#echo banner="" ธรรมสนุกๆ จากหลวงพ่อชา หลวงพ่อชา/

ธรรมสนุกๆ จากหลวงพ่อชา

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : วีระวงศ์ [ 31 ส.ค. 2543 ]

เรื่องของการเหาะเหินเดินอากาศ

มีผู้สงสัยถามไถ่หลวงพ่อว่า

“เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นแล้วเหาะได้ไหมครับ”

“แมงกุดจี่มันก็เหาะได้” ท่านตอบ

(แมงกุดจี่ - แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย)

อีกครั้งหนึ่งมีผู้ถามคล้าย ๆ กันว่า

“เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อน ๆ เขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ”

“ถามไกลเกินตัวไป มาพูดถึงตอไม้ที่จะตำเท้าเราดีกว่า” ท่านกล่าว

ขอของดีไปสู้กระสุน

ทหารคนหนึ่งไปกราบขอพระเครื่องกันกระสุน

จากหลวงพ่อ ท่านบอกหน้าตาเฉยว่า

“เอาองค์นั้นดีกว่า เวลายิงกันก็อุ้มไปด้วย”

ท่านชี้ไปที่พระประธาน

เอ๊า

มีเด็กหิ้วกรงขังนกมาชวนหลวงพ่อซื้อ

เพื่อปล่อยนกในการทำบุญในสถานที่แห่งหนึ่ง

“นกอะไร เอามาจากไหน”

“ผมจับมาเอง”

“เอ๊า...จับเองก็ปล่อยเองซิล่ะ” ท่านว่า

ปวดเหมือนกัน

โยมผู้หญิงคนหนึ่งปวดขามาขอร้องหลวงพ่อเป่าให้

“ดิฉันปวดขา พลวงพ่อเป่าให้หน่อยค่ะ”

“โยมเป่าให้อาตมาบ้างซิ อาตมาก็ปวดเหมือนกัน”   ท่านตอบ

อาย

ครั้งหนึ่งหลวงพ่อรับนิมนต์เข้าวัง ขณะลงจากรถ

มีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งเข้ามาทักว่า

“คุณชา สะพายบาตรเข้าวัง ยังงี้ไม่นึกอายในหลวงหรือ”

“ท่านเจ้าคุณไม่อายพระพุทธองค์หรือ ถึงไม่สะพายบาตรเข้าวัง”   ท่านย้อน

อาจารย์ที่แท้จริง

ท่านชาคโรถูกหลวงพ่อส่งไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง

เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อได้เดินทางไปเยี่ยม

“เป็นไงบ้าง ชาคโร ดูผอมไปนะ”   หลวงพ่อทัก

“เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ”   ท่านชาคโรตอบ

“เป็นทุกข์เรื่องอะไรล่ะ”

“เป็นทุกข์เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์เกินไป”

“มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอาจารย์ทั้งหก

อาจารย์ฟังให้ดี ดูให้ดี เขาจะสอนให้เราเกิดปัญญา”

อาจารย์นกแก้วนกขุนทอง

สมัยนี้มีครูบาอาจารย์สอนธรรมะมาก บางอาจารย์อาจสอนคนอื่นเก่ง

แต่สอนตนเองไม่ได้ เพราะว่าสอนด้วยสัญญา (ความจำได้หมายรู้)

จำขี้ปากคนอื่นเขามาสอนอีกที

หลวงพ่อเคยแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า

“เรื่องธรรมะนี่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องบอกกัน

ไม่ใช่เอาความรู้ของคนอื่นมา

ถ้าเอาความรู้ของคนอื่นมาก็เรียกว่าจะต้องเอามาภาวนาให้มันเกิดชัดกับเจ้าของ

อีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดให้ฟังเข้าใจแล้วมันจะหมดกิเลส

ไม่ใช่อย่างนั้น

ได้ความเข้าใจแล้วก็ต้องเอามาขบเคี้ยวมันอีกให้มันแน่นอนเป็นปัจจัตตังจริงๆ

(ปัจจัตตัง - รู้เห็นได้ด้วยตนเอง, รู้อยู่เฉพาะตน)

โรควูบ

นักภาวนาคนหนึ่งถามปัญหาภาวนาของตนกับหลวงพ่อ

“นั่งสมาธิบางทีจิตรวมค่ะ แต่มันวูบ

ชอบวูบเหมือนสัปหงกแต่มันรู้ค่ะ

มันมีสติด้วย เรียกว่าอะไรคะ”

“เรียกว่าตกหลุมอากาศ”   หลวงพ่อตอบ “ขึ้นเครื่องบินมักเจออย่างนั้น”

นั่งมาก

วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำงานวัด

มีวัยรุ่นมาเดินชมวัดถามท่านเชิงตำหนิ

“ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด”

“นั่งมากขี้ไม่ออกว่ะ” หลวงพ่อสวนกลับ ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม

“ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง

ทำประโยชน์บ้าง ทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที

อย่างนี้จึงถูก กลับไปเรียนใหม่ ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก

เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันขายขี้หน้าตนเอง”

ยศถาบรรดาศักดิ์

ท่านกล่าวถึงสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานมาไว้ครั้งหนึ่งว่า

“สะพานข้ามแม่น้ำมูล เวลาน้ำขึ้นก็ไม่โก่ง เวลาน้ำลดก็ไม่แอ่น”

ศักดิ์ศรี

หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องภิกษุสะสมเงินทองปัจจัยส่วนตัวว่า

“ถ้าผมสิ้นไป พวกท่านทั้งหลายค้นพบ หรือเห็นปัจจัยเงินทองอยู่ในกุฏิผม

โอ๊ย...เสียหายหมด เสียศักดิ์ศรีพระปฏิบัติ”

จากคุณ : วีระวงศ์ [ 31 ส.ค. 2543 / 18:33:14 น. ]

ความคิดเห็นที่ 15 : (คนหาแก่นธรรม)

พูดถึงหลวงพ่อชาเลยนึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งครับ

ผมสังเกตเห็นพระวัดหนองป่าพงของหลวงพ่อชา

กับพระวัดสวนโมกข์ของหลวงพ่อพุทธทาสไปมาหาสู่สนิทสนมกันดีมากเหมือนเป็นสำนักเดียวกัน

ดูๆ ไปท่านจะสนมกันมากกว่าพระสายพระอาจารย์มั่นเสียอีกด้วยซ้ำไปครับ

เลยไปถามหลวงพ่ออิสระมุนี (อดีตพระเลขาหลวงพ่อชา)

ถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสองสำนักนี้

ท่านเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเดียวมีคนนำเทปธรรมะหลวงพ่อพุทธทาสเรื่อง “สุญญตาปริทัศน์”

มาให้หลวงพ่อชาฟัง (ตอนนั้นหลวงพ่อชาท่านอายุมากพอสมควรจนเป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว)

ท่านฟังแล้วชอบอกชอบใจมาก รับรองว่านี่แหละธรรมะที่ถูกต้อง

แล้วท่านก็ชอบฟังทุกๆ คืนก่อนนอน ท่านชมว่าหลวงพ่อพุทธทาสเทศน์ได้ไพเราะจับใจน้ำเสียงสงบถึงใจดีนัก

หลวงพ่ออิสระมุนีถึงกับต้องเตรียมเทปให้ท่านฟังตอนกลางคืนแทบทุกคืนเพราะท่านชอบมากๆ

ด้วยกิตติศัพท์นี้จึงทำให้พระหนองป่าพงหลายรูปเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อพุทธทาสถึงสวนโมกข์

และนับแต่นั้นมาศิษย์สองสำนักนี้ก็สนิทสนมกันจนแทบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ส่วนหลวงพ่อพุทธทาสก็นิยมชมชื่นในธรรมะของหลวงพ่อชาไม่แพ้กันทีเดียว

วันหนึ่งท่านอาจารย์สุเมโธ (พระฝรั่ง) ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนสวนโมกข์

เห็นพระที่นั่นทำตัวสบายๆ ไม่เคร่งครัด

จึงนึกดูถูกอยู่กลายๆ ว่าคงสู้สำนักหนองป่าพงไม่ได้

พอสบโอกาสจึงถามหลวงพ่อพุทธทาสว่าทำไมไม่กวดขันเรื่องวินัย?

ท่านอาจารย์พุทธทาสนิ่งเฉยไปครู่ใหญ่ ส่ายหน้าช้าๆ แล้วตอบเนิบนาบว่า

“เรื่องวินัย มันเป็นเรื่องของเด็กๆ ” แล้วนิ่งเสีย

ท่านอาจารย์สุเมโธ ไม่ชอบใจเลย หงุดหงิดกับคำตอบท่านมากๆ

หลังจากนั้นก็กลับหนองป่าพง ต่อมาไม่นาน

หลวงพ่อชาให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่าแห่งหนึ่ง(เข้าใจว่าวัดป่านานาชาติ)

ท่านต้องรับภาระปกครองพระภิกษุมากมาย ท่านก็กวดขันวินัยเคร่งครัดมากๆ

อยู่มาวันหนึ่งท่านเทศน์ในที่ประชุมสงฆ์ว่าการขบฉันของพระต้องสำรวม

ไม่ให้มีเสียงดัง ต้องเรียบร้อย เทศน์จบรุ่งเช้าพอถึงเวลาฉัน

มีพระฝรั่งเกเรรูปหนึ่งคงอยากลองดี

เลยฉันอาหารต่อหน้าญาติโยมเสียงดังมาก สูดปาก ซูดๆ ดูดนิ้วด้วย

เคี้ยวดัง จับๆ แบบว่าเอาเต็มที่เลย

ท่านอาจารย์สุเมโธโมโหมาก แต่จะทำอะไรก็ไม่ได้ ญาติโยมเต็มศาลา

ก็ได้แต่อดใจข่ม ทันใดนั้นเลยนึกถึงคำหลวงพ่อพุทธทาส “อ๋อ นี่มันเด็ก

ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้อะไรดี อะไรไม่ดี

ธรรมวินัยเขาเอาไว้ใช้กับพวกเด็กๆ คงเป็นอย่างนี้เอง”

ท่านซาโตริขึ้นมาทันที เลยหายโกรธ สบายใจได้

นับแต่นั้นมาท่านเลิกดูถูกภูมิปัญญาหลวงพ่อพุทธทาสไปเลยครับ

ทุกวันนี้ไปสวนโมกข์ หรือวัดชลประทาน

ก็จะเห็นหนังสือธรรมะของหลวงพ่อชาวางจำหน่ายปนๆ กับธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาสและหลวงพ่อปัญญาครับ

ครับ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยฟังมาจากหลวงพ่ออิสระมุนีอีกทีครับ

นึกว่าเอาไว้เป็นความรู้รอบตัวก็แล้วกันนะครับ

จากคุณ : คนหาแก่นธรรม [ 2 ก.ย. 2543 / 09:03:04 น. ] 

ความคิดเห็นที่ 17 : (tchurit)

_/l\_กับคนตามหาแก่นธรรมที่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าให้ฟังครับ

ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านสุเมโธดีครับ

เพราะที่วัดสาขาของหลวงพ่อชาท่านจะเคร่งครัดวินัย และ มารยาทพระมากครับ

ตอนสึกออกมาใหม่ ๆ ไปเจอวัดที่ฉัน ๒ มื้อบ้าง ฉันบนโต๊ะอาหาร

ฉันกับจานบ้าง

ผมยังนึกดูถูกอยู่ในใจเลย(แบบว่าคิดว่าวัดเราแน่กว่า ทำนองนั้น

แต่เดี๋ยวนี้สบายมาก : )

พูดถึงวัดที่เคร่งครัดในวินัย ก็เหมาะสำหรับผมมากในช่วงที่บวช

ด้วยความที่เราเป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ บางที่ออกจะไปทางนักคิดหน่อยๆ

ศีลบางข้อ บางทีหาเหตุผลในการปฏิบัติไม่ได้ ก็ผ่อนผันให้ตัวเองเฉยเลย

ความจริงผ่อนผันให้กับกิเลสของตัวเอง แต่เราดันจับไม่ทัน : )

พอเจอวัดที่เคร่งครัดในวินัยหน่อย

อาจจะรู้สึกไม่สบายใจบ้างในช่วงแรกๆ

แต่เมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่งก็ชิน

ออกจะมองเห็นประโยชน์ของระเบียบวินัยด้วยซ้ำไป

เมื่อผ่านจุดนั้นมาได้ แทบจะขอสาธุเลยสัก ๓ ครั้ง

เหมือนตอนเด็กๆ ถูกพ่อแม่บังคับให้ทำการบ้านอะไรทำนองนั้น

เลยมาเป็นเรา ณ วันนี้ได้

เห็นด้วยกับท่านพุทธทาสครับที่ว่า “เรื่องวินัย มันเป็นเรื่องของเด็ก ๆ  ”

แต่ผมว่าอาจจะอันตรายสำหรับบางท่านที่เป็นเด็กแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเด็ก

เด็กในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงเด็กที่วัดกันตามอายุ

แต่วัดที่ภูมิธรรมครับ

เมื่อวันหนึ่งผมเข้าใจ ศีล มากขึ้นมาหน่อยว่าศีลเป็นข้อฝึกหัดตัวเอง

เป็นสมมุติบัญญัติที่พระพุทธองค์บัญญัติขึ้นมา

เป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้นของระบบการศึกษาของพระองค์คือ ไตรสิกขา

เป็นตอหม้อ เป็นรากฐานของการพัฒนาคนสู่สมาธิและปัญญา

ผมเห็นพระหลายท่านเลยที่ทิ้ง ศีล เพราะท่านคิดว่าท่านได้ปัญญามาแล้ว

ถ้าจะถามว่ารู้สึกอย่างไรกับท่าน

รู้สึกเฉยๆ ครับแต่ถ้าท่านยึดมั่นในศีลด้วยก็น่าจะดีกว่านี้

และคนที่ไม่รู้ก็ครหาอะไรท่านไม่ได้ด้วยครับ

อย่างน้อย ๆ ท่านก็เป็น presenter ของพระพุทธเจ้า

บางคนเขาไม่รู้อาจตำหนิเหมารวมว่าพระไทยไม่สำรวมอะไรทำนองนั้นได้ครับ

จากคุณ : tchurit [ 2 ก.ย. 2543 / 12:11:02 น. ]