษาอยู่
คิดถึงบ้าน
แม่ชีที่ปฏิบัติอยู่ที่วัดหนองป่าพง ขอโอกาสหลวงพ่อกลับไปเยี่ยมบ้าน ตอนที่ไปกราบลากลับไปเยี่ยมบ้านท่านก็ขู่ว่า
ไปเยี่ยมบ้านไปทำไม? คิดถึงลูกหลานล่ะสิ มาอยู่กี่ปีแล้วพระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นไปเยี่ยมบ้าน นี่มาอยู่ไม่เท่าไหร่จะไปเยี่ยมบ้านแล้ว หรือบางทีท่านจะสำทับว่า เออ! ไปวาง มาวางนะ พอแม่ชีกลับมาวัดท่านก็ถามว่า
ไง? บ้านยังอยู่เหมือนเดิมรึ หาบอะไรมาล่ะ? แม่ชีคนนั้นไม่เข้าใจความหมายที่ท่านถามก็ตอบว่า
ได้หอมได้กระเทียมมาบ้างนิดหน่อย บางทีท่านก็ถามแม่ชีแก่ ๆ ว่า
เมื่อคืนนี้ไปบ้านมากี่ครั้ง ? เขาไม่เข้าใจก็ตอบว่า
ไม่ได้ไป ท่านก็ว่า
ไม่เห็นมันล่ะซิ
ทิฐิมานะ
เป็นที่ยอมรับกันว่าหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะชาวตะวันตก ซึ่งคนไทยทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ฝรั่ง และเป็นที่น่ายินดีที่ลูกศิษย์ฝรั่งของหลวงพ่อ ได้เป็นตัวแทนที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปยังต่างประเทศ
พระอาจารย์สุเมโธ พระฝรั่งรูปแรกที่มาอยู่ที่วัดหนองป่าพง ท่านเล่าว่าทุกเช้าเวลาหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาตจะมีพระเณรหลายรูปไปรอที่ศาลาเพื่อคอยล้างเท้าท่าน ระยะแรกที่ท่านได้เห็นกิจวัตรอันนี้ทีไรก็ได้แต่นึกค่อนขอดพระเณรเหล่านั้นอยู่ในใจ ล้างเท้าท่านรูปเดียวสองรูปก็พอทำไมต้องไปกันมากมาย แต่พออยู่นานเข้าท่านก็ชักจะเป็นไปด้วย แล้วก็มีอยู่เช้าวันหนึ่ง ก่อนที่จะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ท่านก็ปราดเข้าไปอยู่หน้าพระเณรรูปอื่น ๆ เสียแล้ว ขณะก้มลงล้างเท้าถวายท่านอยู่ก็ได้ยินเสียงนุ่ม ๆ เย็น ๆ กลั้วเสียงหัวเราะของหลวงพ่อพูดอยู่บนหัวท่านว่า
สุเมโธ ยอมแล้วบ่ ?
ผิดคาด
พระอาจารย์ชยสาโร พระฝรั่งอีกรูปหนึ่งเล่าว่า หลวงพ่อท่านไม่สอนอะไรมาก ท่านจะพูดเพียง ๒-๓ คำให้เราเก็บเอาไปคิดพิจารณา อย่างเช่นครั้งหนึ่งท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่ หลวงพ่อท่านผ่านมาก็ถามว่า
ช้อน สบายดีไหม ? ชื่อเดิมของท่านคือ ฌอน (Shaun) หลวงพ่อก็เรียกว่า ช้อน ท่านก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า
สบายดีครับ หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ถามต่อเหมือนกับย้ำว่า
สบายดีไหม ? ท่านก็กราบเรียนยืนยันเช่นเดิมว่า
สบายดีครับ หลวงพ่อท่านกลับพูดว่า
สบายดี ไม่ดี
แล้วหลวงพ่อท่านก็เดินจากไป ปล่อยให้ท่านชยสาโรยืนงงอยู่อย่างนั้น
Good morning
พระอาจารย์ญาณธัมโม ชาวออสเตรเลียศิษย์รุ่นเดียวกับพระอาจารย์ชยสาโร ดูเหมือนจะประทับใจในบทเรียนแบบเฉียบพลันที่ได้รับจากหลวงพ่อยิ่งนัก ท่านเล่าว่าวันหนึ่งท่านมีเรื่องขัดใจกับพระรูปหนึ่ง รู้สึกโกรธหงุดหงิดอยู่ทั้งวัน รุ่งเช้าไปบิณฑบาตก็เดินคิดไปตลอดทาง ขากลับเดินสวนทางกับหลวงพ่อ ท่ายิ้มและทักอาตมาเป็นภาษาอังกฤษว่า
Good morning
เพียงเท่านี้ก็ทำให้อารมณ์ของท่านเปลี่ยนทันที ที่กำลังขุ่นมัวหงุดหงิดกลับเบิกบาน ปลื้มปิติที่หลวงพ่อทักทาย
ประมาท
หลวงพ่อท่านเน้นเรื่องของการปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ให้ค่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ อย่างเช่นวันนี้ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็พยายามทำไมได้ทำมากก็ให้ได้สักครึ่งหนึ่งก็เอา อย่าไปปล่อยวันนี้ขี้เกียจไม่ทำ อย่างนี้ไม่ได้การเสียหายเลย ไม่ใช่นักปฏิบัติแล้ว อย่างเช่นตัวอย่างที่เคยมีลูกศิษย์ได้เคยระบายกับหลวงพ่อว่า
แหม! ปีนี้ผมแย่เหลือเกิน หลวงพ่อ ท่านก็ถามว่า
ทำไม ? ลูกศิษย์ก็ตอบว่า
ผมป่วยทั้งปี ไม่ได้ปฏิบัติเลย หลวงพ่อท่านก็พูดว่า
โอ้โฮ! มันจวนจะตายแล้วก็ยังไม่ปฏิบัติอีกรึ? จะไปปฏิบัติเมื่อไหร่ล่ะ?
แยกยาก
หลวงพ่อท่านเคยเปรียบเปรยในทำนองปรารภธรรมให้ฟังว่า คนหนึ่งไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วเดินหิ้วมา แล้วอีกคนหนึ่งเห็นก็ถามว่า
ท่านซื้อกล้วยมาทำไม?
ซื้อไปรับประทาน
เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ?
เปล่า
ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน? หรืออย่างเอามะพร้าวมาใบหนึ่งก็เหมือนกัน
เอามะพร้าวไปทำไม?
จะเอาไปแกง
เปลือกมันแกงด้วยหรือ?
เปล่า
เอาไปทำไมล่ะ?
อาหารใจ
โยมฝรั่งคนหนึ่งตั้งคำถามหลวงพ่อ ๓ ข้อว่า
ปฏิบัติทำไม? ปฏิบัติอย่างไร? ปฏิบัติแล้วเกิดผลอย่างไร? หลวงพ่อท่านจึงย้อนถามกลับว่า
กินข้าวทำไม? กินข้าวอย่างไร? กินข้าวแล้วเกิดผลอย่างไร?
โยมฝรั่งคนนั้นก็งงและไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของหลวงพ่อเท่าใดนัก เพราะไม่เข้าใจหลวงพ่อท่านจึงอธิบายเสริมต่อว่า
.. ปฏิบัติทำไม? ก็คือกินข้าวทำไม? ปฏิบัติอย่างไร? ก็คือกินอย่างไร? ก็ให้นึกซิว่าเรากินข้าวทำไม? เหตุที่เรากินก็เพราะหิว มีความหิว มีความทุกข์ ถ้าไม่กินก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น เราปฏิบัติเพราะอะไร? เพราะความหิว เรากินอาหารก็เพื่อระงับความหิวทางกาย เราปฏิบัติธรรมเพื่อระงับความหิวทางใจ ใจเป็นทุกข์ ก็ต้องใช้ธรรมะมาแก้ทุกข์ ทีนี้ปฏิบัติอย่างไร? ก็เหมือนกับเรากินอย่างไร? ก็ต้องเอาอาหารมาใส่ ถ้าใจขาดอาหารก็เอาธรรมะมาใส่ ให้ใจได้กินธรรมะ ปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร? ก็เหมือนกับกินแล้วเป็นอย่างไรนั่นแหละ กินแล้วก็อิ่มใช่ไหม? ปฏิบัติแล้วก็อิ่มธรรมะ
เสียสละ
ในสมัยก่อนนั้น อาหารการขบฉันมีความฝืดเคืองมากดังนั้นแม่ชีก็ต้องทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ใครจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารเป็นต้องโดนหลวงพ่อท่านขนาบเอาแรง ๆ ทุกทีไป พระเถระรูปหนึ่งได้เล่าถึงลีลาการเทศน์ของหลวงพ่อในกรณีอย่างนี้ว่า มีแต่คำที่ดุเดือดเผ็ด ๆ ร้อน ๆ เหล่าบรรดาแม่ชีจึงได้รับความสงบระงับเรื่อยมา และสมัยก่อนทำความเพียรเก่งมาก ตัวอย่างการเทศน์ที่มีรสชาติของหลวงพ่อก็เช่นว่า
เอาให้ผู้เฒ่าซะหัวมัน เหลือแต่ก้างอย่างนี้ (หมายถึงว่าหัวปลาที่เหลือแต่ก้างนั้นให้แม่ชีแก่) ถึงแม้ได้แต่ก้างก็ต้องถือว่าตัวเกิดเป็นหมาเสียซิ มันกินแต่ก้างก็ยังโต ได้กินข้าวก็ยังดี ดูซิหมามันกินกระทั่งขี้มันยังเติบใหญ่เป็นหมาได้ยังไม่สูญพันธ์หมา นับประสาอะไรกับคนเรานี้
ตายแล้วเกิด
ปัญหาเรื่องชาติหน้าภพหน้าก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากในวงการนักศาสนา และดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ยุติได้ วันหนึ่งก็มีโยมกลุ่มหนึ่งมากราบเรียนถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้กับหลวงพ่อ
โยม : ชาติหน้ามีจริงไหมครับ ?
หลวงพ่อ : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ ?
โยม : เชื่อครับ
หลวงพ่อ : ถ้าเชื่อคุณก็โง่
โยม : อ้าว! คนตายแล้วเกิดไหมครับ ?
หลวงพ่อ : จะเชื่อไหมล่ะ ? ถ้าเชื่อคุณโง่หรือฉลาด?
สรุปแล้วเลยนั่งงงทั้งกลุ่มไม่รู้หลวงพ่อจะเอายังไงแน่ ท่านก็เลยพูดอธิบายขยายความต่อไปอีกว่า
หลายคนมาถามอาตมาเรื่องนี้ อาตมาก็ถามเขาอย่างนี้เหมือนกันว่าถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อไหม ถ้าเชื่อคุณก็โง่ เพราะอะไร? ก็เพราะมันไม่มีหลักฐานพยานอะไรที่จะมาหยิบให้ดูได้ ที่คุณเชื่อเพราะคุณเชื่อตามเขา เขาว่าอย่างไรคุณก็เชื่ออย่างนั้น คุณไม่รู้ชัดด้วยปัญญาของคุณเอง คุณก็โง่อยู่ร่ำไป ทีนี้ถ้าอาตมาตอบว่าคนตายแล้วเกิดหรือว่าชาติหน้ามี อันนี้คุณต้องถามอาตมาต่อ ไปอีกว่า ถ้ามีพาผมไปดูหน่อยได้ไหม? เรื่องมันเป็นอย่างนี้ มันหาที่จบลงไม่ได้ เป็นเหตุให้ทะเลาะถกเถียงกันไปไม่มีที่สิ้นสุด
ทีนี้ถ้าคุณถามว่าชาติหน้ามีไหม? อาตมาก็ถามว่าพรุ่งนี้มีไหม? ถ้ามีพาไปดูได้ไหม? อย่างนี้คุณก็พาไปดูไม่ได้ ถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีอยู่แต่ก็พาไปดูไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันนี้มีพรุ่งนี้ก็ต้องมีแต่สิ่งนี้มันเป็นของที่หยิบยกเอามาเป็นวัตถุตัวตนให้เห็นไม่ได้
ความจริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ให้เราตามไปดูถึงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยว่า ชาติหน้ามีหรือไม่มี? ไม่ต้องถามว่าคนตายแล้วจะเกิดหรือไม่เกิด อันนั้นมันมันไม่ใช่ปัญหา มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ เราต้องรู้เรื่องราวของตนเองในปัจจุบัน เราต้องรู้ว่าเรามีทุกข์ไหม? ถ้าทุกข์มันทุกข์เพราะอะไร? นี้คือสิ่งที่เราต้องรู้และเป็นหน้าที่โดยตรงที่เราจะต้องรู้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราถือเอาปัจจุบันเป็นเหตุของทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันเป็นเหตุของอนาคต คือถ้าวันนี้ผ่านไป วันพรุ่งนี้มันก็กลายมาเป็นวันนี้ นี่เรียกว่าอนาคตคือพรุ่งนี้ มันจะมีได้ก็เพราะวันนี้เป็นเหตุ ทีนี้อดีตก็เป็นไปจากปัจจุบัน หมายความว่า ถ้าวันนี้ผ่านไปมันก็กลายเป็นเมื่อวานนี้เสียแล้ว นี่คือเหตุที่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาเหตุทั้งหลายในปัจจุบัน เท่านี้ก็พอแล้ว ถ้าปัจจุบันเราสร้างเหตุไว้ดีอนาคตมันก็จะดีด้วย อดีตคือวันนี้ที่ผ่านไป มันย่อมดีด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราหมดทุกข์ได้ในชาติปัจจุบันนี้แล้ว อนาคตคือชาติหน้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึง
รดน้ำมนต์
ครั้งหนึ่งมีนายทหารคนหนึ่งไปตรวจราชการที่อุบลฯ กับลูกน้อง ๔-๕ คน ได้แวะไปกราบหลวงพ่อ เมื่อไปถึงก็พูดธรรมะให้หลวงพ่อฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย ล้วนแต่ที่มีอยู่ในตำราทั้งสิ้น ตอนหนึ่งเขาพูดกับหลวงพ่อว่า
หลวงพ่อครับ ตอนผมเป็นนายทหารหนุ่ม ผมออกไปล่ากระทิงในป่าผมยิงโป้งไป กระทิงตัวนั้นกระโดมาขวิดผมเกือบถูก แหม! มันร้ายเหลือเกิน
หลวงพ่อ: คนแหละยิ่งร้ายกว่ากระทิง
นายทหาร : อ้าว! ทำไมล่ะครับหลวงพ่อ?
หลวงพ่อ : ก็กระทิงมันอยู่ในป่ายังไปตามล่ามัน ไปฆ่ามันจนตาย สัตว์ มันต้องรักชีวิตมันต้องต่อสู้เพื่อป้องกันชีวิต แต่มันสู้เราไม่ได้ นั่น แหละคุณมันจึงร้ายกว่ากระทิง
คุยกันนานกว่าสองชั่วโมง แต่หลวงพ่อไม่ค่อยได้พูด โดยมากนายทหารจะพูดเองมากกว่า ในที่สุดก่อนที่เขาและลูกน้องจะกลับ เขาก็พูดว่า
นายทหาร : หลวงพ่อครับ พวกผมจะกลับแล้วละครับขอรดน้ำมนต์หน่อย
หลวงพ่อ : รดแล้ว
นายทหาร : รดที่ไหนครับหลวงพ่อ ผมเป็นคนรับ ผมต้องรู้ซิ
หลวงพ่อ : รดมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว คุณยังไม่รู้สึกหรือ?
โทษของการทำบาป
หลวงพ่อท่านจะมีปฏิภาณโวหารดีในการเปรียบเทียบธรรมะให้ง่ายสำหรับบางคน อย่างเช่นครั้งหนึ่ง พ่ออ่ำลูกศิษย์หัวเห็ดท่านหนึ่งเคยโต้คารมกับหลวงพ่อเกี่ยวกับโทษของการทำบาปโดยพ่ออ่ำถามหลวงพ่อว่า
ข้าวก็ข้าวของผม แป้งก็แป้งของผม เอามาทำเหล้ากินทำไมจะบาป? หลวงพ่อท่านก็ตอบพ่ออ่ำว่า
มีดนั้นก็มีดของโยม ทางคมก็ใช้สับทำลายได้ ทำอาหารได้ ส่วนทางสันก็ลองสับหัวตัวเองดูซิ มันจะเป็นอย่างไร ?
ตายแล้วไปไหน?
เมื่อครั้งที่หลวงพ่อไปจาริกในต่างประเทศที่อังกฤษ ครั้งนั้นมีแหม่มคนหนึ่งถามหลวงพ่อว่า
คนตายแล้วไปไหน? ท่านได้ฟังแล้วจึงเป่าเทียนที่อยู่ใกล้ให้ดับ และถามแหม่มคนนั้นว่า
เทียนดับแล้วไปไหน?
แหม่มคนนั้นก็รู้สึกงุนงงในคำตอบของท่านมาก
หลุมพราง
หลวงพ่อมหาอมร เขมจิตโต ได้เล่าว่าวันหนึ่งขณะที่ได้ติดตามหลวงพ่อชาไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน พอไปถึงทางเลี้ยวซ้ายหลวงพ่อท่านก็เดินชะลอเหมือนคอยจังหวะให้ท่านไปถึง พอเดินไปทันเห็นท่านเหลียวมองดูบ้านบ้านหลังหนึ่งชำรุดเก่าคร่ำคร่า เป็นบ้านของช่างไม้รับจ้างปลูกเรือน แล้วท่านก็เอ่ยลอย ๆ ว่า บ้านช่างไม้นี่เก่าชำรุดเสียจริง ๆ นะ หลวงพ่อมหาอมรก็ตอบแบบคล้อยตามว่า
เป็นช่างไม้มีฝีมือ คนจึงมาจ้างบ่อย ๆ คงยังไม่มีเวลาทำให้ตนเอง หลวงพ่อก็พูดสวนออกมาในทันทีว่า
เราก็เหมือนกันนั่นแหละ.. มัวแต่สอนเขา
หลวงพ่อมหาอมรจึงนึกรำพึงในใจว่า เอาแล้วไหมล่ะ.. เผลอไปจึงตกหลุมพรางของท่านเข้า รู้สึกกินใจและสะอึก แทบจะวางบาตรนั่งลงกราบรับรองว่าจริงตามที่ท่านพูดเพราะคาดไม่ถึง ไม่นึกว่าจะโดนท่านสอนธรรมะแบบปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้
ความโกรธ
เคยมีพระลูกศิษย์ผู้มีโทสจริตรูปหนึ่ง เข้ามากราบนมัสการเรียนถามขออุบายจากหลวงพ่อว่า
เมื่อผมโกรธควรจะทำอย่างไรขอรับ? หลวงพ่อท่านจึงแนะนำว่า
ท่านต้องแผ่เมตตา ถ้าท่านมีโทสะในขณะภาวนาให้แก้ด้วยการแผ่เมตตา ถ้าใครทำไม่ดีหรือทำให้โกรธก็อย่าโกรธตอบ ถ้าท่านโกรธตอบท่านจะโง่ยิ่งกว่าเขา จงเป็นคนฉลาดสงสารเห็นใจเขาเพราะว่าเขากำลังได้ทุกข์ จงมีเมตตาเต็มเปี่ยมเหมือนหนึ่งว่าเขาเป็นน้องชายที่รักยิ่งของท่าน เพ่งอารมณ์เมตตาเป็นอารมณ์ภาวนา เมตตาเท่านั้นที่จะเอาชนะโทสะและความเกลียดได้
บางครั้งท่านอาจจะเห็นพระภิกษุอื่นปฏิบัติไม่สมควร ท่านจะรำคาญใจทำให้เป็นทุกข์โดยใช่เหตุ ท่านอาจจะคิดอย่างนี้ว่าเขาไม่เคร่งครัดเท่าฉัน เขาไม่ใช่พระกรรมฐานที่เอาจริงเอาจังเช่นฉัน เขาไม่ใช่พระดี นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างยิ่งของตัวท่านเอง จงอย่าเปรียบเทียบ อย่าแบ่งเขาแบ่งเรา จงละทิฏฐิของท่านลงเสียและเฝ้าดูตัวท่านเอง ท่านไม่สามารถบังคับให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านต้องการหรือเป็นเช่นท่านได้ ความต้องการเช่นนี้มีแต่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์ ผู้ปฏิบัติภาวนามักจะพากันหลงผิดในข้อนี้ การจับตาดูผู้อื่นไม่ทำให้เกิดปัญญาได้ เพียงแต่พิจารณาตนเองและความรู้สึกของตนเองแล้วท่านก็จะเข้าใจได้ นี่แหละคือธรรมะของเรา
แบบเซนก็มี
ในสมัยปัจจุบัน พุทธศาสนาที่แพร่หลายในอเมริกาคือฝ่ายมหายาน ซึ่งมีคำสอนบางประการที่ไม่สอดคล้องกับฝ่ายเถรวาท ทำให้เกิดความสับสนในกลุ่มชาวตะวันตกที่ศึกษาธรรมะบ้างพอสมควร ตัวพอลเองหลังจากลาสิกขาไปจากวัดหนองป่าพง ก็เกิดสนใจธรรมะนิกายเซนของมหายานและได้ศึกษามาประมาณ ๒-๓ ปีก่อนหน้านั้น จึงมีเรื่องต่าง ๆ ของเซนมาเป็นหัวข้อสนทนาซักถามหลวงพ่อบ่อย ๆ และพอลก็ต้องแปลกใจ ที่หลวงพ่อสามารถโต้ตอบให้ความกระจ่างแก่เขาได้ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยได้ศึกษาทางนี้มาก่อน
นี่คือตัวอย่างการสนทนาระหว่างหลวงพ่อและพอล
พอล : มหายานนี้ถือว่าจิตเดิมแท้เป็นของบริสุทธิ์ สรรพสัตว์มีพุทธภาวะในใจ อยู่แล้ว ฉะนั้นบางคนเห็นว่าไม่ต้องประพฤติปฏิบัติให้ลำบาก
หลวงพ่อ : เรามีอะไรสะอาดบ้างไหม? ถาดใบนี้นะสมมุติว่าเราเอาขี้ใส่ แล้วพูดว่า ถาดใบนี้เดิมแท้เป็นถาดสะอาด พูดอย่างนี้จะถูกไหม?
พอล : บางคนไม่ปฏิบัติเพราะเห็นว่าเขาสบายแล้ว ไม่มีความทุกข์
หลวงพ่อ : ถ้าหากว่าเด็กน้อยไม่ยอมไปโรงเรียน ดื้อกับพ่อแม่ว่าไม่ไป ผมสบายแล้ว อย่างนี้จะดีไหม?
พอล : บางคนเขาเห็นว่าความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่สมบูรณ์ ชีวิตต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ความทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับจึงจะเป็นธรรมชาติ ถ้าไม่ความทุกข์ ความสุขก็ไม่มีรสชาติ
หลวงพ่อ : จะเอาอย่างนี้ก็ได้ อย่าปล่อยนะ จับไว้ดี ๆ จับไว้นาน ๆ ดูซิว่ามันจะเป็นอย่างไร?
แบบเซน (อีกครั้ง)
คำตอบของหลวงพ่อสร้างความพอใจและคลายความสงสัยแก่นายพอลลงมาก แต่บทสนทนาระหว่างหลวงพ่อกับนายพอลยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ยังมีคำถามต่ออีกว่า
พอล : ผมยอมรับรับว่าคำสอนของหลวงพ่อเป็นสัจธรรมจริง แต่ยากที่ฆราวาส ญาติโยมผู้พัวพันอยู่กับโลก ๆ จะปฏิบัติตามได้
หลวงพ่อ : (เอาไม้ชี้ที่อกของพอล) ถ้าปลายไม้นี้มีเปลวไฟลุกโพลง คิดดูซิว่าพอลจะว่ายังไง? พอลก็จะพูดว่า ผมทุกข์จริง ร้อนจริง แต่นั่งอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน
พอล : จะโอ้เอ้พูดอยู่อย่างนั้นหรือ มีแต่จะลุกหนีเท่านั้นแหละ
หลวงพ่อ : ถ้าเราเห็นตัวทุกข์ เกิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว มีแต่จะภาวนาหาทางออกให้ได้เท่านั้น
พอล : ทำอย่างไรจึงจะละกิเลสได้ครับ?
หลวงพ่อ : อย่าเพิ่งใจร้อนรีบละกิเลส ใจเย็น ๆ คอยดูความทุกข์ ดูเหตุมันดูให้ ดี ๆ แล้วจะได้ละมันออกอย่างเต็มที่ เหมือนกับว่าเวลาเรากินอาหาร เรา เคี้ยวช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด มันจึงจะย่อยง่าย ย่อยได้ดี
ผ้าสกปรก
ผ้าสกปรกไม่ฟอก แต่อยากจะรับน้ำย้อม
เอาผ้าเช็ดเท้าไปย้อมไม่ต้องซักจะดีไหมนะ?