#echo banner="" ประวัติ หลวงปู่โง่น โสรโย

หลวงพ่อโง่น โสรโย

วัดพระพุทธบาทเขารวก

อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร

โดย ทองทิว สุวรรณทัต

จาก หนังสือโลกลี้ลับ ฉบับที่ ๔๘ ปีที่ ๕ ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๓๑

ซุ้มประตูวัดพระพุทธบาทเขารวก

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้รับโน้ตสั้น ๆ จาก คุณวิสุทธิ์ จันทร์ศิริวัฒนา ที่ฝากคุณสมศักดิ์ ไว้อีกต่อหนึ่ง มีใจความแต่เพียงว่า

อาจารย์ฐิติประไพ ศรหิรัญ

โทร.258-6029

พระอาจารย์โง่น - พิจิตร

คุณสมศักดิ์อธิบายประกอบว่า ท่านอาจารย์ฐิติประไพ ได้แนะนำให้ทางเราไปสัมภาษณ์ หลวงพ่อโง่น โสรโย ที่อยู่ ณ จังหวัดพิจิตร ดูบ้าง เพราะทราบมาว่าปฏิปทาของท่านน่าเคารพบูชา

คุณสมศักดิ์จึงเก็บโน้ตนี้ไว้ให้ แก่ผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนรับเอาไว้ แล้ว ลืมไปชั่วระยะเวลาหนึ่งด้วยติดเรื่องวุ่นวายในการย้ายที่อยู่อาศัย

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เขียนจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ได้รีบโทรศัพท์ไปเรียนถามท่านอาจารย์ฐิติประไพ ตามหมายเลขที่ท่านให้ไว้.

ได้รับคำบอกเล่าจากท่านว่า หลวงพ่อโง่นองค์นี้ สร้างพระพุทธรูปแจกตามโรงเรียนต่าง ๆ โดยมิได้คิดมูลค่า ไปทั่วราชอาณาจักร ทั้งมีปฏิปทาน่าเลื่อมใสหลายอย่าง จึงอยากจะให้ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ โดยท่านจะติดต่อหาพาหนะพาผู้เขียนกับช่างภาพเดินทางไปยังวัดพระพุทธบาทเขารวก ที่หลวงพ่อโง่นจำวัดอยู่

แต่ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาปฏิปทาของหลวงพ่อโง่นเสียก่อน ท่านจะส่งหนังสืองานศพ คุณทองเพิ่ม กาฬดิษย์ ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “คุณแป๊ะ” มาให้ผู้เขียนอ่านเสียก่อน

เพราะในหนังสือดังกล่าว มีบทความที่หลวงพ่อโง่นพูดอัดเทปไว้ และได้ถอดมาพิมพ์เป็นที่ระลึกถึง คุณทองเพิ่มอยู่ด้วย

ผู้เขียนได้กล่าวขอบคุณท่านอาจารย์ฐิติประไพ และเพียง 2 วันต่อมา ผู้เขียนก็ได้รับหนังสืองานศพของคุณทองเพิ่ม กาฬดิษย์ โดยทางไปรษณีย์ภัณฑ์ที่ท่านกรุณาส่งมาให้

จากหนังสือดังกล่าวทำให้ผู้เขียนทราบว่า คุณทองเพิ่ม กาฬดิษย์ หรือ “คุณแป๊ะ" เป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับหลวงพ่อโง่น โสรโย มาตั้งแต่ครั้งบิดาของคุณทองเพิ่ม (คุณหลวงสรอรรถอำนวย) ยังมีชีวิตอยู่ และได้ฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อโง่นมานานแล้ว

ครั้นได้อ่านบทความของหลวงพ่อโง่นที่กล่าวถึงคุณทองเพิ่มประกอบด้วยธรรมะที่น่าเลื่อมใส (ดังผู้เขียนจะนำมาถ่ายทอด ณ โอกาสต่อไปนี้) ผู้เขียนจึงตกลงใจที่จะเดินทางไปนมัสการท่าน ณ วัดพระพุทธบาทเขารวก ในเวลาต่อมา

แต่ก่อนที่ท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้ทราบถึงประวัติชีวิตของหลวงพ่อโง่น โสรโย ขอเชิญอ่านบทความของท่านเสียก่อน ดังนี้

ศิษย์รักที่ถึงแก่กรรม

“คุณทองเพิ่ม (แป๊ะ) กาฬดิษย์” ได้มีความสนิทสนมรักใคร่คุ้นเคยกับข้าพเจ้านานที่สุด ตั้งแต่คุณหลวงสรอรรถอำนวย (ผู้เป็นบิดาของคุณแป๊ะ) ซึ่งท่านเป็นหัวหน้าศาลอยู่จังหวัดพิจิตร ระหว่างปี พ.ศ.2490 โน่น

ตอนนั้นเขายังเป็นเด็ก ต้องเรียน หนังสืออยู่กรุงเทพฯ นาน ๆ จะเจอกัน ส่วนคุณหลวงที่เป็นพ่อนั้นท่านรักคุ้นเคยกับข้าพเจ้ามาก ยังเคยออกปากฝากไว้ว่า

“เวลาผมตาย ก็ขอให้สิ้นลมหายใจ ต่อหน้าหลวงพ่อ ”

และก็เป็นอย่างที่ท่านขอร้องไว้จริง ๆ ท่านสิ้นใจไปเพราะโรคชรา ในขณะที่แขนขวาของท่านพาดไว้บนตักของข้าพเจ้า ท่านสิ้นใจไปอย่างสงบ

ต่อมาก็คุณทองเพิ่มอีก บอกว่า “ขอฝากชีวิตไว้กับหลวงพ่อ”

ดังนั้นตั้งแต่คุณทองเพิ่มมาบวชอยู่ด้วย เมื่อปี พ.ศ.2500 เป็นเวลา 1 พรรษา พอสึกออกมาก็ไปทำงานต่อ คือทำงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด

รู้สึกว่า เขาทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจให้กับธนาคารมากที่สุด เขาไปไหนมาไหน จะปรึกษาหารือเรื่องแบงก์ให้ฟังเสมอ และก็หาลูกค้าไปในตัวด้วย

ตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เขาจะไปมาหาสู่ทุก ๆ เดือน ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ในที่ใด ในป่าลึก ในถ้ำ เขาจะดั้นด้นไปหาจนพบให้ได้

ตอนหลังมานี้เป็นระยะที่ข้าพเจ้าสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 19 นิ้ว และ 29 นิ้ว แจกฟรีแก่โรงเรียนเกือบจะทั่วประเทศร่วม ๆ สองหมื่นกว่าองค์

เขาจะต้องปลีกตัวไปช่วยงานแทบทุก 15 วัน หรือบางทีทุกอาทิตย์ เพื่อติดตามไปแจกพระพุทธรูปไปเป็นร้อย ๆ พัน ๆ กว่าองค์ ใส่รถเทรลเล่อร์ไปส่งถึงที่ เขาดีใจที่ได้ทำบุญทำกุศล เขากับข้าพเจ้ารักกันเสมือนพ่อกับลูก

ลางร้าย

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2530 ลางร้ายก็เกิดขึ้น

คุณทองเพิ่มกับพวก 3-4 คน ขึ้น ไปหาที่วัดอีก ซึ่งมีท่านมหาวิจิตร วัดภาวนาภิรตารามเป็นหัวหน้า เพราะทุกเสาร์-อาทิตย์จะต้องมีงานเกี่ยวกับการส่งแจกพระพุทธรูป ท่านเหล่านั้นต่างก็เป็นคณะกรรมการร่วมริเริ่ม กระบวนการสร้างพระพุทธรูปแจกฟรีนี้ตลอดมา

อันการมาคราวนี้ของคุณทองเพิ่ม เขามาแปลกกว่าครั้งก่อน ๆ เท่ากับเป็นลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง

เห็นเขาสะพายกระเป๋าเดินทาง และมีของหลายอย่างพะรุงพะรัง เขามานั่งกราบ แล้วบอกว่า ได้กระปุกของธนาคารกรุงเทพ จำกัด มา 4 อัน และกระเป๋าอีก 2-3 ใบ

เขาบอกว่า กระปุกหนึ่งไว้ใส่กระดูก ไอ้ตึ๋ง ซึ่งเป็นสุนัขที่เขารักมันมาก มันตายไปเพราะความแก่ชราของมัน คืออายุมันยืนยาวถึง 10 ปี กับอีก 10 เดือน และก็อีก 3 อัน เก็บไว้สำหรับใส่กระดูกของเขาเอง เพราะเขาบอกว่า เขาโตกว่าหมา กระดูกมากกว่า

ข้าพเจ้าเองก็เอ่ยทัดทานไว้ว่า คุณแป๊ะพูดเล่นไปได้ มันเป็นลางไม่ดีนะ คนเราจะดีจะร้าย จะตายจะเป็น มันอยู่ที่กาย วาจา ใจ ของเราเอง คุณอย่าพูด อย่าคิด ในเรื่องร้ายเรื่องไม่ดี

โบราณท่านว่า จะมีกรรมจะอยู่ที่ปาก เป็นลางร้ายไม่ดี

เขาบอกว่า ถึงวันของใครของมันก็ไปเอง การที่เรามาเกิด และเกิด ๆ ตาย ๆ นี้ ก็เหมือนมาท่องเที่ยวเท่านั้นเอง หลวงพ่อ

ถึงวันก็ต้องกลับไป อยู่ไม่ได้ เพราะว่าโลกของพวกเรา เป็นโลกที่มีความสุขและสงบ ไม่ต้องวุ่นวายเหมือนโลกมนุษย์นี้

พูดเสร็จเขาก็ไปอาบน้ำ แต่งตัวชุดขาวของเขาตามปกติ แล้วมารวมกลุ่มกันทำวัตรสวดมนต์เย็น

และคืนวันนั้นเขาพยายามสวดให้ดัง ฟังชัดมาก และอยู่ใกล้ ๆ กับเทปที่เขาอัดไว้ พอไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ต่างคนต่างก็ไปหาที่พักตามอัธยาศัย ส่วนคุณทองเพิ่มเขายังอยู่กับข้าพเจ้า

เลี้ยงหมาเป็นครู

ในคืนวันนั้นเอง เราอยู่ด้วยกันที่ศาลากลางแจ้งทิพยอาสน์นั้น ตอน ดึก ๆ ของคืนวันนั้น เขารู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ กว่าทุกครั้งที่เขามา

คือบรรดาสุนัขทั้งหลายที่เลี้ยงไว้ทั้งหมด ทั้งตัวใหญ่ตัวเล็ก มันพร้อมกันมานอนห้อมล้อมคุณทองเพิ่มไว้หมด ซึ่งแต่ละตัวมันหันหน้าเข้าหาคุณทองเพิ่ม ดู ๆ แล้วคล้ายกับว่า มันทำหน้าตาเศร้าสร้อยหงอยเหงา จ้องมองคุณทองเพิ่มเป็นตาเดียว

ตัวเขาเองจึงพูดขึ้นว่า

“หลวงพ่อ วันนี้เจ้าพวกนี้มันมารักผมเหลือเกิน ดูซิ มันห้อมล้อมผมไว้ทุก ๆ ด้านเลย เพราะผมได้กระป๋อง ปลาหมึกมาฝากมันกินกันทุกตัวเลย มันรักผมใหญ่” เสร็จแล้วเขาก็หัวเราะ

ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า “คุณแป๊ะรู้ หรือเปล่าว่าหลวงพ่อเลี้ยงหมาไว้ทำไม”

เขาก็ตอบว่า “เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน และเลี้ยงไว้เพราะความรัก ความสงสาร แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ผมเคยเห็นหลวงพ่อเลี้ยงหมาไว้ตลอด ตัวตายตัวแทนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ก็มีรุ่นใหม่ รุ่นเล็กมาอีกแล้ว ไว้ทดแทนกันนะ หลวงพ่อ ”

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “จริง เพราะหมามันอายุสั้นกว่าเรา เรารักมันเหมือนลูก หมาตายตัวก็เหมือนลูกตายไปคน และในเดือนนี้ก็ตายไป 2 ตัว แก่ ๆ ทั้งนั้น”

และเพื่อฝึกหัดให้ดวงจิตของเรา ได้ชื่นชมกับการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเอาไว้บ่อย ๆ เพราะหมามันตายให้เราเห็นทุก ๆ ปี เราเจอกับการจำจากพลัดพรากบ่อย ๆ มันก็ชินไปเอง ปลงตกได้

นึกถึงหลักอนิจจัง คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนไว้ก่อน มันก็ไม่ทุกข์ร้อนวุ่นวาย เพราะมันเคยประสบมาบ่อย ๆ จิตใจของคนเรามันก็เหมือนกับเหล็ก ยิ่งได้ผ่านไฟผ่านซ้ำบ่อย ๆ ก็เป็นเหล็กเหนียวและแข็ง ใช้งานได้ดี

ดังนั้นวันนี้หลวงพ่อจะเอาเรื่องหมา มาสอนคุณในทางธรรมะบ้าง บรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งหมด ก็มีหมานี้เองที่อยู่ใกล้ชิดกับคนมากที่สุด หมาจึงเท่ากับเป็นลูกศิษย์ และขี้ข้า ที่มีความกตัญญูที่สุด เป็นมิตรสหายที่มีความใกล้ชิด และซื่อสัตย์ที่สุด เป็นผู้ให้ความมั่นใจในยามสงสัย และเป็นผู้ให้ความอบอุ่น ในเวลาที่เราอยู่คนเดียว เหล่านี้คือคุณของมัน

แต่นี่มันเป็นเรื่องภายนอก คือ นอกกายเรา แต่ถ้าพูดถึงด้านธรรมะแล้ว หลวงพ่อเลี้ยงหมาไว้เป็นครูอาจารย์ เลี้ยงไว้เป็นทิฏฐานุคติ คือเป็นตัวอย่าง

คุณแป๊ะเอ๋ย หลวงพ่อถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่รายรอบตัวเรานี้ คือ ครูอาจารย์ของเรา ธรรมะคือธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นมานั้น มันตะโกน บ่งบอกถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของของตัวตลอดเวลา ขอให้คุณแป๊ะดูตัวอย่างของหมา และเอาหมาเป็นครูอาจารย์บ้าง

คือวันหนึ่ง ๆ เราพยายามทำใจของเราให้โง่ ๆ เซ่อ ๆ ไม่กระเสือกกระสนดิ้นรนวุ่นวาย ทำใจให้สบาย ๆ สงบ ๆ เหมือนหมา กินอิ่มแล้วก็นอนเฉย ๆ อย่างเจ้าพวกนี้นี่แหละ เราจะพบความสงบของจิต

พอความสงบเกิดขึ้น มันก็วาง พอวางแล้ว มันก็ว่าง พอจิตว่างแล้ว มันก็ไม่วุ่นวายไม่ขุ่นมัว พอจิตไม่วุ่นวาย ไม่ขุ่นมัวมันก็ไม่มีทุกข์

อันความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอยู่ที่จิตใจของเรา อันตัวจิตใจนี้

มันก็เป็นธาตุอันหนึ่ง คือ ธาตุยุ่ง ยิ่งยุ่งก็ยิ่งทุกข์ หลวงพ่อเองจึงเอาตัวอย่างมาจากหมา มาสอนใจตัวเอง

คือวัน ๆ ทำใจให้โง่ ๆ เซ่อ ๆ ซ่า ๆ วางมันไว้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่เฉพาะ วันนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ เท่านั้น ปิดประตูอดีตที่ผ่านมาเอาไว้ ถือว่าผ่านไปแล้ว ก็แล้วไป เหมือนกระแสน้ำที่ผ่านไปแล้วก็ไปเลย ไม่มีเวลากลับมา ให้ถือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตนี้เป็น ความฝันระยะยาว

แต่ความฝันที่คุณแป๊ะเล่าให้ฉันฟังว่า คุณพ่อและสมเด็จพระอุปัชฌาย์ มาขอรับไปนั้น เป็นชีวิตจริงระยะสั้น แล้วก็ปิดประตูอนาคตข้างหน้าเอาไว้ ถือว่าเป็นเพียงอารมณ์ ไม่มีอะไรที่จะเที่ยงแท้แน่นอนและจีรังยั่งยืน ให้เรายืนหยัดอยู่กับความรู้ คือความรู้ตัวเห็นตัว

(ตาที่เรามองเห็นอะไรได้ทั่ว แต่ ถ้าไม่เห็นตัวเองก็โง่)

ได้มาเพราะความโง่

คุณแป๊ะเองก็คงเคยได้ยินได้ฟัง ซึ่งหลายคนเขามาถามหลวงพ่อว่า ท่านเอาเงินเอาทองมาจากไหน มาสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ส่งแจกไปให้โรงเรียนฟรีได้ถึงสองหมื่นองค์ ต้องใช้เงินมหาศาลเป็นร้อย ๆ ล้านบาทขึ้นไป และก็ไม่มีการเรี่ยไรบอกบุญจากใครทั้งนั้น

นอกจากนี้ยังสร้างโรงพยาบาล จัดหาเครื่องมือแพทย์จากอเมริกาและ ยุโรปมาอีกหลายล้านบาท

หลวงพ่อก็บอกว่า ได้มาจากความโง่ ความเซ่อ ความว่าง เพราะ ฉันชื่อ “โง่น” ที่ ตัดตัว น.หนู ออกไป ก็เหลือแต่ “โง่” อย่างเดียว และก็ความเซ่อ ความว่างเข้าอีก พอคนถามเขาได้ยินเข้าเขาก็งง เพราะเขาไม่รู้จริงว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว

เราได้นำพระพุทธรูปที่เราได้สร้างขึ้นมาด้วยความโง่ ความเซ่อ นำไปแจกทั่วประเทศ ภาคเหนือถึงแม่ฮ่องสอน ภาคใต้ถึงภูเก็ต สตูล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ถึงหนองคาย อุบลราชธานี ศรีสะเกษ อุดรธานี สกลนคร ขอนแก่น นครราชสีมา ฯลฯ ไปทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย และคุณก็ไปแจกด้วยแทบทุกครั้ง

ครั้งแรกประเดิมก่อนก็มีพุทธมณฑล จำนวน 1,250 องค์ ซึ่งใช้รถเทรลเล่อร์ถึง 25 คัน เป็นขบวนยาวเหยียด คนเขาเห็นแล้วตื่นตาตื่นใจ

ครั้งนั้นแจกให้ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคอื่น ๆ บางจังหวัด

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็เสด็จมารับแทนโรงเรียนทุกโรง พอท่านรับเสร็จแล้ว เราก็ให้รถเทรลเล่อร์นั้นวิ่งไปส่งตามจุดต่าง ๆ ทั้งหมด คุณก็รู้ดี

ดังนั้นแหละ คุณแป๊ะเอ๋ย ขอให้เข้าใจและเอาหมาเป็นตัวอย่างบ้าง ฉันถือว่าคุณเป็นเสมือนลูกชายที่แสนรัก เพราะคุณหลวงก็ได้ฝากเอาไว้ และคุณเองก็รักเคารพฉันเหมือนพ่อ

อันพ่อกับลูกจะสอนกันแบบไหน วิธีการอย่างไร ก็พร้อมที่จะให้อภัยกัน ถ้าเป็นคนอื่น ฉันจะไม่สอนแบบนี้ เพราะดีไม่ดีโดนด่าเอา

พอพูดเสร็จ คุณแป๊ะก็หัวเราะว่า ดีมาก...เป็นคติที่ดี เพราะวันนี้หมามาอยู่เป็นเพื่อนอีกหลายตัว จึงได้ธรรมะจากมัน

ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า คุณแป๊ะเอ๋ย วิถีชีวิตของตัวเอง รู้ตัวเองนี้แหละ เป็นบทเรียนที่ดีที่สุด

อันการเรียนจากหนังสือ หรือ จากครูอาจารย์ทั้งชั้นประถม มัธยม และอุดมศึกษา เป็นการเรียนเทียบที่คนอื่นผู้อื่น เขากะเกณฑ์บทเรียนให้ และกำหนดระยะเวลาให้ แต่บทเรียนที่แท้จริงนั้น เราต้องเรียนจากประสบการณ์ของชีวิตจริงของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรานี้ แม้แต่สุนัขก็เป็นครูอาจารย์ของเราดังกล่าวแล้ว

วันนี้ดึกแล้ว เวลาสองยามพอดี ก็ต่างคนต่างนั่งหรือนอนตามถนัด ใน โสสานิกังคธุดงค์ คือนั่งนอนในที่แจ้งเป็นวัตร อยู่ในศาลาทิพยอาสน์ริมน้ำ จนรุ่งแจ้งพอดี

ปริศนาจากความฝัน

พอตื่นขึ้นวันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม เขารับประทานอาหาร แล้วก็เดินมาหาข้าพเจ้า แล้วตั้งปัญหาถามขึ้นว่า

“หลวงพ่อความฝันนี้มันเชื่อได้ไหม ?”

ข้าพเจ้าก็ถามว่า “ทำไม ? ฝันอะไร เขาก็บอกว่า “ฝันดี...ฝันเห็น คุณพ่อและสมเด็จพระอุปัชฌาย์ ซึ่งมาด้วยกัน และชวนไปอยู่ด้วย

ตอนอยู่ที่บ้านก็ฝันเห็นคุณพ่อติด ๆ กันหลายวัน ดังนั้นต่อไปนี้ต้องไปหาที่ทำบุญอุทิศให้ท่านหน่อย”

ข้าพเจ้าก็บอกว่า “ไม่ต้องอุทิศให้ท่านหรอก เพราะท่านอาจจะเป็นทวยเทพหรือพรหมไปแล้ว พวกนั้นไม่ต้องการจะรับอะไรจากใครทั้งนั้น ผู้ที่จะคอยรับผลทานของญาติ ก็มีเปรต พวกหนึ่ง ชื่อ ปรทัตตตูปชีวีเปรต เท่านั้น

เราทำให้เรานี้แหละถึงท่านเอง เพราะตัวคุณพ่อคุณแม่ก็อยู่กับตัวเรา ท่านแต่งให้เรามา

คุณแป๊ะ อันความฝันนี้คืออารมณ์ของจิตที่ธรรมชาติสร้างมา เพื่อบูรณะ ความต้องการของคน ถ้าไม่มีการฝัน การนอนฝัน คนเราจะอายุรู้นกว่านี้ เพราะความฝันเป็นสิ่ง เป็นอารมณ์ที่ จะบูรณะความต้องการของจิต จึงขอบอกเป็นคติภาษิตว่า

“นานเหลือเกิน เดินทาง กลางความทุกข์

ทั้งล้มลุก คลุกคลาน ซมซานขวัญ

ใจรอนรอน อ่อนล้า มานิรันดร์

เหลือแต่ฝัน พอแฝง เลี้ยงแรงใจ

นานเหลือเกิน เดินทาง ทุกข์อย่างนี้

ยังมีที่ ที่หวัง ว่ายังไหว

อันหนทาง ก็ไม่ใกล้ และไม่ไกล

แต่ทำไม ความฝัน มันยืดยาว”

อันเหตุที่จะให้นอนฝันมันมีอยู่ หลายประการ

ประการแรก คือ จิตไปคิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมา เพราะจิตมันไม่สงบ

ข้อที่สอง ดวงจิตมันคิดไปถึง อนาคต ก็เป็นอารมณ์อีก ไม่มีอะไร จะแน่นอน

ข้อสาม เพราะธาตุในร่างกายกำเริบทำให้ฝัน

ทั้ง 3 อย่างนี้ เชื่อไม่ได้ทั้งนั้น แต่ ข้อที่สี่ คือ เทวดาบันดาล อันนี้ เชื่อได้ อันการฝัน ถ้าฝันร้ายกลายเป็นดี แต่ถ้าฝันดีมันจะกลายเป็นร้าย ความฝันนี้มันกลับตาลปัตรเสมอ คือ ร้ายเป็นดี และดีเป็นร้าย

แล้วเขาก็สาธยายไปว่า คุณพ่อ กับพระอุปัชฌาย์มารับกลับไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน มันเป็นอีกมิติหนึ่ง ซึ่งสถานที่แห่งนั้น มันเหมือนคุ้นหูคุ้นตา เหมือนกับเคยได้ไปอยู่มาแล้ว แต่มันสบาย เย็นสงบ

ผู้คนพลุกพล่าน มีแต่คนสวย ๆ งาม ๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส ใส่เครื่องประดับประดา เพชรนิลจินดาค่ามหาศาลทั้งนั้น มีกลิ่นอันหอมหวนชวนให้อยู่ และคุณพ่อคุณแม่ก็อยู่ครบ มีคฤหาสน์อันใหญ่โตโอ่โถงมีให้ทุก ๆ อย่างที่ต้องการ

แล้วคุณพ่อก็พาเข้าไปดูอีกมุมหนึ่ง คือ มองลงมาดูความเป็นอยู่ของมนุษยชาติว่าเป็นอย่างไร ดู ๆ แล้ว ไปผิดอะไรกับตัวหนอน ที่กำลังยื้อแย่ง กินอาหารกินอาจมเน่า ๆ เหม็น ๆ เห็นแล้วน่าขยะแขยงจริง ๆ หลวงพ่อ !

อันสิ่งที่คนอื่นเขาทิ้งไว้ เขาตายไปแล้ว พวกที่ยังอยู่ก็แต่งกัน กินอัน พวกเรานี้ มันก็บ้านะหลวงพ่อ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม

ข้าพเจ้าก็รีบตอบว่า การเกิดมา เรามาหาทางพ้นทุกข์ มาหากำไรชีวิต คือหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ได้แก่ มรรคมีองค์ 8

ตั้งแต่ สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ จนถึง สัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบ ประกอบการงานให้เป็นประโยชน์แก่สังคม ละมันให้หมด อย่ายึดถือมั่นอะไร ทำใจให้โง่ ๆ เซ่อ ๆ เหมือนสุนัข ดังที่หลวงพ่อบอกเมื่อคืนนี้แหละดี มันจะถึงความสงบเอง

เกิดมาเพื่ออะไร

หลวงพ่อขอย้อนไปตอบข้อสงสัย และคำถามของคุณที่ว่า

“คนเราก็บ้า อยู่ในโลกอันเป็นทิพย์ดี ๆ หนีมาเกิดโลกมนุษย์ เป็นมนุษย์มันแสนจะสับสนวุ่นวาย ไม่รู้จักจบจักสิ้น ตั้งแต่เกิดจนตาย”

หลวงพ่อขอบอกว่า เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมีต่อ มาก่อกุศลบารมี เพื่อหนีทุกข์

รวมความว่า เราเกิดมาเพื่อมาหาหนทางพ้นทุกข์ มิใช่สะสมทุกข์

ถ้าเราอ่านดูพระไตรปิฎกตอน ทศชาติ คือ ตอนสิบชาติของพระพุทธองค์แล้ว ท่านมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ทั้งนั้น

ชาติที่สิบที่ท่านเกิดมาเป็นพระเวสสันดร ท่านสร้างบารมีทุกอย่าง เอาชีวิตเป็นเดิมพันในอันที่จะเสียสละ เพื่อสังคม หวังเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะรื้อขนเวไนยชนให้พ้นจากโอฆ สงสาร ก็สมความปณิธานของพระองค์ ท่านได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจริง ๆ

เมื่อเรานึกถึงวัฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ก็นึกถึงการท่องเที่ยวทัศนาจรของวิญญาณและสัตว์โลก

ดูแต่นางวิสาขามหาอุบาสิกา เดิมท่านเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี คือชั้นที่จะต้องเนรมิตเอา ไม่ต้องทำ เพราะมันเป็นโลกทิพย์

เมื่อท่านกับพวกเหล่าเทพธิดา พากันไปเด็ดมาลาดอกไม้อันหอมหวน ในขณะนั้นท่านพลัดหลงพวกไปประเดี๋ยวเดียว มาอุบัติเกิดในเมืองมนุษย์ เป็นบุตรสาวของเศรษฐีผู้มีอันจะกิน ได้แต่งงานมีบุตรชาย-หญิงถึง 12 คน มีหลานอีก 144 คน มีเหลนอีกพันกว่าคน มีโหลน มีหลอนอีกเป็นหมื่น ๆ คน มีอายุถึง 120 ปีจึงได้ถึงแก่มรณะ

ในขณะที่นางมีชีวิตอยู่ ได้ช่วยเชิดชูบูชาพระพุทธศาสนา ร่วมเป็นมหาอุบาสิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าถึงและสำเร็จเป็นอนาคามีบุคคล คือบุคคลที่จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว เพราะจิตใจผ่องแผ้วในสัจธรรม

แต่นางมาระลึกได้ว่า ก่อนมาเกิดเมืองมนุษย์มาจากไหน จึงรู้แจ้งชัดในกุศลมัยว่า มาจากชั้นนิมมานรดี พอท่านจะสิ้นชีวิต ท่านก็ขอไปพักที่นั่นก่อน พอไปถึงก็พบพวกเก่าเหล่าเทวเทพที่พากันมาเที่ยวอุทยานดอกไม้ ยังเก็บดอกไม้ร้อยมาลากันอยู่ ยังไม่เสร็จ พวกจึงถามขึ้นว่า

“ท่านไปไหนมา พวกเราร้อยมาลากันอยู่ เห็นท่านหายไปแผล็บเดียว”

เทวดาวิสาขามหาอุบาสิกาจึงบอกว่า “ไปเที่ยวเมืองมนุษย์ถึง 120 ปีของเขา แต่ก็เท่ากับเวลานาทีเดียวของเราโลกทิพย์นี้”

นี่แหละคุณแป๊ะเอ๋ย คนเราเกิดมาเพื่อมาสร้างบารมีต่อให้พ้นทุกข์ ให้หลุดพ้นจากโอฆสงสาร คือพระนิพพาน เป็นที่ปรารถนา

อันพวกเราเกิดมามีอายุได้แค่นี้ ก็นับว่ามากแล้ว คงจะยังไม่ถึงเสี้ยวนาทีของโลกทิพย์เขาหรอก ให้ถือว่ามาเที่ยวทัศนาจรกันชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็กลับไปดังที่คุณว่าไว้นั่นแหละ

ผู้ไม่รู้จักแก่ เจ็บ ตาย

จากนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “ผมยังสงสัยมาก เรื่องของหลวงพ่อ ที่คุณพ่อบอกผมว่า หลวงพ่อองค์นี้ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักตาย ท่านก็เรียกมาตลอดว่า หลวงพ่อ ๆ ก่อนผมอีก

เป็นเวลา 30-40 ปีมาแล้ว ที่ผมเห็นหลวงพ่ออยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น หัวก็ไม่หงอก หนังก็ไม่เหี่ยว ยังเดินปราดเปรียวอยู่เช่นเคย ผมเดินตามแทบไม่ทัน อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น ไม่เห็นแก่สักที และมีหลาย ๆ คน เขาสงสัยกันว่า พระประหลาด พระไม่รู้จักตาย”

ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “เออ จริง ! คนเก่า ๆ แก่ ๆ ที่เคยรู้จักมักคุ้นก็ไม่เหลือแล้ว กลับบ้านเก่ากันหมด หมดไปเป็นรุ่น ๆ เหมือนพวกสุนัขนี่แหละ มันอนิจจัง ส่วนหลวงพ่อเองก็รู้ตัวเสมอว่า อันความแก่ ความเจ็บ ความทุกข์ ไม่มีในฉัน ฉันจะทำใจให้โง่ ๆ เซ่อ ๆ ว่าง ๆ อยู่อย่างนี้แหละ สบายดี

อันวิถีทางหรือวิธีการชะลอความแก่นั้น หลวงพ่อได้ไปศึกษามาจากหลายแห่ง

แห่งแรกคือ ประเทศโรมาเนีย ซึ่งอยู่ติดกับประเทศยูโกสลาเวีย และฮังการีตอนเหนือของทวีปยุโรปนี้เอง เพราะยุโรป หลวงพ่อเที่ยวทะลุประโปร่งหมด รู้สึกจะมีแห่งเดียวในโลกที่เขามีฮอสปิทอล หรือวิทยาลัยสอนวิธีชะลอความแก่ ขณะนี้สถาบันของเขาดังมาก ดังไปทั่วโลกเลยทีเดียว มีคนสำคัญ ๆ ผู้มีอันจะกินเกือบทั่วโลกไปที่นั่น

ส่วนเมืองไทยเรายังไม่มีใครรู้ ถึงรู้ก็คงไม่มีโอกาสไป ที่เห็นมีรายชื่ออยู่ในสถาบันของเขา ก็รู้สึกจะมี คุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมช นอกจากนั้นก็คงจะมีไปบ้าง เรียนรู้แล้วไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ผล เหมือนคนเรียนธรรมะ เรียนจนจบเปรียญ 9 ประโยค แต่ไม่ปฏิบัติตามมันก็เท่านั้นเอง

แห่งที่สองอยู่ที่ ประเทศแคชเมียร์ อยู่ติดภูเขาหิมาลัยในทวีปเอเชียเรานี้เอง นั่งเครื่องบินไป 4-5 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว สถานที่แห่งนี้พวกโยคีเขาสอนให้

อันพวกโยคีฤๅษีชีไพรนั้น แต่ละคน ๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นครูบาอาจารย์ ท่านจำอายุของท่านไม่ได้ หรือท่านไม่อยากจำก็เหลือเดา

อันหลักการสอนของทั้ง 2 แห่งนี้ ก็คล้าย ๆ กัน คือ เขาสอนว่า คนเรานี้ทุก ๆ คนที่เป็นตนเป็นตัวอยู่นี้ มีความสำคัญอยู่ 2 อย่าง คือ ร่างกาย กับ จิตใจ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ ถ้ารู้จักรักษาให้สมดุลกัน มันจะอยู่ได้นาน

ทั้ง 2 อย่างนี้ต้องการอาหาร ให้เลี้ยงอาหารดี ๆ มีวิตามินโปรตีนพอ ๆ กับความต้องการของร่างกาย

อย่าไปกินอาหารบูดเสีย และ อย่ากินตามอำนาจ หรือความต้องการของกิเลสตัณหา คืออย่ากินมากเกินไป กินพออยู่ได้ ใช้หลัก โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณไม่กินมากเกินไป อย่ากินตามอำนาจของความอยาก จนอิ่มหนำพุงกาง

ร่างกายเราก็เหมือนเครื่องจักรกล ที่มีอยู่ในท้องเรา ซึ่งธรรมชาติสร้างให้ มันจะทำงานหนักหักโหมเหมือนเครื่องจักรเครื่องยนต์ ซึ่งถ้าทำงานหนักตลอดเวลา อายุการใช้งานมันจะสั้นลง

ร่างกายคนเราก็เหมือนกัน ถ้าอยากแข็งแรงก็ต้องออกกำลัง ดังนั้น ไปที่ใด ๆ ในประเทศนี้ จะเห็นแต่ฤๅษีดัดตนเสมอ นั่นแหละ คือท่านออกกำลังกาย

อันร่างกายของเรานี้ ถ้ากินอาหาร บูด ๆ เน่า ๆ ก็ทำให้ท้องเสีย กินมาก ๆ ก็ทำให้อ้วนฉุลงพุง แล้วก็ตายง่าย ๆ ด้วย เพราะเครื่องจักรกลในท้องเรา มันทำงานหนัก หักโหมอยู่ไม่ได้นาน ทางด้านอาหารเขาจึงบังคับให้กินพออยู่ได้เท่านั้น

ส่วนด้านจิตใจก็เหมือนกัน มันก็ต้องการอาหาร อันอาหารของจิตใจ คือ อารมณ์

จิตใจมันกินอารมณ์เป็นอาหารของมัน ดังนั้น เรื่องอารมณ์เป็นของสำคัญมาก ควรหาอารมณ์ดี ๆ คิดถึง ตรึกตรอง มองแต่แง่ดีเอาไว้ให้จิตใจมันนึก มันกินแต่อารมณ์ดี ๆ อย่าให้อารมณ์บูด อารมณ์เสียเกิดขึ้น

ถ้าไม่ระวัง ปล่อยให้ความโลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น จิตใจก็จะได้กิน

แต่อารมณ์บูด ๆ เน่า ๆ เช้าสายบ่าย เย็น ก็จะเห็นแต่ทุกข์ คือทุกข์ใจ

ถ้าใจเป็นทุกข์แล้ว ส่วนอื่น ๆ คือ ร่างกายก็ทุกข์ไปด้วย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา

ความทุกข์ เป็นโรคร้ายของจิตใจอย่างแท้จริง ดังนั้นจงระวังรักษาอย่าให้อารมณ์บูดอารมณ์เน่าเกิดขึ้น

วิธีการง่าย ๆ ก็อย่างที่หลวงพ่อกล่าวว่า คือ ทำใจให้ว่าง ๆ โง่ ๆ เซ่อ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น จะร้ายดีมีจน ข้าไม่สนกับมันเหมือนสุนัขดังได้กล่าวแล้ว

เทวทูตจากสวรรค์

พอกำลังพูดกันอยู่ยังไม่จบ ลางร้ายก็มาเตือนอีกเป็นครั้งที่สอง

คราวนี้เป็นพวกอีกา ซึ่งมันมาอาศัยอยู่นานแล้ว มีเป็นจำนวนมาก มันมาจับที่เตียงนั่งของคุณแป๊ะและตามเก้าอี้บ้าง กิ่งไม้บ้าง ใกล้ ๆ บ้าง คุณแป๊ะเขาเห็นเข้าก็รีบจัดอาหารให้มันกิน มันรับแล้วสลัดทิ้งไม่ยอมกิน เหมือนแต่ก่อน ๆ มา แล้วอีกาทุก ๆ ตัว ก็อ้าปากร้องพร้อม ๆ กันว่า

“กาวา ๆ ๆ ๆ”

เสียงอึกทึกไปหมด ข้าพเจ้ารำคาญหู ต้องหาบ่วงหาไม้เรียวทำท่าจะคล้องคอหรือจะตี มันจึงบินหนีไปอยู่ห่าง ๆ จากคุณแป๊ะ แล้วยังร้องอีก ส่งเสียงอย่างเดิม คือ

“ก า ว า ๆ ๆ ๆ”

ข้าพเจ้าบอกกับคุณแป๊ะว่า“ คุณ แป๊ะเอ๋ย อันตัวอีกานี้ ทางหิมาลัยประเทศ คือประเทศเนปาล ซึ่งเป็นถิ่นฐาน พุทธกำเนิดของเรานั้น ชาวบ้านชาวเมืองนั้นทั้งประเทศเขานับถืออีกา เคารพอีกาว่าเป็นเทพเจ้า คือเทวทูตผู้บอก ลางดีลางร้าย เขาจึงมีพิธีเทศกาลเลี้ยงอีกา

หลวงพ่อเองไป ๆ มา ๆ ทุกปีที่เมืองนี้ ก็เพราะว่าเราบวชในพระพุทธศาสนา พระศาสดาของเราอุบัติเกิดอยู่ที่นั่น จึงต้องไปบ่อย

เมื่อไปเห็นพิธีเลี้ยงกา เทศกาลเลี้ยงกาของเขาแล้ว จึงนึกสงสัยสนใจ หาหนังสืออีกาของเขามาอ่านดู ก็พบว่าอีกานี้คือ เทวทูต เป็นผู้สื่อข่าวจากเทวดามาบอกมวลมนุษย์ และมาดูแลเมืองมนุษย์

ดังนั้น เมืองนี้ ประเทศนี้ โดย เฉพาะอย่างยิ่งกรุงกาฎมัณฑุ ซึ่งเป็นนครหลวง ยิ่งมีอีกามากที่สุด พอตื่นขึ้นมา หรือถ้าจะไปไหน เขาต้องนั่งฟังเสียงอีกาว่ามันมาร้องอย่างไร จะดี จะร้ายเอาเสียงอีกาเป็นหมอดู จึงพอสรุปได้ว่า

ถ้าอีกามันร้องว่า “กา กา กา” ไปทั่วหน้า จะได้ลาภดั่งใจจง

ถ้ามันร้อง “กาวั้ก กาวั้ก กาวั้ก” จักทะนงจะเสียทรงเกิดทุกข์ไม่สุขใจ

ถ้ามันร้อง “กาวา กาวา กาวา” จะม้วยมรณ์จะสังหรณ์วายชนม์จนตักษัย

ถ้ามันร้องว่า “กาวู้ กาวู้ กาวู้” ผู้อยู่ไกลจะมาใกล้ถึงถิ่นให้ยินดี หรือจะได้รับข่าวดี

เหล่านี้เป็นความเชื่อถือของชาวเนปาล ถ้าหากเราเชื่อตามเขาเราก็โง่ ถ้าไม่เชื่อเราก็ตาย

เรื่องอีการ้องนี้ หลวงพ่อเคยเชื่อมัน จึงได้เลี้ยงมัน ให้อาหารมัน เวลามันขอ ถ้ามันไม่มาก็แล้วไป เพราะเขาเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย ไม่ไว้ใจใคร

แต่นี่ดี มันไว้ใจหลวงพ่อ มันจึงมาอาศัยอยู่ด้วย ดังที่คุณเห็นนี้เอง มันรื้อโน่นค้นนี่ทั้งวัน ฉันปลงตกแล้ว ปล่อยมัน นึกว่ามีใครบ้างในประเทศไทยที่เลี้ยงอีกาให้เชื่องได้ ก็มีเรานี้เอง ภูมิใจ เหมือนกันที่เอาพวกนี้อยู่ได้

                ในอากาศหฤโหดร้าย          คือ กา

สัตว์สี่ตีนคือ ลา                                   โหดแท้

นักบวช ใช้โกรธา                                ยิ่งหฤโหด

แต่พวกที่โฉดชั่วช้า                              คือ ผู้นินทา

พวกที่ชอบฆ่าเขา ชอบนินทาเขา ยิ่งเลวกว่าอีกาอีก

เตือนภัยให้ระวัง

คุณแป๊ะเอ๋ย มีเรื่องอยู่ 2 อย่าง คือ เรื่องคุณฝัน และ เรื่องอีกา นี้ คุณไม่ควรเดินทางไกล ให้ชะลอไว้หน่อย แหละดี คือตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ จนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2530 โลกมนุษย์จะมีอุบัติเหตุตายหมู่มากที่สุด

ทั้งนี้เพราะฉันเป็นนักดาราศาสตร์ ฉันมีกล้องดูดาวตามหลักวิชาการเขา มันขึ้นราศีเมษ เกาะดาวพฤหัสบดีมาเลย คือ ดาวโลงกับดาวกา มันโคจรมาใกล้เมืองมนุษย์ จนม้วยมุดมรณาเป็นห่าโหง ในช่วงนี้เราระวังไว้หน่อยก็ดี

ฉันเองไปกรุงเทพฯ ต้องนั่งรถไฟเสมอ ขึ้น ๆ ล่อง ๆ ตามเรื่องของเรา เพราะระยะนี้ยังไม่อยากตาย เป็นห่วงโรงเรียนอีกสามพันกว่าโรงเรียน มีนักเรียนและครูทั้งตารอคอย เพื่อรับ พระพุทธรูปของเราอยู่ร่วม 3 ล้านคน แต่ที่แจกไปแล้ว 15,000 องค์นั้น สบายแล้ว

พวกเรารู้สึกภูมิใจที่ได้สร้างงานให้ศาสนาไว้ให้อนุชนของเรา”

พอเสร็จแล้ว เขาก็ถามว่า “อันลางร้ายลางดีนี้เชื่อได้หรือเปล่า ?”

ก็ตอบเขาไปว่า “เชื่อไว้ก็ดี ไม่เสียหาย โบราณท่านยังถือ แม้แต่จิ้งจก ตุ๊กแกร้อง ท่านยังฟัง ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นก็แล้วกัน

แต่เรื่องเข้าผีทรงเจ้าที่คุณถามมานั้น เหลวไหลทั้งนั้น แม้แต่พวกนั่งดูนรกดูสวรรค์ก็เหลวไหลอีก เพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้ดูที่อื่น ผู้อื่น ท่านสอนให้ดูตัวเอง เห็นตัวเอง ดังที่บอกว่า ตาที่มองเห็นอะไรได้ทั่ว แต่ถ้าไม่เห็นตัวก็โง่”

วันนี้พอคุยกันเสร็จก็ต่างคนต่างไป เขาก็เข้าไปนั่งสมาธิในป่ากระท่อม เชิงเขา เราก็ไปทำงาน พอตอนเย็นก็มาพร้อมกันอีกที่ศาลาทิพยอาสน์กลางแจ้ง เป็นที่สวดมนต์ไหว้พระร่วมกัน เสร็จแล้วก็ทำสมาธิต่อ และก็ได้บอกหัวข้อให้ทุกคนจดจำว่า

“อันการทำจิตให้เป็นสมาธินั้น ไม่จำกัดอิริยาบถ ใครจะนั่ง ยืน เดิน หรือนอนก็ได้ แต่ต้องให้มีสติ ความระลึกได้ในอิริยาบถนั้น ๆ และรู้ตัวอยู่เสมอในอิริยาบถนั้น ๆ

หรือจะวางใจให้โง่ ๆ เซ่อ ๆ อย่างสุนัขทั้งหลายไว้ก่อนก็ดี ใจมันจะได้ว่าง พอมันว่างแล้ว มันก็จะเข้าสู่สภาวะของมัน มันเห็นเอง เป็นเอง ซึ่งเรียกว่ารู้เฉพาะตน เป็นปัจจัตตัง คนอื่นจะรู้คนอื่นไม่ได้”

ในคืนนั้น คุณแป๊ะเขานั่งทั้งคืน ในศาลากลางแจ้ง

มาอย่างไร ไปอย่างนั้น

รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม ข้าพเจ้าจะเดินทางไปวัดศรีเมือง อำเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย เพื่อร่วมทำบุญทักษิณานุประทาน 100 วัน ถวายหลวงปู่เกตุ พระผู้เฒ่าอายุ 111 ปี พอเห็นคุณแป๊ะเขารีบเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนทันที ว่าจะไปด้วย ข้าพเจ้าก็ห้ามไว้

“ไม่ต้องไปหรอก เพราะหลวงพ่อจะไปธุระของหลวงพ่อเอง คนอื่นไม่เกี่ยว”

คุณแป๊ะไม่เชื่อ แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว คุณแป๊ะเป็นคนดีว่านอนสอนง่าย เขาเคารพเชื่อฟังฉันทุกอย่าง บอกให้อยู่ก็อยู่ บอกให้ไปก็ไป ไม่เคยขัดคำสั่งและร้องขอ เพราะได้ขอร้องเขาไว้ แต่เมื่อวานและกลางคืนแล้ว เขาไม่เชื่อ จะไปให้ได้ รีบขึ้นรถนั่งสมาธิทันที และนั่งอยู่เก้าอี้แถวหน้าคู่กับคนขับ ตรงหน้าข้าพเจ้าพอดี

พอขากลับรถเกิดอุบัติเหตุ ยางหน้า-ยางหลังด้านซ้ายแตกระเบิดพร้อมกัน รถเสียหลัก เสียการทรงตัว ปัดไปทางขวามือ

คุณแป๊ะนั่งพิงประตูซึ่งไม่ได้ล็อกเอาไว้ พอประตูเปิดเขาก็กระเด็นตกลงไปนอนอยู่บนกองหญ้า ซึ่งมีป่าพงหนาทึบอยู่ริมทาง ยังนึกว่าเขาไม่เป็นไร แต่เขาก็สิ้นใจไปแล้ว ! ทั้ง ๆ ที่ ก่อนจะถึงที่นั้นอีกสิบกว่ากิโลเมตร ก็ได้บอกเขาให้ล็อกประตูและคาดเข็มขัดที่ติดรถ เขาก็ไม่ฟัง

คุณแป๊ะเขานั่งสมาธิตัวแข็งไปเรื่อย ๆ ตามเรื่องของเขา เขาจึงจากไปโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอะไรเลย เขาคงไปดีแน่ตามอัตภาพ คือภาพที่เขาเห็นมาในฝัน.

สรุป ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข - การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นทุกข์อย่างยิ่ง และก็เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ที่สุดซึ่งมนุษย์ทุก ๆ คน ทุกรูปทุกนาม จะต้องเจอแน่

ความพลัดพรากจำจากนั้น มันเกิดขึ้นกับคนอื่น ผู้อื่น ที่ห่วงตัวเรา ก็พอทำเนาอดกลั้น

หากสิ่งที่กล่าวนั้น มันมาเกิดกับตัวเราขึ้น อย่างคุณทองเพิ่ม ได้พรากจากไปคราวนี้ ที่นึกว่าเป็นธรรมดานั้น มันก็ลืมไปหมด เกิดหัวใจหดหู่ ท้อถอย เศร้าสร้อย เสียใจ ขึ้นมาแทน โดยฉับพลัน เพราะเรารักกันเสมือน พ่อกับลูก จึงเป็นเสมือนดวงใจ หรือ หัวใจมันขาด หลุดลอยออกไปจากร่าง มันเวิ้งว้างโหวงเหวงอย่างไรพิกล

โอ้คนเรานี้หนอ ก็เห็นกัน อยู่หลัด ๆ

แต่มาพลัด พรากไป ไม่เห็นหน้า

อยู่เผลอ ๆ ก็ชะเง้อ นึกว่ามา

เสียงขลุกขลัก ก็ผวา ตั้งตาคอย

แต่พอนึกทบทวนหวนจิตคิดถึง เรื่องที่ผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ ก่อนที่เขา จะจากไปดังนั้นที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น มันก็พอปลงตกว่า

คนเรานี้ พอถึงวันก็มีอันเป็นไป ถึงจะขวางกั้นอย่างไรก็ไม่อยู่ เพราะถึงคราวของท่าน ของเขา และของเรา

แต่ละคนนึกว่า คนเราทุกคนที่เกิดมานี้ เหมือนกับมาท่องเที่ยวทัศนาจรชั่วคราว แล้วก็กลับไป ดั่งที่ตัวเขาเองพูดเอาไว้ “มาอย่างไร ก็กลับไปอย่าง นั้น” คือการมาเกิดก็ไม่ได้เอาอะไร มาด้วย เมื่อกลับก็เช่นเดียวกัน ไม่เอาอะไรไปสักอย่าง ก็รู้สึกสบายใจขึ้น

เขาจากไปถึงมิได้เห็นด้านรูปธรรม เราก็รู้เห็นกันด้วยนามธรรม คือทางจิตใจ เพราะหลักการมีอยู่ว่า

“สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว มีขึ้นแล้ว สิ่งนั้นจะไม่หายไปไหน เพราะพลังงาน ความร้อนจะรักษาเอาไว้ E = MC2”

ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรา เจริญมรณานุสติ คือให้ระลึกนึกถึง ความตายเนือง ๆ ว่า มรณะ ธัมโมมหิ มรณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

หรือความตายไม่ยกเว้นใคร ๆ ตายแน่อย่าสงสัย อย่าเศร้า อย่าห่วง อย่ายึดมั่นอะไร ๆ ทั้งหมด ประคองจิต อย่าให้เร่าร้อน มุ่งให้ตายดี คือรู้จักวิถีทางที่จะไป

อันวิถีทางของจิต คือ ความว่าง เพราะจิตมันคือตัวว่าง มันละเอียด จึงมองด้วยตาไม่เห็น จะเห็นได้ก็อยู่ที่เอา จิตดูจิต

ให้สลัดความยึดมั่นถือมั่น ในตัวเรา ตัวเขาออกไป แล้วให้จิตอยู่ใน ความว่าง วางมันให้อยู่ในภาวะของมัน ซึ่งคล้าย ๆ กับความฝัน

อันการนอนฝันก็คือ ความตาย น้อย ๆ นี่เอง เราตายน้อย ๆ ทุกคืน ทุกวัน แต่เราก็ลืมมัน

ดังนั้น ถ้าปรับคลื่นสมองของเรา ให้อยู่ในภาวะแห่งการฝันแล้ว เราจะเห็น เราจะรู้สึกภาวะแห่งความเป็นอยู่ ของจิตวิญญาณทั้งมวล เพราะภาวะ และภพของจิตวิญญาณมันเป็นอีกมิติหนึ่ง ภาวะอย่างหนึ่งต่างหาก ไม่เหมือนโลกสับปะรังเคที่เราอยู่เดี๋ยวนี้ มันละเอียดอ่อน สงบเย็น หากผู้อ่านอยากรู้ อยากเห็น ลองปฏิบัติเถิดจะเกิดผล

นัดหมายเพื่อไปนมัสการ

ก็ด้วยบทความที่ลูกศิษย์ของหลวงพ่อโง่นถอดจากเทป มาพิมพ์ในหนังสืองานศพ คุณทองเพิ่ม กาฬดิษย์ ศิษย์รักของท่าน ที่ถึงแก่ธรรมในอุบัติเหตุดังกล่าว ซึ่งท่านอาจารย์ฐิติประไพ ศรหิรัญ กรุณาส่งมาให้ผู้เขียนอ่านจนจบ ผู้เขียนจึงตัดสินใจจะเดินทางไปสัมภาษณ์หลวงพ่อโง่น และได้นัดหมายกับท่านอาจารย์ฐิติประไพเป็นที่เรียบร้อย

ครั้นถึงวันที่นัดหมาย ผู้เขียนกับ คุณบุญสมฤทธิ์ พึ่งแย้ม ช่างภาพ ได้ไปรอที่โรงพยาบาลสงฆ์ พญาไท

ซุ้มประตูวัดพระพุทธบาทเขารวก

ชั่วเวลาเพียงเล็กน้อย พล.ต.ต.ถาวร คล่องเชิงศร ท่านรองผู้บัญชาการ กองบัญชาการศึกษา กรมตำรวจ กับ คุณทองศรี คล่องเชิงศร ภริยาของท่าน ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรื่องยานพาหนะ อันได้แก่รถตู้ พร้อมด้วยอาหาร เครื่องดื่ม ได้นำท่านอาจารย์ฐิติประไพ และศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อโง่นอีก 2- 3 ท่าน มารับผู้เขียนกับคุณบุญสมฤทธิ์ คณะเราเดินทางออกจากโรงพยาบาลสงฆ์ เมื่อเวลา 07.00 น. ไปถึงวัดพระพุทธบาทเขารวก เมื่อใกล้ 11.30 น. หลังจากที่พักรถ ณ ด่านตรวจของตำรวจทางหลวงกลางทาง เพียง 20 นาทีเท่านั้น

อันวัดพระพุทธบาทเขารวกนี้ ตั้งอยู่ ณ ตำบลวังหลุม อยู่ห่างจากตัวอำเภอตะพานหิน ของจังหวัดพิจิตร 16 กิโลเมตร เป็นวัดป่าที่ค่อนข้างจะเจริญพอสมควร เพราะเมื่อเรานั่งรถ มองแต่ไกล จะเห็นหลังคาโบสถ์เหลืองอร่ามสถิตอยู่บนภูเขาขนาดย่อม รอบ ๆ อาณาบริเวณมีต้นไม้เรียงราย แต่ไม่แน่นหนามืดครึ้มเหมือนวัดป่าบางวัดที่ผู้เขียนผ่านมา

ทัศนียภาพวัดพระพุทธบาทเขารวก

วัดพระพุทธบาทเขารวกเหล่านี้ ดูจะเป็นป่าโป่งในปัจจุบันเสียแล้ว ซึ่งผิดจากเดิมเมื่อครั้งหลวงพ่อโง่น ท่านมาครั้งแรก ๆ ที่เป็นป่ามืดครึ้ม ไม่ถูก ทำลายจนเกือบจะหมดสภาพเช่นทุกวันนี้

...คือท่านเป็นแน่แท้

เมื่อรถของเราไปจอดห่างจากศาลาเล็ก ๆ พื้นปูด้วยไม้กระดาน หลังคามุงหญ้าคา อันเป็นที่ฉันอาหารของหลวงพ่อแล้ว คุณทองศรี คล่องเชิงศร ได้รีบเดินไปตามไหล่เขา เพื่อนิมนต์หลวงพ่อที่กำลังคุมช่างก่อสร้างบนเชิงเขาอีกด้านหนึ่งมาฉันเพล ปล่อยให้ผู้เขียนกับคุณบุญสมฤทธิ์เดินไปชมปลาในสระใหญ่ที่มีน้ำใสสะอาด และปลาชุกชุมใกล้ ๆ กับศาลา

ชั่วครู่เดียวเราก็เห็นพระภิกษุรูปหนึ่ง รูปร่างสันทัด ผิวดำแดง เดินมาอย่างรวดเร็ว โดยมี อีกาสีดำเป็นนิลตัวหนึ่ง กระโดดตามกระชั้นชิด

จากลักษณะท่าทีของของท่าน ผู้เขียนเข้าใจว่าท่านคงมีอายุประมาณ 60 เศษ ๆ เท่านั้น (แต่มาทราบภายหลังจากปากคำของท่านเองว่า ท่านมีอายุ 80 ปีเศษแล้ว) และคงจะเป็นหลวงพ่อโง่น โสรโย เป็นแน่แท้

ผู้เขียนกับคุณบุญสมฤทธิ์จึงก้มตัวทำความเคารพท่านอย่างนอบน้อม ท่านได้หันมายิ้มทักทาย แล้วเดินผ่านเราไปยังศาลาเล็ก ๆ หลังนั้น

ผู้เขียนพร้อมด้วยอีกหลายท่าน ที่เดินทางมาด้วยกัน เข้าไปนั่งห่าง ๆ มองเห็นถาดอาหารที่ประกอบด้วยผักนานาชนิด และมีชามแก้วใส่ข้าวชามน้อยวางอยู่บนถาดแล้ว อดนึกสงสัยเสียมิได้ว่า ท่านจะฉันอิ่มได้อย่างไร เพราะข้าวก็น้อย กับก็น้อยออกอย่างนั้น

ได้ทราบจากศิษย์ของท่านว่า “ท่านฉันมื้อเดียว และฉันเพียงเล็กน้อย เป็นประจำมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ ตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย หรือจะพูดว่านับแต่เกิดมาก็คงจะไม่ผิด

ชาติกำเนิด

บันไดนาคเจ็ดเศียรเป็นหนทางขึ้น
ไปชมมณฑปพระพุทธบาท

เริ่มแรกผู้เขียนตั้งใจจะขอเรียนสัมภาษณ์ หลวงพ่อโง่น หลังจากพระคุณท่านฉันอาหารเพลเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อผู้เขียนเห็นท่านที่เดินทางมาพร้อมกับผู้เขียนได้ซักถามหลวงพ่อโง่น จนท่านคุยพลางฉันพลางท่ามกลางอีกา หลายตัวที่รายล้อมท่าน

ผู้เขียนคิดว่าถ้าผู้เขียนละโอกาสในการอัดเทป และกราบเรียนถาม หลวงพ่อในปัญหาต่าง ๆ ที่ผู้เขียนเตรียมไว้ในใจครั้งนี้ ผู้เขียนก็คงจะไม่ได้ชีวประวัติของหลวงพ่อ มาเสนอต่อท่านผู้อ่านเป็นแน่นอน

จึงยอมเสียมารยาท เขยิบเข้าไปนั่งจนใกล้หลวงพ่อ พลางเปิดเครื่องอัดเทปและกราบเรียนถามพระคุณท่านได้เป็นบางประโยค เท่าที่จังหวะอำนวยให้

ฉะนั้น ถ้าท่านผู้อ่านทั้งหลายจะได้อ่านชีวประวัติของหลวงพ่อโง่น โสรโย ไม่ละเอียดเท่าที่ควร ก็ขอได้โปรดอภัยแก่ผู้เขียนด้วย ทั้งนี้สุดจะประมวลความให้ดีกว่านี้อีกแล้ว

หลวงพ่อโง่น โสรโย เดิมท่านชื่อ ทองสุก นามสกุล สิงหเสนี

ภายในมณฑปประดิษฐาน
รอยพระพุทธบาทเขารวก

บิดาชื่อ ทองอุ่น สิงหเสนี เป็นนักเรียนเก่าประเทศฝรั่งเศส เมื่อชาวฝรั่งเศสมาเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งค้าไม้ซุงจากเอเชียไปยุโรป บิดาของท่านจึงทำหน้าที่ควบคุมการทำไม้ ทั้งล่องแพไม้สักจากเหนือมากรุงเทพฯ และก็ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงบอกแก่ผู้เขียนว่า

“อาตมาไม่มีบ้านเกิด เพราะเกิดบนแพ ขณะที่พ่อล่องมาในแม่น้ำปิง จังหวัดกำแพงเพชร”

หลวงพ่อโง่นเกิดปี พ.ศ.2446 แต่วันที่เท่าไหร่เดือนอะไร ท่านจำไม่ได้ ท่านพูดถึงบิดาของท่านว่า

“พ่อของอาตมาเป็นคนดี ไปที่ไหนมีเมียที่นั่น ท่านอยู่กรุงเทพฯ ก็มีเมียกรุงเทพฯ เขาส่งไปทำงานที่เวียตนาม ก็ได้คนแกวเป็นเมียอีกคน ไปอยู่ประเทศลาวก็ได้เมียลาว ท่านเป็นหัวหน้าล่องแพไม้สักจากเชียงใหม่ไปปากน้ำโพ ท่านก็ได้เมียชาวเชียงใหม่อีกคนหนึ่ง แล้วมาได้ที่เมืองตากอีกคนหนึ่ง

อาตมาก็เลยปลงตกเมื่อเห็นสภาวะความเป็นอยู่ของท่าน ก็น่าสมเพชเวทนา ไม่รู้ว่าจะเอาใจเมียคนไหนกันแน่

แม่ของอาตมานั้นเป็นคนพวน อยู่บ้านหมี่ ลพบุรี นี่เอง พอลูกออกบวช โยมแม่ก็นุ่งขาวห่มขาว บวชชี จนสิ้นชีวิตในขณะที่ก้มลงกราบพระ

ส่วนโยมพ่อนั้นเมื่อชราแล้ว ท่านก็ตัดได้เหมือนกัน ท่านสิ้นชีวิตไปนานแล้วโยม”

วัยเด็กในต่างแดน

จากพระภิกษุที่มีลักษณะเป็นพระบ้านนอก แต่พูดจาฉะฉานนั้น ใครเลยจะคิดว่า หลวงพ่อโง่น โสรโย จะใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปทั่วยุโรปมาแล้ว ทั้งสำเร็จปริญญาวิศวกรรมจากประเทศฝรั่งเศส และผ่านวิทยาลัยของญี่ปุ่นอีกด้วย !

ทั้งนี้จากคำบอกเล่าของท่าน

“อาตมาเมื่อครั้งเป็นเด็กได้ติดตามคุณพ่อที่เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำอินโดจีนไปประเทศเวียตนาม 2 ปี แวนคูเวอร์ 2 ปี เมืองนี้อยู่ในประเทศแคนาดา

ต่อจากนั้นก็ไปอยู่โฮโนลูลู 2 ปี แล้วท่านก็พาไปอยู่ฝรั่งเศสเลย ท่านไปเป็นเลขาธิการสภาคองเกรส

เดิมทีท่านเห็นอาตมาเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง ท่านก็เลยขอเป็นบุตรบุญธรรม แล้วก็ไปอยู่โมนาเวีย ซัดเซพเนจรไปสแกนดิเนเวีย ไปเรียนหนังสือกับโป๊ปองค์ปัจจุบันนี้ ท่านเป็นชาวโปล สมัยนั้นอาตมานับถือศาสนาคริสต์”

เลิกคริสต์มานับถือพุทธ

เหตุที่หลวงพ่อโง่นจะหันมานับถือพุทธศาสนานั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า อาตมาไม่ได้บวชเพราะความเลื่อมใสหรอก การบวชนี่มาจากสาเหตุหลายอย่าง มีบวชเพราะเพื่อน บวชเพราะมิตร บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะคลายกำหนัด บวชเพราะไม่ขัดสกุล บวชเพราะหวังในลาภ ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ อุปชีวิกา บวชมาเพื่อหากิน อุปชีวิกา บวชเล่น บวชพอได้บุญ ฯลฯ

อาตมาไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อนเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอะพระเข้าองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุน เมืองเหนือประเทศลาว ท่านพูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง ท่านมาปักกลดซอมซ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกสาว ๆ เขาเลื่อมใส

แม่เล็ก ล่ำซำ ก็เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสท่าน เดี๋ยวนี้เขาแก่แล้ว เขามา ชวนอาตมาว่า “พี่ ๆ ไปกราบพระ ด้วยกันไหม อ้ายเราก็นับถือศาสนาคริสต์อยู่ ก็เลยเอาไม้กางเขนซ่อนไว้ในอก

พระองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อวัง จิตฺตวโร

ซึ้งใจในธรรม

พออาตมาเข้าไปถึง ท่านก็ชี้หน้าว่า “นี่ถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม

แล้วท่านก็บอกเลยว่า “ถือศาสนาคริสต์ก็ดี ไม่มีเครื่องหมายในศาสนาใดดียิ่งไปกว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์เขามีเครื่องหมายบวก ถ้าเรามองคนในแง่บวกแล้วใจจะสบาย”

ท่านสอนนะ “ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรามองในแง่บวกแล้วใจจะสบาย อย่าง สามีไปมีเมียน้อยนี่ ถ้าภรรยามองในแง่บวก แหม! แฟนเรานี่ยอดจริง ๆ ใจก็สบาย

เออ...นี่ลูกมีคำถามอยู่ในกระเป๋าเสื้อของลูก ทำไมไม่ดึงเอาขึ้นมาถาม หลวงพ่อ ล่ะ”

อ้ายเราก็กำลังจะควักออกมา อาตมาเขียนไว้อย่างนี้ โยม เขียนไว้ว่า

1. ศาสนาพุทธทำไมจึงถือวันพระ ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ จะเอาวันอื่นไม่ได้หรือ ?

2. ศาสนาพุทธมีการล้างบาปหรือเปล่า ?

3. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาจริง หรือเป็นปรัชญา ?

ปัญหาเหล่านี้อาตมาไปถามพระ องค์ไหนก็โดนด่ากลับมา แต่หลวงพ่อองค์นี้ท่านอธิบายให้อาตมาฟังว่า

“ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาอย่างแท้จริงตามหลักวิชาการแผนใหม่ ศาสนาที่แท้จริงจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า

และศาสนาพุทธก็มิใช่ปรัชญา ปรัชญาต้องมีเจ้าของ อย่างปรัชญาของท่านเพลโต้ ของท่านฟูโซ่ ของท่านกงจื๊อ อันนี้เป็นปรัชญา

พระพุทธศาสนาไม่มีเจ้าของ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของพระพุทธ ศาสนา โลกทั้งโลกเป็นเจ้าของ พระพุทธศาสนาเป็นของเราทุกคน พระพุทธเจ้าท่านค้นพบของจริงที่มีอยู่ในคน ที่มีอยู่ในโลก แล้วนำมาสอนคนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นศาสนาพุทธจึงอยู่ในระหว่างกลาง ทั้งปรัชญาและศาสนา

พระพุทธเจ้าค้นพบทุกข์ ท่านค้นพบสมุทัย ท่านค้นพบนิโรธ ท่านค้นพบมรรค ซึ่งทุก ๆ คนมีด้วยกันหมด มันมีมาก่อนแล้ว ท่านค้นพบจึงมาสอนคนอื่น

ฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงมิใช่ศาสนา และมิใช่ปรัชญา อยู่ในระหว่างกลาง ลูกเอ๋ย... จำไว้”

หลวงพ่อโง่น โสรโย ขณะถวายพระพุทธรูปหยกสมเด็จพระราชชนนี

พอฟังท่านอธิบายให้ฟัง มันถูกหัวใจของเราอย่างจังเลยโยม !

ส่วนที่ถามว่า ขึ้น 8 ค่ำ แรม 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 15 ค่ำ ทำไมจึงถือเป็นวันธรรมสวนะ ท่านอธิบายว่า

“พระพุทธเจ้าของฉันท่านเป็นโลกวิทู เป็นผู้แจ้งโลก

วัน 8 ค่ำ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม พระอาทิตย์กับดวงจันทร์กำลังทำมุม สแควร์กัน ผัวเมียจะทะเลาะกันก็อยู่ ใน 7 ค่ำ 8 ค่ำนี้ อย่าไปทวงหนี้ทวงสินกัน ผัวเมียให้ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

ถ้าวันแรม 15 ค่ำ จะมีโจรผู้ร้ายชุกชุม การปล้นฆ่าทารุณจะเกิดขึ้น ไปดูสถิติของกรมตำรวจเขาก็ได้ เพราะเดือนมันมืด ใจคนมันมืดมน

ขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์มันแจ่มกระจ่าง อาชญากรมันจะก่อคดีในทางที่เกี่ยวกับความรักความใคร่มากกว่าปกติ การข่มขืน การปลุกปล้ำกระทำการชั่วมากกว่า เป็นกามกิเลส มันดลดวงจิตของคนอย่างนี้

ดวงจิตของคนจะมีการกวัดแกว่ง มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แทนที่จะทำเช่นนี้ จึงสมควรเข้าวัดให้พระท่านอบรมสั่งสอน พระพุทธเจ้าท่านรู้จักกฎของโลก ท่านจึงได้กำหนดไว้

แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะขโมยของของเขา ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะรักกันด้วยความใคร่ ก็ให้เข้าวัด รักกันด้วยเมตตา”

โยมเอ๋ย ! คำพูดของท่านเหมือน กับท่านเข้ามานั่งในหัวใจของอาตมา ด้วยเวลานั้นกำลังเรียนดาราศาสตร์อยู่ด้วย แหม ! ท่านเก่ง !

แล้วท่านยังบอกอีกว่า กลับไป ให้ไปอ่านคัมภีร์ศาสนาคริสต์ เล่มที่ 5 เมื่อเปิดอ่านแล้วจะโยนหนังสือทิ้ง !

อาตมาก็นึกสงสัยว่า “เอ๊ะ ! นี่ ยังไงกัน หนังสืออยู่ในกระเป๋าของเรา ท่านก็รู้ กลับไปพออ่านเล่มที่ 5 พระ เจ้าสร้างโน่น พระเจ้าสร้างนี่ พระเจ้าสร้างโลก เป็นคัมภีร์เรื่องสร้างโลกของเรา ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ จะมีกลางวันอย่างไร ถ้าไม่มีพระจันทร์ จะมีกลางคืนอย่างไร เอ๊ะ ! มีพระเจ้าบ้า ! เราก็โยนทิ้ง ”

ยังบวชไม่ได้

สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงพระราชทานเหรียญกาชาด หลวงพ่อโง่น
ในวาระที่บริจาค โลหิตถึง 129 ครั้ง

หลวงพ่อโง่น เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านประจักษ์ในความจริงเช่นนั้น ท่านก็เข้าไปนมัสการพระอาจารย์วัง ไปกราบเรียนขอบวชกับท่าน แต่พระอาจารย์ยังกลับบอกว่า

“เอ็งยังบวชไม่ได้ เอ็งยังต้องไปใช้กรรม เพราะเอ็งไปโกหกผู้หญิงเขาไว้ 2 คน เมื่อชาติก่อน”

หลวงพ่อโง่นท่านก็ตั้งใจไว้ว่า พบท่านอาจารย์วังภายหลังก็จะขอบวชอีก จะต้องกลับมาบวชกับท่านให้ได้ แล้วจากนั้นหลวงพ่อโง่นก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอันดี แต่กลับโดนต้ม โดนหลอกจนหมดตัว ท่านบอกว่า

“แล้วก็ไปเจอะคนที่สอง โดนต้มอีก เรียบร้อย ก็เลยเป็นอันบวชดีกว่ากู”

พระดี ๆ มีเป็นร้อย

ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า “ปัจจุบัน พระอาจารย์วังยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?”

ท่านตอบว่า

“อาจารย์วังท่านมรณภาพไปแล้ว มรณภาพที่ประเทศลาว อาตมาไปทำศพท่านเอง อาตมาถือว่าท่านเป็นอาจารย์องค์แรกของอาตมา

พระดี ๆ อย่างนี้ในเมืองไทยมีเป็นร้อย ๆ องค์ แต่ท่านไม่สนใจกับคน ในกรุงเทพฯ นี่ก็มี

แต่ญาติโยมทุกวันนี้หลงรูปสมบัติ ถ้าเห็นกุฏิหลวงพ่อองค์ไหนมีแอร์ มีเตียง มีโต๊ะ มีเก้าอี้ ถ้าได้รับเป็นเจ้าภาพอย่างนี้ละชอบ

บวชแล้วมุ่งปฏิบัติ

เมื่อปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อโง่น โสรโย ก็อุปสมบท ณ วัดเทพศิรินทราวาส

โดยมี พระเทพสิทธิการมุนี (จันทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านบอกว่า อุปัชฌาย์ของท่าน เป็นอาจารย์ของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) และเคยถูกส่งไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครพนมมาแล้ว

หลังจากที่หลวงพ่อโง่นอุปสมบทแล้ว ท่านสนใจในการปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง สำนักใดสอนกรรมฐาน ท่านก็เข้าไปขอฝึกกรรมฐานด้วย จนท่านจำไม่ได้ว่า ท่านได้ไปอยู่สำนักใดมาบ้าง

บางครั้งก็ออกธุดงค์ไปเหนือจดใต้ บางครั้งก็ไปจำวัดแถวอำเภอแกลง จังหวัดระยอง แต่ปัจจุบันท่านยึดถือการปฎิบัติหนักไปในทางมหาสติปัฎฐาน 4 ควบกับมรณานุสติ ท่านบอกว่า

“ทุกวันนี้นึกแต่ว่า หายใจไม่ออกก็ตาย หายใจไม่เข้าก็ตาย จะนึกอะไรก็ช่างเถิดโยม ขอให้จิตมันสงบจากนิวรณูปกิเลส ให้มันวางได้ ให้มันว่างได้ นั่งอยู่ที่ไหนให้มันสบายที่สุด จิตใจมันจะหลงอย่างไร ก็นั่งอยู่อย่างนั้น จนจิตมันสงบเอง

แต่อิริยาบถที่จะทำสมาธิสำคัญที่สุด คือ อิริยาบถนอน เพราะทุกคนจะต้องนอนตายในที่สุด ท่านจะนอนท่าไหนก็ได้ แต่ต้องทำอิริยาบถรู้ รู้จิต รู้สภาพจิตที่มันจะลงสู่สภาวะใต้สำนึก

จิตมี 2 อย่าง คือ จิตเหนือสำนึก อย่างหนึ่ง จิตใต้สำนึก อย่างหนึ่ง

จิตใต้สำนึกคือ จิตหลับ เรานอนหลับ คือ การตายน้อย ๆ นี่เอง

อาตมาสอนอยู่ว่า อิริยาบถที่สำคัญที่สุดที่ท่านจะลืมไม่ได้ ก็คืออิริยาบถนอน ให้ฝึกสติเอาไว้ เพราะทุกท่านจะต้องนอนตาย เวลาหลับให้หลับอย่างมีสติ หลับไปก็จะเป็นสุข

คำสอนที่ถูกทาง

หลวงพ่อโง่น กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมต่อไปว่า

“คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนให้พวกเรานั่งดูสวรรค์ชั้นโน้นชั้นนี้ หรือให้คอยนั่งดูนิพพาน ชั้นโน้นชั้นนี้

แต่ท่านสอนให้ดูตัวเอง ให้เห็นดวงจิตของตัวเอง

การนั่งไปเห็นสวรรค์ไปอย่างโน้น สวรรค์ไปอย่างนี้ นรกขุมนั้น นรกขุมนี้ อ้ายนี่มันพวกประสาทหลอน

การทำสมาธิ การศึกษาเรื่องนี้ อาตมาไม่ได้ศึกษากับพระอาจารย์องค์เดียว เห็นสำนักไหนสอนปฏิบัติที่ใด ก็เข้าไปทั้งนั้น แต่เราต้องไปเลือกเอา

เปรียบเสมือนอาตมาเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ เราจะต้องเลือกเอาดอกใดดอกหนึ่งที่ชอบใจ

เราไม่ได้ตำหนิติเตียนท่าน แต่บางสำนักมันเกินไป เช่น นั่งอย่างนี้หนา ให้ตามหลวงพ่อไปหนา เห็นสวรรค์ไหม ?...มันผิด ! นั่นมันพวกประสาทหลอน

พระอาจารย์ที่อาตมาเคารพนับถือคำสอนที่ถูกทางในปัจจุบันจริง ๆ มีอยู่องค์เดียวคือ หลวงพ่อพุทธทาส ท่านสอนถูกหลักพระไตรปิฎก

ถ้าสอนทางโลก อาตมายกให้องค์เดียวอีกเหมือนกัน คือ ท่านปัญญานันทะ

ถ้าสอนในทางธรรม คือว่าเอาจิตใจให้พ้นทุกข์จริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อ พุทธทาส ”

มาอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวก

ผู้เขียนเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาอยู่วัดพระพุทธบาทเขารวกว่า มีมาจากเหตุใด

หลวงพ่อโง่นบอกว่า เริ่มแรกเดิมทีอาตมาไปเจอ หลวงพี่ชวน (หลวงพ่อโอภาสี) อาตมาไปพบท่านที่วัดบวรนิเวศ หลวงพ่อโอภาสีท่านบอกว่า

“คุณต้องมาอยู่ที่นี่เพื่อสร้างบารมีนะ เพราะที่นี่จะพาธงชัยของพระศาสนาไปทั่วผืนแผ่นดินไทย คงจะต้องมาอยู่ที่นี่”

ที่โรโตรัว นิวซีแลนด์ ขั้วโลกใต้

หลังจากนั้นอีก 20 ปี อาตมาก็มาอีกกับ หลวงน้าโฮม (ท่านเจ้าคุณโฮม วัดปทุมวนาราม) ท่านก็บอกว่า

“อาจารย์ต้องมาสร้างบารมีอยู่ที่นี่ บรรดาเทวดาเจ้าพ่อเมืองแกลงเขาอยู่ที่นี้ เขาจะให้อุปการะ หลวงปู่ครูบาโลกอุดรท่านเสด็จไปแล้ว ท่านก็เคยอยู่ที่นี่”

ตอนที่อาตมามาครั้งแรกยังเป็นป่าทึบอยู่ หลวงพ่อใหญ่ชื่อ หลวงพ่อชื่น จิตฺตวโร เจ้าอาวาสวัดนี้ เป็นพระสายเดียวกัน ท่านเก่งทางวิทยาคม เก่งหลายอย่าง เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อโอภาสี ท่านไปรับอาตมามาอยู่กับท่าน อยู่กันเพียง 2 องค์ เวลาท่านมรณภาพไม่มีเงินติดตัวสักสลึง ! นับจากนั้นอาตมา ก็เริ่มค่อย ๆ ก่อสร้างไปตามกำลัง

เจตนาที่แจก

ผู้เขียนกราบเรียนถามถึงการที่ท่านสร้างพระพุทธรูปแจกไปตามโรงเรียนต่าง ๆ ว่า เนื่องจากเหตุใด ? หลวง พ่อโง่นชี้แจงว่า

“การที่อาตมาแจกพระพุทธรูปตามโรงเรียนต่าง ๆ เป็นจำนวนสองหมื่นองค์ไปแล้วนั้น ก็เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการเขามีเจตนาดี

คืออยากให้นักเรียนชั้นประถมศึกษา ที่มีเวลาเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนเป็นเวลา 6 ปีนี้ ได้มีโอกาสเห็นและสักการะรูปของพระพุทธเจ้า อันเป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา อย่างน้อยก็เป็นการอบรมจิตใจเยาวชนให้มีศีลมีธรรมทางอ้อม

แล้วบุคคลที่ควรจะได้สนองนโยบายนี้ คือใครเล่าโยม ?...ไม่ใช่รัฐบาลนะโยม !

คนที่จะช่วยเหลือให้นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ สัมฤทธิผลควรจะได้แก่ บุคลากรของพระศาสนา เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาสทุกวัด ควรจะร่วมทำขึ้นมาแจกให้โรงเรียนในเขตของตัวเอง ให้นักเรียนได้กราบไหว้ ให้ครูกับนักเรียนกับหลวงพ่อเข้ากันได้

กระทรวงศึกษาธิการเขามีนโยบายไกลถึงปานนี้ เขาดีอย่างนี้ แล้วทำไมพระท่านเห็นโรงเรียนเป็นลูกค้าของท่านไป ท่านสร้างขายเยอะแยะไปโยม ท่านเลยถือเป็นพุทธพาณิชย์ไปโยม อาตมาก็เลยตัดบทเรื่องนี้

เอาของข้าซี ! ของข้าสวยกว่า ไม่ลอก ไม่ดำ เข้าโรงจำนำก็ไม่ได้ ให้ฟรีด้วย !

คุณชวน หลีกภัย สมัยนั้นท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเคยมาหา บอกว่า

“นโยบายนี้ดี ผมอยากทดแทนบุญคุณของหลวงพ่อ ถ้าขาดงบประมาณก็บอกไปนะครับ ผมจะเจียดให้ 2-3 ล้าน”

อาตมาบอกว่า ไม่ต้อง ! เราสร้างด้วยอาศัยพระบารมีของพระพุทธองค์ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายอย่างนี้ ก็ขอให้ฉันถือได้เดี๋ยวนี้ว่า กระทรวงศึกษาธิการของคุณ สร้างเนื้อนาบุญอันไพศาลให้แก่ฉัน...ยอเขาเสียอีก ! คุณชวนก็ดีใจ

พอ คุณมารุต บุนนาค มาแทน เอาใหญ่เลยคราวนี้ จะทำเหรียญตรา จะทำตาลปัตรเป็นงา จะทำอะไรต่ออะไรให้ เพื่อเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของหลวงพ่อ

หลวงพ่อใช้ทุนรอนเหลือเกิน หมดไปประมาณเท่าไหร่หลวงพ่อ

สองร้อยกว่าล้านละมั้ง ทั้งค่าส่ง ค่าปูน ค่าอะไรต่ออะไรด้วย สองร้อยกว่าล้าน ! แล้วโยมจะเอาเหรียญตรา ตาลปัตร เอามาทำไม

อย่าเลยโยม 3 วันเท่านั้น อีกาฉันจิกแตกหมด ! กระทรวงศึกษาธิการอย่าช่วยฉันเลย ให้ฉันช่วยกระทรวงฯ ดีกว่า กระทรวงฯ ช่วยฉันอย่างมหาศาลในทุกวันนี้คือสร้างเนื้อนาบุญอันไพศาลให้แก่ฉันอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

ผู้เขียนกราบเรียนถามท่านถึงการปฏิบัติทุกวันนี้ หลวงพ่อโง่น บอกว่า

“การปฏิบัติของอาตมา คือทำจิตให้ว่าง ลองทำใจให้โง่ ๆ เซ่อ ๆ บ้างซี

ฉันเลี้ยงหมานี่ เลี้ยงให้เป็นครูบาอาจารย์ฉัน กินอิ่มแล้วไม่ดิ้นรนกระเสือกกระสน มันว่าง

อ้ายคนที่ดิ้นรนกระเสือกกระสน น่ะ มันทุกข์

ทรัพย์สมบัติที่จะมีอยู่กับคนน่ะ เราต้องมองดูว่าจิตใจว่างจริงหรือเปล่า ?

อย่างโยมจะไปนอนโรงแรม ก็ต้องถามทางโรงแรมว่า "ว่างไหม” ถ้าว่างแล้วจึงจะนอนได้

ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่กับเราน่ะ เรามันว่างไหม ? แต่ว่างมันไม่มี ! มันอยาก อยู่เรื่อย ! มันจึงไม่เต็ม

ทำใจให้มันว่างเถอะ ให้มันวางเถอะ ให้มันสงบเถอะ มันดีเอง

ข้อนี้เคยสอนใครต่อใครมามากแล้ว คือให้มีมหาสติปัฏฐาน 4 ตลอดเวลา คือ ให้มีสติ ให้รู้อยู่เสมอ อย่าปล่อยให้กิเลสมันเข้ามาครอบงำได้ แล้วจะสบายเอง !

งานเพื่อสังคม

หลวงพ่อโง่น ถอนใจ พลางพูดต่อไปว่า

“คนที่สอนได้ถูกหลักก็คือ ท่านพุทธทาส ท่านสอนถูก อาตมาเองไม่มีเวลา ไม่มีวิชาที่จะไปสอนอย่างท่าน อาตมามีงานประจำอยู่ตลอดเวลา งานเพื่อสังคมอยู่นี่แหละ

1. โรงเรียนสองหมื่นโรงเรียน อาตมารับรองหมด

2. ทางด้านทหารที่อยู่ในร่มเกล้านี่ ล้มตายกันเป็นเบือ เครื่องไม้เครื่องมือเป็นยังไง ก็เข้าไปสำรวจดูว่าเราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร ก็ได้ไปปรึกษากับแม่ทัพเขา แม่ทัพเขาก็ว่า “หลวงพ่อจะช่วยเหลือได้อย่างไร”

อาตมาก็บอกว่า

1. เราต้องมีไฟแห้ง ถ้าเรามีไฟธรรมดาอย่างนี้ เราก็ตายอย่างเดียว เพราะเราอยู่ในที่ต่ำ

2. เครื่องมือเครื่องแพทย์ยังขาดอยู่หลายอย่าง เดี๋ยวอาตมาสั่งให้เอง

เอาไฟแห้งมาลองดูก่อนไหม ? เพราะคุณสมบัติมันมี 2 ประการ

ประการแรก ไม่มีควัน

ประการหลัง ไฟมีแสงสว่างพอ ถ้าอยู่ไกล 1 เส้นจะไม่เห็นแสงเลย

แล้วฉันก็สั่งไฟแห้งมาจากแคนาดา หมื่นก้อน...ส่งมาให้ห้าหมื่นก้อน ! ส่งมาทันควัน !

ไฟแห้งนี้มันมีรูปร่างเป็นแท่ง ทำด้วยหินลิกไนต์

หินลิกไนต์หนักพันตัน สามารถจะหลอมได้ 10 กิโลกรัม แต่การใช้งานเท่ากัน คนที่อยู่ขั้วโลกเหนืออาศัยความอบอุ่นจากไฟแห้งมาตลอด

เมื่อได้ไฟแห้งอ้ายลาวก็ถอยจ๊าก เลย ! เพราะมันไม่เห็นเรา

ครั้งที่สอง อาตมาส่งของไปให้อีก พอเห็นเขาหัวเราะกันก๊ากเลย ! อ้ายนี่มันโกเต็กของผู้หญิงเขา ท่านเอามาทำไม ? ฉันก็บอกว่า

เมื่อฉันไปอยู่กรุงเบรุต เขาสู้รบกันใหญ่ พอเลือดออก เขาเอาผงชูรสแปะ แล้วเอาโกเต็กผู้หญิงพัน เลือดจะหยุดทันที จึงจัดส่งมาให้”

รวมทั้งหมด ฉันส่งโกเต็กไปให้ 50 กล่อง มีดสำหรับผ่าตัดหมื่นเล่ม ไฟแห้งห้าหมื่นแท่ง แล้วฉันก็บอกแม่ทัพภาคว่า

ขออย่าเอาชื่อฉันออกประกาศ ฉันไม่อยากดัง ถ้าเอาชื่อฉันออก เป็นเลิกคบกัน มีแต่ว่าหลวงพ่อจะไปวันไหน แม่ทัพภาคก็จัดเครื่องบินไว้ให้”

พบหลวงพ่อโลกอุดร

หลวงพ่อโง่น เมื่อครั้งไปประเทศเนปาล
และซ้ายสุดที่กล่าวขานกันว่าเป็นพระครูโลกอุดร

หลวงพ่อโง่น โสรโย ได้เล่าถึงการพบหลวงพ่อโลกอุดร ในครั้งที่ท่านไปประเทศเนปาลว่า

“ฉันไปในที่แห่งหนึ่ง เป็นกำแพงมีแผ่นหินอ่อนจารึกอักษรไว้ แล้วข้าง ๆ กำแพงมีท่อทองแดงยื่นออกมาท่อหนึ่ง

เจ้าบุญชุ่มแกบอกว่า “หลวงพ่อ เคยอยู่อุตตรประเทศมาตั้งนาน ถ้าหลวงพ่ออ่านตัวหนังสือเหล่านี้ออก ทุกถ้อยกระทงความแล้วละก็ จะมีน้ำไหลออกมาจากท่อทองแดงทันที”

แถวนั้นไม่มีคนเลย มีแต่รั้วกั้นโดยรอบ ฉันก็อ่านตัวหนังสือที่เขาจารึกไว้

พออ่านจบ แทนที่จะมีน้ำพุ่งออกมา กลับมีพระองค์หนึ่งปรากฏปุ๊บออกมาต่อหน้า โกนหัวเหมือนพระภิกษุเรานี่แหละ ฉันก็คว้าข้อมือไว้ ให้คนที่ไปด้วยถ่ายรูป ถ่ายแล้วล้างฟิล์มอัดออกมากลายเป็นแขก ซ้ำมีผ้าโพกหัวเสีย อีก ! พระองค์นั้น คือ หลวงพ่อโลกอุดร นั่นเอง

เหงียนง๊อกกลายเป็นโง่น

จาก นายทองสุก สิงหเสนี กลาย เป็น หลวงพ่อโง่น โสรโย นั้น ท่านบอกว่ามีสาเหตุจากตอนที่ท่านไปเรียนวิศวะ ประเทศฝรั่งเศส โดยทุนของ

เวียดนาม และได้ปริญญาเกียรตินิยม ทำให้เวียดนามต้องการให้ท่านเป็นนักเรียนของประเทศเขาเต็มตัว จึงเปลี่ยนชื่อท่านจาก ทองสุก เป็น เหงียน ง๊อก ท่านจึงได้ชื่ออยู่ที่นั่น และทางฝรั่งเศสก็ให้บัตรซิติเซ่นไว้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ท่านจะไปฝรั่งเศสไม่ต้องทำวีซ่า

แล้วต่อมาเมื่อกลับมาเมืองไทย เรียกกันไปกันมาอย่างไรก็ไม่ทราบ กลับกลายเป็นโง่นไป ซึ่งท่านก็ยอมรับโดยดุษณี ไม่ว่าอะไร

นั่งสมาธิในหิมะ

ที่นอรเวย์ ขั้วโลกเหนือ นั่งสมาธิอยู่ภายในหิมะ เป็นเวลา 8 ชม.

จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อโง่น โสรโย ที่ผ่านมา ผู้เขียนทราบว่าท่านได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เพราะบิดาบุญธรรมที่อุปการะท่าน ตามใจท่านทุกอย่าง ท่านจึงมีโอกาสเดินทางทั่วยุโรป จากขั้วโลกเหนือไปขั้วโลกใต้ ทั้งเคยไปเรียนที่เวียดนาม ญี่ปุ่น มาแล้ว

ตลอดเวลาการให้สัมภาษณ์ ท่านจะพูดภาษาอังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง แถมเวียดนามให้ฟังอีก แต่ผู้เขียนมีสติปัญญาน้อย จึงไม่สามารถถ่ายทอดภาษาเหล่านั้นให้ท่านผู้อ่านทั้งหลายฟังได้

ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ เมื่อครั้งท่าน เดินทางไปยังขั้วโลกเหนือในครั้งหลังนี้ ท่านอยู่ในสมณเพศแล้ว ท่านเห็นหิมะขาวสะอาด น่านั่งสมาธิ ท่านก็ไปนั่ง ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจ จนฝรั่งที่เห็นอุทานออกมาว่า

“ที่นั่นไม่ใช่คน เป็นผี”

เพราะมิใช่ท่านนั่งเพียงชั่ว 5 หรือ 10 นาที แต่ท่านนั่งอยู่นานถึง 8 ชั่วโมง ! ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดา คงจะแข็งตายไปแล้ว !

รู้หลายภาษา

อาจจะมีบางท่านที่เห็นรูปร่างของหลวงพ่อโง่นแล้ว ไม่เชื่อว่าท่านเดินทางมารอบโลกแล้ว แต่เมื่อเห็นฝรั่งไปนมัสการ ท่านก็พูดโต้ตอบเป็นภาษาของเขา เมื่อญี่ปุ่นไปหา ท่านก็โต้ตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น

หรือแม้แต่เต่าที่มีไข่บนเขารวก ส่งเสียงตามภาษาสัตว์ ท่านก็แปลให้ลูกศิษย์ของท่านฟังได้

ความอัศจรรย์มีในตัวท่านหลายอย่าง ดังจะเห็นจากการก่อสร้างต่าง ๆ ที่ท่านออกแบบแปลน และควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ บนวัดพระพุทธบาทเขารวกเอง หรือที่พิจิตรซึ่งท่านสร้างเป็นรูปจระเข้ขนาดใหญ่โต จนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รับสั่งว่า “น่าเข้าไปนั่งทำสมาธิในนั้น

รูปขันธ์ไม่เปลี่ยนแปลง

ที่น่าประหลาดอีกข้อหนึ่งก็คือ ใครก็ตามที่เห็นหลวงพ่อโง่น เมื่อ 30-40 ปี มาแล้ว จะยืนยันได้ว่า รูปขันธ์ของท่านไม่เห็นเปลี่ยนแปลง อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น

แม้แต่ พล.ต.ต.ถาวร คล่องเชิงศร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการการศึกษา กรมตำรวจ ผู้อนุเคราะห์ความสะดวกในการเดินทางแก่ผู้เขียน ก็ยังยืนยันว่า

“ผมรู้จักท่านตั้งแต่ยังเป็นร้อยโท จนทุกวันนี้ก็เห็นหลวงพ่ออย่างนี้แหละครับ ไม่เห็นแก่ลง ยังแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วว่องไวเหมือนเดิมทุกอย่าง แปลกจริง ๆ”

แต่จากการที่ผู้เขียนอยู่ใกล้ชิดท่าน ขณะยื่นเครื่องอัดเทปไปใกล้ท่านนั้น ผู้เขียนสังเกตเห็นแววตาดำอันเริ่มฝ้าฟางของท่านอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ หลวงพ่อคงจะหลีกเลี่ยง ความเป็นอนิจจังไม่พ้น แม้เนื้อหนังของท่านจะไม่เหี่ยวย่นเหมือนคนชราทั่วไป มิหนำซ้ำยังเดินเหินว่องไวก็ตาม แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ปกปิดความชราไว้ไม่พ้น นั่นก็คือ แววตาของท่าน ที่ผู้เขียนเห็นด้วยตัวเอง !

ไม่ทานเนื้อสัตว์แต่เยาว์วัย

ที่ทราบมาว่า หลวงพ่อโง่น ท่านฉันแต่ผักเป็นอาหารมาแต่เยาว์วัยนั้น ผู้เขียนยังสงสัยอยู่ จึงได้กราบเรียนถามท่าน ได้รับคำตอบว่า

“อาตมาเป็นมาแต่เด็กเล็ก ๆ แล้ว โยม ฉันเนื้อไม่ได้ มันขยะแขยง อดคิดไม่ได้ว่า เนื้อเขาก็เหมือนเนื้อเรา

เมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มเคยไปเยี่ยมญาติของแม่ที่บ้านหมี่ เห็นสาว ๆ ชาวพวนเขาสวย ก็เกิดนึกชอบเขา แต่พอเห็นเขากินไก่เท่านั้น ใจมันห่อเหี่ยวไปเลย

ครั้งไปอยู่ญี่ปุ่นก็เหมือนกัน เกิดไปชอบกับสาวญี่ปุ่นเข้า แต่พอเห็น เขากินปลาดิบเท่านั้น ก็ทนไม่ไหว ความรู้สึกเช่นนี้สวนเกิดขึ้นมาเอง เกิดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำ มันขยะแขยงจริง ๆ โยม

ทุกวันนี้ก็เลยขอฉันแต่อาหารผัก และฉันมื้อเดียวมาหลายสิบปีแล้ว

ขอให้ทำจริง

การปฏิบัติของท่านนอกจากจะ ทำให้จิตว่างอยู่เสมอแล้ว หลังเที่ยงคืน ท่านจะนั่งสมาธิในกุฏิตามลำพังไปจนฟ้าสาง และท่านปฏิบัติเช่นนี้มาช้านาน และสม่ำเสมอตลอดมา

ท่านบอกว่า

“ถ้าจะปฏิบัติจริง ๆ ต้องนั่งสมาธิ ให้ได้วันละ 5 ชั่วโมงซีโยม ยิ่งนั่งนาน ยิ่งได้พิจารณาเห็นธรรมต่าง ๆ

การปฏิบัตินั้นจะทำโดยวิธีใดก็ ตาม ขอให้ทำจริงเท่านั้นเป็นพอ”

เป็นพระต้องทวนกระแส

ท้ายสุด หลวงพ่อโง่น โสรโย กล่าวแก่ผู้เขียนว่า

“พระโลกนาถศาสดาของเรา ท่านมีปราสาทราชมณเฑียรอยู่ถึง 3 ฤดู ท่านยังทิ้งไปบำเพ็ญทุกรกิริยาถึง 6 ปี ท่านก็ทรงเสวยพระกระยาหารของนางสุชาดา เสร็จแล้วเอาถาดทองคำลอยน้ำ ถ้าถาดทองคำนี่ทวนกระแสน้ำได้ก็จะเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้มันเป็นบุคลาธิษฐาน

แต่ถ้า ธรรมาธิษฐาน จริง ๆ วิถี ชีวิตของชาวบ้านกับชาววัดมันทวนกระแสกัน ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โยมต้องเอา เพราะเป็นสิ่งที่เลี้ยงตัวเองกับครอบครัวและวงศ์ตระกูล เงินทอง ลาภยศ ต้องเอา แต่ต้องเอาในทางที่ถูก ยศก็ต้องมี สรรเสริญก็ต้องเอา สุขก็ต้องเอา

แต่พระนี่ทวนกระแสเขา ลาภมี กูไม่เอา ได้มากูก็บริจาคให้คนอื่นหมด ยศกูไม่เอา เพราะเป็นเรื่องของกิเลส สรรเสริญ ใครไม่ต้องมาสรรเสริญ ความสุขนี่อย่าติดซีโยม เพราะ ดวงจิตเรา ถ้ามีทุกข์ มันจะเห็นทุกข์ จิตใจจะเข้มแข็ง ถ้าเจอแต่ความสุขมันจะ อ่อนแอ

ขอขอบพระคุณในความเมตตา

จากการที่ได้นมัสการหลวงพ่อ โง่น โสรโย แห่งวัดพระพุทธบาทเขารวก ในครั้งนี้ ผู้เขียนขอขอบพระคุณ ท่านรอง พล.ต.ต.ถาวร และ คุณทองศรี คล่องเชิงศร ตลอดจนท่านอาจารย์ฐิติประไพ และ ศิษยานุศิษย์ของท่านเป็นอย่างสูง ณ โอกาสนี้อีกครั้ง

และต้องขอประทานอภัยล่วงหน้า ถ้าผู้เขียนไม่สามารถเขียนรายละเอียด เกี่ยวแก่หลวงพ่อโง่น ซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะผู้เขียนมิได้เป็นผู้สัมภาษณ์ตามลำพัง ข้อมูลที่อัดเทปจึงเกิดสับสนจนไม่สามารถนำมาถ่ายทอดให้เรียบร้อยได้

แต่ก็นับว่าเป็นพระคุณแก่ผู้เขียน กับคุณบุญสมฤทธิ์ พึ่งแย้ม ที่ได้รับความเมตตาในทุกทาง จนสามารถเข้านมัสการหลวงพ่อ และได้เนื้อหามาเล่าสู่ให้ท่านผู้อ่านได้ฟังพอสมควร

ถ้าท่านผู้ใดสนใจจะไปนมัสการหลวงพ่อ ทางที่สะดวกที่สุดได้แก่การขึ้นรถไฟไปลงสถานีตะพานหิน แล้วต่อรถแท็กซี่ไปยังวัดพระพุทธบาทเขารวกอีกทอดหนึ่ง เพราะการเดินทางโดยรถยนต์ออกจะไกลเกินไป สำหรับผู้ที่จะไปเช้ากลับเย็น

สำหรับผู้ที่สงสัยในปฏิปทาของท่าน ควรจะเดินทางไปนมัสการด้วยตัวเองเป็นอย่างยิ่ง