#echo banner="" ที่พึ่งอันสูงสุด หลวงพ่อชา/

ที่พึ่งอันสูงสุด

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี

คัดลอกจาก “ธรรมะ หลวงพ่อชา”

รวบรวม การบรรยายธรรม ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)

http://www.geocities.com/uu2uu/achar/cha15.html

ซึ่งจัดทำโดยคุณเจริญชัย เจริญทั้งเมือง

ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙

วันนี้เป็นวันพระซึ่งนับเนื่องมาจากองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าของเราว่า เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพุทธศาสนา เป็นวันที่ พวกเราชาวพุทธจะมาทำความเข้าใจกันในธรรมะ ซึ่งให้เกิด ประโยชน์แก่พุทธบริษัททั้งหลาย เป็นธรรมะซึ่งเป็นสัจธรรมนำชีวิต ของประชาชนชาวพุทธทั้งหลายนั้น ให้ลุถึงความสงบระงับ ให้รู้จักดี ชั่ว บาป บุญ คุณ โทษ พอที่จะรักษาตัวได้ในชีวิตที่เป็นอยู่ ความเป็นจริงนั้น วันพระทุกวันนี้เกือบจะไม่เป็นวันพระ เพราะว่าคนเราไม่สนใจ ไม่ยอมรับธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ได้ยินอยู่แต่ไม่รู้ รู้อยู่แต่ไม่เห็น หรือเห็นอยู่ แต่ว่ามันไม่รู้ ก็หมายความว่ามันทั้งไม่รู้ทั้งไม่เห็น เห็นอะไร? เห็น ความจริง เห็นสัจธรรมความเป็นจริง

อันความจริงนั้น จะทำอยู่คนเดียวมันก็จริง จะทำอยู่หลาย คนมันก็จริง เราทำที่มันจริงแล้ว ถึงคนอื่นจะว่าไม่จริง มันก็ยังเป็น ของจริง อันนั้นเรียกว่าของจริง ไปทำอยู่ที่บนอากาศมันก็เป็นความ จริง จะไปทำอยู่ในน้ำมันก็เป็นความจริง จะทำอยู่บนบกมันก็เป็น ความจริง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเรา ท่านจึงว่าธรรมะนั้นน่ะ เป็นความจริง จริงทุกกาลทุกเวลา ที่ผ่านมาแล้วตั้งแต่วานนี้ก็เป็น ความจริง ในปัจจุบันนี้มันก็เป็นความจริง อนาคตมันก็ยังเป็นความ จริง หมายความว่า เราทำความผิดไม่มีใครเห็น มันก็ยังเป็นความจริง เราจะทำความถูกอยู่ไม่มีใครเห็น มันก็เป็นความจริง

ฉะนั้นคนเราเมื่อจะทำความดีนั้นน่ะ ไม่ต้องให้คนอื่นเห็น บางคนทำคุณงามความดีก็ต้องการอยากจะให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่น เป็นพยาน จึงจะดีอกดีใจ อันนั้นก็ดีอยู่ แต่ว่ามันยังไม่จริง ไม่บรรลุถึง ความจริงจริงๆ ไอ้ความจริงนั้น แม้เราจะไปลอบทำอยู่คนเดียว ทำ ความชั่วมันก็ชั่วอยู่นั่นแหละ ทำความดีอยู่คนเดียวไม่มีใครเห็น มันก็ ยังดีอยู่นั่นเอง มันเป็นเสียอย่างนั้น ไม่ต้องว่าเราทำความชั่ว คนเห็น แล้วมันจะชั่วเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อเราทำความดีจริง เมื่อ คนเห็นแล้วมันจะเพิ่มความดีขึ้นมาอีก มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น

อันนี้ถ้าหากว่าความดีทั้งหลายที่เราได้ปฏิบัติกันแล้ว มันจึง ตัดซึ่งลาภ หรือยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ไม่มีที่ลับ ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว อันนี้เป็นความจริง พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้อยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์ท่านทำความดี ท่านละความชั่ว ท่านออกไปบำเพ็ญนั่ง หลับหูหลับตาที่ไหน ไกลรูป เสียง กลิ่น รส ท่านก็ยังมีความดี สาวก ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าคนเราทุกวันนี้จิตใจไม่แน่นอน ไม่มี ศรัทธาอย่าเป็นจริง ทำอะไรที่เป็นความดีอยากจะให้คนเห็น ถ้าคนไม่ เห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ ทำความชั่วก็เหมือนกัน ไม่อยากให้คนเห็น ถ้าคนเห็นแล้วมันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ทำความชั่วที่คนไม่เห็นน่ะมันดี อย่างนี้ ความที่เป็นขโมยในตัวของเราอยู่อย่างนี้ตลอดกาลตลอด เวลานั้น คนเราจึงไม่พบความจริง คือธรรมะ

ความเป็นจริง ธรรมะนั้นมันมาตกลงอยู่ที่จิตของเรา อย่าง การกระทำบุญน่ะ กระทำบุญทุกชั้นทุกส่วนก็เพื่อจะให้จิตเราเป็นบุญ เมื่อจิตเราเป็นบุญแล้ว จะนั่งอยู่มันก็เป็นบุญ จะเดินอยู่มันก็เป็นบุญ จะไปที่ไหนมันก็เป็นบุญ คนผู้ที่รู้จักบุญ ถึงแม้ว่าคนอื่นไม่เห็นก็เป็น บุญอยู่นั่นเอง คือความเห็นชอบอยู่ที่ตรงจิตใจของเรา การทำบุญทั้ง หมดนั้นต้องการให้จิตเราเป็นบุญ ถ้าจิตเราเป็นบุญแล้ว ทำบุญอยู่ที่ ไหนมันจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ต้องฉลอง ไม่ต้องให้คนรู้ ไม่ต้องให้ คนเห็น ไม่ต้องมีอะไร มีแต่กำลังจิตที่เชื่อมั่นในความดีแล้วเราก็ทำไป เท่านั้นแหละ

เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านทำคุณงามความดี ของท่านน่ะ อยู่ที่ไหนท่านก็ทำของท่าน ใครจะว่าไม่ดีสักเท่าไร มันก็ดี อยู่นั่นแหละ เมื่อทำสิ่งที่ไม่ดี เขาจะว่าดีอยู่แค่ไหน มันก็ไม่ดีอยู่แค่นั้น อันนี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่จะให้พวกเราทั้งหลายทำความเข้าใจในธรรมะ ถ้าเราเข้าใจธรรมะอย่างลึกนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องส่งจิตใจของเรา ออกไปข้างนอก เราอยู่ข้างในของเรา ทำจิตให้เป็นบุญ ไปแสวงหาบุญนอกใจเจ้าของมันก็ลำบาก นั่งรถนั่งเรือ วิ่งไปวิ่งมาตลอดกาล ตลอดเวลา อย่างญาติโยมเขาทำบุญกันนั่นแหละ ไปทอดกฐินตรงนั้น ไปทำผ้าป่าอยู่ตรงนี้ แต่ไม่ค่อยได้ฟังธรรมหรอก พอไปนั่งกราบพระก็รีบ จะไปแล้ว มันรถเขา เช่าเขามาต้องรีบวิ่งไปนั่ง แล้วก็รีบลุก ลุกแล้วก็รีบเดิน เดินแล้วก็รีบวิ่ง รีบไปรีบมา มีแต่รีบทั้งนั้นแหละ ไม่ได้อะไรเป็นสาระประโยชน์ในด้านจิตใจของเรา อันนี้คือคนวิ่งหาบุญ บุญกุศลแท้ๆ นั้นไม่ใช่อื่นไกลหรอก ในหลักพุทธศาสนา มีพระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง เมื่อบุคคลมาทำใจให้เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นแล้ว มันก็ไม่ตกนรกเท่านั้นแหละ

สมัยนี้ชาวพุทธเราทั้งหลายเห็นเป็นของยาก เป็นของลำบาก ถึงแม้จะทำบุญ ถึงแม้จะฟังธรรม ถึงแม้จะสร้างคุณงามความดี จะต้องให้คนอื่นบังคับจับมือ ถ้าคนอื่นไม่บังคับไม่จับมือแล้ว ก็ไม่ยอมทำ ไม่กล้าทำ เพราะฉะนั้นธรรมอันแท้จริงเราจึงไม่เห็น เราจึงไม่เห็น ว่าทำจิตใจของเรานั่นเอง ฉะนั้นจิตใจของเรานี้ถ้ามาพิจารณาดูแล้ว มันไม่อยู่ที่อื่นหรอก บุญบาปอยู่ที่จิตใจของเรา ท่านจึงได้ค้นจิตของ เรานั้นกับธรรมะ แต่จิตเรามันไม่ได้ฝึก เราจะไปเชื่อจิตของเราอย่างเดียวว่า เราชอบอันนี้มันดี บางทีมันก็ชอบอันผิดๆ นั่นแหละ ว่าดีแต่มันดีเฉพาะใจของเรา แต่ความจริงแล้วมันขาดจากธรรมะ มันเป็นของไม่จริงโดยสัจธรรม

เพราะฉะนั้นต้องเอาจิตของเราน้อมไปสู่ธรรมะ อย่าน้อม ธรรมะเข้ามาสู่จิตของเรา เราต้องน้อมจิตของเราเข้าไปสู่ธรรมะ (หมายเหตุ 1) อย่างผู้น้อยต้องน้อมเข้าไปหาผู้ใหญ่ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่ น้อมเข้าไปหาผู้น้อย เราเป็นสาวกของพระพุทธองค์ จะต้องน้อมไปสู่ พระพุทธเจ้าของเรา ไม่ใช่ให้พระพุทธเจ้าน้อมเข้ามาหาสาวก มันเป็นธรรมเนียมมาแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว

ธรรมะก็ดีเป็นของที่สูงสุด แต่ตัวเรานี้เป็นคนที่ไกลจากธรรมะ เมื่อเราอยากจะเห็นธรรมะ เราก็ควรดึงธรรมะเข้ามาสู่ใจเรา ให้ใจเราน้อมเข้าไปหาธรรมะ เพราะธรรมะเป็นสัจธรรม จิตใจของเราเป็นต้น มันยังไม่ได้ฝึกฝนให้มันเป็นธรรมะ เป็นต้นว่าเราชอบอันนี้ อันที่เราชอบนี้มันจะดีแล้วหรือ? มันก็ยังไม่ใช่ ดีก็เฉพาะจิตใจที่เราว่ามันดีที่ เราชอบมัน บางทีเราชอบของไม่ดีก็เข้าใจว่าของดี ชอบของผิดๆ แต่ก็นึกว่ามันดี แต่ว่าความเห็นว่าดีนะ แต่จิตเราไม่รู้จัก เพราะจิตของเรา ยังไม่ได้ฝึกฝน จิตที่ฝึกฝนดีแล้วมันจึงเข้าสู่ธรรมะ น้อมจิตเราเข้าไปสู่ ธรรมะเสียก่อน เพื่อให้จิตเรากลมเกลียวกับธรรมะ ให้จิตเป็นธรรมะ ให้ธรรมะเป็นจิต จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน อยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรม เมื่อจิตเป็นธรรม ความคิดเราก็เป็นธรรม สภาวะที่เราคิดนั่นมัน ก็เป็นธรรม เป็นความจริง เป็นสัจธรรมอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นจิตเจ้าของบางทีมันก็ไม่เป็นธรรมะ เราก็ไปเข้า ใจสิ่งที่ผิดนั้นว่ามันถูก (หมายเหตุ 2) แล้วก็ไปชอบเข้า ดังนั้นท่านจึง ให้ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อให้รู้จักธรรมะ ให้รู้ให้เห็นธรรมะอยู่ที่ใจ ความ โง่หรือความฉลาดมันก็อยู่ที่จิตใจของเรา ความมืดความหลงก็อยู่ที่ จิตใจของเรา ความรู้ความสว่างมันก็อยู่ที่จิตใจของเรา เหมือนกันกับ ที่ว่าจานใบหนึ่งที่สกปรก หรือพื้นฐานที่บ้านหรือศาลาเรานี้มัน สกปรก มันถูกน้ำมันหรือความสกปรกอันใดอันหนึ่ง ก็สกปรกอยู่ที่มัน สกปรกนั่นแหละ เมื่อเราอยากจะให้สะอาด เราก็เอาน้ำมาล้างมันเสีย ของสกปรกมันก็หายไป พื้นศาลาพื้นบ้านก็สะอาดขึ้นมา

เราก็จะเห็นได้ว่า สิ่งที่สกปรกนั้นก็คือจิตของเรา ถ้าหากว่า เราทำความถูกต้องดีแล้ว ของที่สะอาดมันก็ยังมีอยู่ เหมือนพื้นศาลา มันสกปรก หรืออะไรต่างๆ ที่มันสกปรกนั้น เมื่อมาเช็ดมาล้างสิ่งที่มันสกปรกออก ความสะอาดมันก็พ้นขึ้นมา อยู่ที่นั้นที่ของสกปรกมันปก ปิดอยู่นั่นเอง ความชั่วและความดีของเราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น ความชั่วอยู่ตรงไหนความดีก็อยู่ตรงนั้น ความผิดอยู่ตรงไหนความถูก ก็อยู่ตรงนั้น ความสกปรกอยู่ที่ไหนความสะอาดก็อยู่ที่นั้น จิตใจเรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น

ธรรมชาติของจิตเราจริงๆ นั้นน่ะ มันเป็นจิตที่สม่ำเสมอ เป็นจิตที่ไม่เศร้าหมอง เป็นจิตที่ผ่องใสขาวสะอาดอยู่อย่างนั้น ที่เศร้า หมองนั้นเพราะมันไปพบกับอารมณ์ พบกับธรรมารมณ์ที่ไม่ชอบของ เรา นั่นแหละก็ทำใจของเราให้ขุ่นมัว ทำใจของเราให้เศร้าหมอง ทำ ใจของเราให้ไม่สะอาด ทำใจของเราให้สกปรก นี่เพราะอะไร? ไม่ใช่จิตของเรามันสกปรก เพราะจิตของเรายังไม่แน่นอน ไม่เชื่อมั่นในธรรมทั้งหลายนั่นเอง เมื่อประสบกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ใจเราก็เศร้าหมอง ได้อารมณ์ที่ชอบใจ ใจเราก็ผ่องใส มันก็เป็นอย่างนั้น

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านจึงให้ ปฏิบัติ ไม่ให้พูดเฉยๆ ให้ปฏิบัติก็คือให้ทำความเป็นจริง เช่นว่า เรา สมาทานศีลอย่างนี้เป็นต้น ก็ว่า ปานาฯ อทินนาฯ กาเมฯ มุสาฯ สุราฯ นี่เรียกว่าศีล แต่เป็นเพียงคำพูดถึงศีล ไม่ใช่ตัวของศีล สภาวะ ของศีลนั้นไม่ใช่ว่าการพูด มันเป็นการกระทำจริงๆ เช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์ อย่างนี้ เราก็ไม่ฆ่าจริงๆ ไม่กินสุราเราก็ไม่กินจริงๆ ไม่พูดโกหกเราก็ ไม่พูดโกหกจริงๆ เราไม่ขโมยของคนอื่นเราก็ไม่ขโมยจริงๆ ไม่ใช่ดีแต่ พูดเฉยๆ ศีลมันอยู่ที่ตรงนั้น อยู่ตรงที่กระทำ ไม่อยู่ตรงที่พูด ที่พูดขึ้น เพื่อชี้ให้เห็นว่า อันนั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อเราตกลงใจว่าเป็นเช่น นั้นแล้ว ก็ลงมือกระทำเลย ลงมือประพฤติลงมือปฏิบัติเลย ก็จะเกิด เป็นผลขึ้นมา อันนั้นท่านเรียกว่าก้อนศีล

ที่เราพูดตามภาษาของเรานี้มันก็ลำบาก ถึงวันพระไปรักษา ศีล ความเป็นจริงนั้น มันเป็นคำพูดที่ต่อกันมาเรื่อยๆ เป็นประเพณี เมื่อเราเพ่งความหมายแล้ว ศีลน่ะเห็นว่าโง่กว่าเราเสียแล้วกระมัง ถึง จะต้องไปรักษามัน ศีลคงจะไม่ดีขนาดเรา เราถึงไปรักษาศีล ถ้าพูด ตามความเป็นจริงแล้ว ศีลน่ะไม่ต้องไปรักษาท่านหรอก ท่านดีแล้ว มารักษาตัวเรานี้เอง รักษากาย วาจา ใจ ของเรานี้ให้ดี ศีลมันก็เกิด ขึ้นมา เราไม่ต้องไปรักษาศีล แต่รักษาตัวของเรานี้ คำพูดอันนี้มันพูด สูงเกินตัวไปเสียแล้วละมังว่า เราไปรักษาศีล

บางคนไม่รู้จักศีลเลยก็มาเข้าวัด ถามไปไหน? ไปรักษาศีล ก็ คิดว่าศีลน่ะมันเป็นของยาก มันเป็นของลำบาก ความเป็นจริงมัน สะท้อนกลับมา และก็มารักษาตัวเรานี้เอง เมื่อรักษาตัวดีไม่มีโทษ ศีล ก็เกิดขึ้นมาที่ตรงนั้น ฉะนั้นศีลนี้ไม่อยู่กับคำพูด แต่อยู่กับการกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนให้ฟังอย่างนี้ ให้ความดี เข้าไปฝังในใจ ถ้าความดีเข้าไปฝังในใจแล้ว ความทุกข์มันก็ถอนออก ไป ห่างออกไป มันเป็นอย่างนั้น

ทีนี้เรามองไม่เห็น สิ่งที่มันเบาที่สุดเราก็เห็นเป็นหนัก สิ่งอะไร มันหนักเราก็ไปเห็นมันเป็นเบา อะไรที่มันผิดเราก็เห็นว่ามันถูก อย่าง อาตมายกตัวอย่างให้ฟังว่า วันหนึ่งนั่งอยู่ในวัดเรานี่แหละ มีโยมคน หนึ่งมาจากอำนาจเจริญ เคยเป็นปราชญ์มา เคยบวชเป็นพระมา ออกมาเป็นฆราวาส ก็เป็นคนทำบุญสุนทานอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง แกก็มาจากอำนาจเจริญ ว่า “มีทุกข์หลาย ทุกข์มาหลายวันแล้ว แก้ อะไรไม่ตก นึกถึงหลวงพ่อองค์เดียวน่ะที่จะให้ผมมีความสว่าง ที่ไหน ผมไม่นึกเห็นแล้ว”

อาตมาก็เลยว่า “ทำไมมันทุกข์?” บอกว่า “มันเรื่องใหญ่ ไม่ ใช่เรื่องเล็กๆ เรื่องใหญ่เหลือเกิน” พูดแล้วน้ำตามันก็ไหลออกด้วย “หยุดบ้างซิโยม พูดให้ฟังซิมันเรื่องอะไรหนักหนา” เขาก็เลยคลาน เข้ามากราบใกล้ๆ กระซิบว่า “หลวงพ่อ เมียผมตาย” หือ บอกว่า เมียผมตาย อ้อ นึกว่ามันใหญ่ อันนี้มันเรื่องเล็ก มันเกิดๆ ตายๆ กันมา ตลอดกาลตลอดเวลา นมนานมาแล้ว เคยเห็นคนเกิดไม่ตายไหม? เกิดมาแล้วมันต้องตาย เรื่องเกิดเรื่องตายไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องธรรมดาของเรา ขนาดนี้มันยังมองไม่เห็น ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่จนจะแก้ไม่ไหวเลย จนกว่าที่ว่าไม่เคยเห็นคนเกิด ไม่เคยเห็นคนแก่ ไม่เคยเห็นคนตาย ความเป็นจริงเกิดตายตั้งกี่ศพมาแล้ว ทำไรเราไม่พิจารณา ทำไมให้เป็นเรื่องใหญ่ จนเดือดร้อนกระวนกระวายกินไม่ได้ นอนไม่หลับ

อาตมาบอก “คิดใหม่ซิ อันนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก พ่อของ โยมอยู่ไหม? ไปไหน? ตายนั่นแหละ ตายแล้ว แม่ละ? แม่ก็ตายแล้ว มันจะเรื่องใหญ่อะไรนะ เราเป็นลูกมันจะไม่ตายหรือ? อันนี้มันเรื่องธรรมดา โยมไปย้อนคิดใหม่ซิว่า ไปคิดเรื่องใหญ่มันก็ใหญ่เท่านั้น แหละ มันเรื่องเล็กๆ เรื่องธรรมดา เรื่องคนเกิดคนตายในโลก มันเป็นอยู่อย่างนั้น”

ดังนั้นเมื่อเกิดมา พระพุทธเจ้าท่านให้รีบทำคุณงามความดี เพราะมันเป็นอย่างนั้น ก็เลยพูดกันไปพูดกันมา มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างๆ ถามว่า “คุณมากับใครล่ะ ไหนว่าแม่บ้านตายแล้ว” (หมายเหตุ 3) “อันนี้แม่บ้านอีกคนหนึ่ง” “อ้าว ทำไมมีหลายคนเหลือ เกินล่ะ มันยังดีนะ สองคน คนหนึ่งตายคนหนึ่งยัง นี่อีกบางคนแม่ บ้านตายคนหนึ่งก็หมด ยิ่งร้ายกว่าโยม เอาละพอแล้ว ตายคนหนึ่งยัง อยู่คนหนึ่ง มันจะเรื่องใหญ่อะไร ให้ไปคิดใหม่” แกก็นั่งฟัง นี่คือความคิดของคนเรา ไม่รู้จัก คือคนไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักตาย (หมายเหตุ 4) ไม่รู้ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย

บางคนจะไปเทศน์ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่สบายใจนะ ยิ่งคนฝรั่งเมืองนอกไปพูดเรื่องแก่ให้ฟัง ลุกหนีเลย เขาไม่อยากแก่ เขาอยากเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น เมื่อคนเฒ่าชะแรแก่ชราอยู่อย่างนี้ ไม่เอา ไม่อยากได้ เพราะฉะนั้นเมืองนอก คนแก่เขาทิ้ง ไม่เหมือนเมืองไทยเรา หนุ่มๆ สาวๆ เขา เกิดมาเขาหนีไปเที่ยวกัน คนแก่เขาทิ้งไปทั้งหมด แก่แล้วทิ้งทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องไปเก็บหรอก

ให้พิจารณาให้เห็น อย่างที่ชลบุรีก็เหมือนกัน เอาคนแก่ไปเก็บไว้เลี้ยง อาตมาเคยเข้าไปดูแล้ว คนแก่เจ็ดสิบปี แปดสิบปีน่ะ อยู่นั่นแหละให้พยาบาลมารักษา อาตมาเข้าไปเทศน์ตรงนั้น นึกๆ ไปก็น่า สลดสังเวช นึกไปนึกมาก็เหมือนกับเปลือกแตงโม เขาเอาไปทิ้ง ทานแล้วมันเหลือแต่เปลือก เขาก็เอาทิ้งลงคลองไป ที่เลี้ยงคนแก่ที่ชลบุรีก็เหมือนกัน เข้าไปที่นั่นเหมือนเปลือกแตงโม มีแต่คนแก่ๆ ทั้งนั้น คนหนุ่มๆ เขาไม่ค่อยเข้าไปหาหรอก มีแต่ไปเข้าโรงหนัง เข้าลิเก ละคร รำวง เล่นตามสบาย คนแก่ก็ลำบากไปเถิด แก่ไปเถอะ ไม่มองถึงนะ เพราะฉะนั้นเมืองนอกก็เป็นอย่างนั้น คนแก่เขาเอาไปทิ้ง คนหนุ่มๆ เจริญไปอีกหน่อย พอแก่เข้าก็เอาไปทิ้งเหมือนกัน อาตมาพูด ให้ชาวฝรั่ง อันนี้คือกรรม แต่ก่อนเราทิ้งคนแก่ พอเราแก่ คนหนุ่มเขาก็ทิ้งเราเหมือนกัน เป็นอยู่อย่างนี้ถ่ายทอดอยู่ตลอดเวลา อันนี้แหละความอบอุ่นของเมืองนั้นน่ะ ไม่เหมือนเมืองไทยเรา

เมืองไทยเรานั้นเทศน์ธรรมะให้ฟัง ให้เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ว่ามันเป็นธรรมะอันเป็นที่น่าสลดสังเวช เมื่อเราจะทำอะไรก็ต้องพิจารณา เมื่อเราหนุ่ม เราก็ทวนถึงคนแก่ เมื่อเห็นคนแก่เราก็ทวนไปถึงคนหนุ่ม มันเกาะกันเป็นลูกโซ่อย่างนี้ ฉะนั้นพระพุทธองค์สอนว่า ให้มีเมตตา ให้มีอุปการะคุณแก่บุคคลผู้มีคุณ ทางนอกเขาไม่สอนอย่างนี้ เขาสอนว่าคนแก่ก็แก่ไป คนหนุ่มก็หนุ่มไป มันเรื่องของใครของมันทั้งนั้นแหละ มันเป็นเสียอย่างนี้ เมื่อพูดไปตามความเป็นจริงแล้ว หลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราน่ะ เลี้ยงลูกมาก็รัก เมื่อรักก็อยากจะให้รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ ถ้าเลี้ยงมาไม่มีบุญคุณ ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงมาทำไม

อันนี้เมื่อพูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แก่ขนาดไหนคนเมืองไทยก็ไม่ทิ้งกัน อันนี้เป็นความอบอุ่นในเมืองไทย ฉะนั้นพวกเรานี่ก็เหมือนกันฉันนั้น เราจะต้องพิจารณาธรรมะ พิจารณาให้เห็นว่าสังขารมันต้องเปลี่ยนไปๆ เรื่อยๆ ไอ้ความเปลี่ยนไปนั้นนะ มันเกิดมา แล้วเป็นเด็ก แล้วก็เป็นหนุ่ม แล้วก็เป็นแก่เฒ่าชะแรแก่ชรา แต่ว่าจิตใจของคนเราน่ะ มันไม่อยากจะให้มัน เปลี่ยนไปอย่างนั้น หนุ่มแล้วไม่อยากให้แก่ แก่แล้วไม่อยากให้ตาย ให้อยู่อย่างนี้ๆ นี่คือความเห็นผิด อันนี้มันอยู่ไม่ได้หรอก มันเรื่อง อนิจจัง เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงตามธรรมดาของมัน ถ้าไม่มีการ เปลี่ยนแปลงเราจะอยู่ในโลกไม่ได้นะ

เหมือนผลไม้เมื่อมันแก่ จากดิบมันก็ห่าม ไอ้ความเปรี้ยวมันก็หายไป เมื่อมันสุกมันก็เปลี่ยนเป็นหวาน ถ้าเราไม่อยากให้มันเปลี่ยนจะเกิดประโยชน์อะไร เปรี้ยวก็ให้มันเปรี้ยวอยู่อย่างนั้น ดีไม่ดี จะไม่ได้กินมะม่วงสุกเสียด้วยนะ เพราะไม่อยากให้มันเปลี่ยน ความเปลี่ยนแปลงน่ะมันดีแล้ว อย่างลมหายใจเข้าไปแล้วก็ออก ออกไปแล้วก็เข้า เราอยู่มาตลอดทุกวันนี้ ก็เพราะอาการมันเป็นอย่างนี้ เพราะอนิจจังมันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงจะอยู่ได้ไหม? หายใจเข้าไปแล้ว อึดใจไว้ไม่ให้ออก จะอยู่ได้ไหม? ออกแล้วไม่เข้า มันก็ตายเท่านั้นแหละ เข้าแล้วไม่ออกมันก็ตาย มันอาศัยการเปลี่ยนแปลง เราอยู่ได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ฉะนั้นเราควรนึกถึงธรรมะ เมื่อเรามีชีวิตอยู่เราควรมองดู ข้างๆ ว่า อันนี้พ่อแม่ของเรา อันนี้พี่น้องของเรา อันนี้ลูกหลานของเรา อันนี้ตัวของเรา มันก็พร้อมกันไปอย่างนี้ ตลอดกาลตลอดเวลา เพราะธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราจึงฟังธรรมะแล้วมาทำความเข้าใจกัน ให้รู้จักตามความเป็นจริง ยอมรับว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น มาวันนี้ก็ต้องยอมรับว่า วันต่อไปมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันจะเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้นทุกเวลา

เมื่อเราเข้าใจธรรมะเช่นนี้ ความเป็นอยู่ก็ดี ความพลัดพราก จากกันก็ดี ก็เป็นธรรมดา เห็นไหมที่เราสวดมนต์กันอยู่ทุกวันนี้ที่ว่า ... (หมายเหตุ 5) ให้พิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆ เถิด พิจารณากันหรือเปล่าก็ไม่รู้? เมื่อสวดแล้วก็ให้พิจารณากันทุกๆ วัน ถ้าหากว่ามันเปลี่ยนแปลง เราก็ไม่ควรเสียอกเสียใจ ไม่ควรทำใจให้มันเป็นทุกข์ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้น สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ให้ความเห็นเราเป็นอย่างนี้ เมื่อเราได้ฟังธรรมะบ่อยๆ นะ ความบรรเทาทุกข์อันนี้มันก็จะพ้นขึ้นมา มันก็จะไม่ทุกข์ มันบรรเทาไปๆ มันน้อยไปๆ จนกว่าที่มัน จะหมดทุกข์ เพราะเห็นความเป็นจริงอย่างนั้นของธรรมะ ได้แค่นี้ก็เรียกว่าเรามีหลักที่สำคัญอยู่แล้ว การภาวนาของเรา การเป็นอยู่ของเรา ก็จะมีที่พึ่งที่พำนัก ที่พึ่งอื่นไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ที่พึ่งอื่นไม่เหมือนพระธรรม ที่พึ่งอื่นไม่เหมือนพระสงฆ์ (พุทโธเม สะระนัง วะรัง ธัมโมเม สะระนัง วะรัง สังโฆเม สะระนัง วะรัง) เพราะความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น เมื่อเราคิดเช่นนี้ ความทุกข์มันก็ค่อยๆ บรรเทาหายไปๆ น้อยไปๆ

ตกลงอยู่ที่ว่าเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา คนเกิดมาก็เป็นธรรมดา ที่มันเกิดมาแล้วมีความเป็นอยู่ก็เป็นธรรมดา ธรรมดามันเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้มันก็จะค่อยๆ บรรเทาทุกข์ออกไป ความอยู่เย็นเป็นสุข ความสงบระงับ มันก็ตั้งขึ้นมาที่ใจของเรานั่นเอง อันนี้เป็นโอวาทคำสอนของพระพุทธองค์ของเรา ฉะนั้นจงพากันตั้ง อกตั้งใจให้เข้าใจธรรมะ ให้พิจารณาอย่างนั้น

หมายเหตุจากผู้จัดทำ (คุณเจริญชัย เจริญทั้งเมือง)

เรื่องนี้ผมใช้หนังสือ ที่พึ่งอันสูงสุด ซึ่งจัดพิมพ์โดย สำนัก พิมพ์ ธรรมสภา มาเป็นต้นฉบับ พิมพ์เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมได้ปรับปรุงตำแหน่งการเว้นวรรคและย่อหน้าให้เหมาะสม แต่ยังได้คงข้อความเดิมไว้ทั้งหมด ยกเว้นมีการแก้ไขข้อความที่คาด ว่าต้นฉบับเดิมจะพิมพ์ผิด โดยได้ใส่วงเล็บกำกับไว้ ณ จุดที่แก้ไขแล้ว ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้

จุด 1 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “อย่าดึงธรรมะเข้ามาสู่จิต ของเรา เราต้องดึงจิตของเราเข้าไปสู่ธรรมะ” แก้เป็น “อย่าน้อม ธรรมะเข้ามาสู่จิตของเรา เราต้องน้อมจิตของเราเข้าไปสู่ธรรมะ”

จุด 2 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “บางทีมันก็เป็นธรรมะ เราก็ไปเข้าใจสิ่งที่ผิดนั้นว่ามันถูก” น่าจะตกคำว่าไม่ จึงแก้เป็น “บางทีมันก็ไม่เป็นธรรมะ เราก็ไปเข้าใจสิ่งที่ผิดนั้นว่ามันถูก”

จุด 3 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ถามว่า โยมมากับใคร” แก้เป็น “มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ข้างๆ ถามว่า คุณมากับใคร”

จุด 4 ต้นฉบับเดิมเป็นข้อความว่า “ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักกาย” แก้เป็น “ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักตาย”

จุด 5 รู้สึกเหมือนว่า ข้อความในต้นฉบับเดิมจะขาดหายไป แต่ไม่รู้ว่าจะแก้ไขได้อย่างไร จึงแค่ลงหมายเหตุไว้เฉยๆ