#echo banner="" วิริยบารมี ตอนที่ 1 สุจินต์ บริหารวนเขตต์

วิริยบารมี (ตอนที่ ๑)
โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ออกอากาศเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒
http://www.dhammastudy.com/thviriya.html

ก่อนอื่นก็ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาที่ทุกท่านได้สะสมมาแล้ว จึงได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสรู้และได้ทรงแสดง ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยไป ๒๕๐๐ กว่าปี แต่ผู้ที่ได้สะสมกุศลศรัทธาในการฟังพระธรรมก็ยังมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ประการสำคัญที่สุด ก็คือว่า ชาวพุทธย่อมทราบว่าพระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง เป็นธรรมที่คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าพระองค์ ไม่ทรงแสดง ซึ่งธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และกำลังปรากฏอยูทุกขณะ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากแสนยาก ที่จะรู้ได้ เพราะว่าการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงตรัสรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปทุกขณะ ตามความเป็นจริง ซึ่งสามารถที่จะทำให้ผู้ฟังได้ค่อยๆ พิจารณาจนกระทั่งเข้าใจ  แล้วก็สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ถึงแม้ว่าจะได้ฟังธรรมอื่น แต่ว่า(เป็น)ธรรมที่ไม่ไช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้จริงๆ ว่าผู้ที่มีศรัทธา ย่อมเป็นผู้ที่ละเอียด และเห็นว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ดับได้ยาก ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่นึกอยากจะให้อกุศลจิต อกุศลธรรมทั้งหลายหมดไป ก็จะหมดไปได้ แต่ต้องอาศัยพระปัญญาคุณ ที่ทรงอบรมพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ จึงสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม และทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา

เพราะฉะนั้นผู้ที่เริ่มสนใจธรรมะ และคิดว่าคงจะไม่ต้องศึกษาก็คงจะสามารถเข้าใจได้ หรือว่าเพียงเข้าใจพระธรรมเพียงนิดหน่อย ก็สามารถที่จะหมดกิเลสได้ ก็ไม่ถูกต้อง เพราะว่าพระธรรมเป็นสิ่งซึ่งละเอียด เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาก็ต้องศึกษาด้วยความละเอียดจริงๆ

เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้เห็นว่า พระธรรมซึ่งพระองค์ทรงแสดง เป็นสิ่งซึ่งบุคคลอื่น ไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตนเอง ขอกล่าวถึงอดีตชาติ ที่พระผู้มีพระภาคทรงได้รับคำพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกร ซึ่งขอย้อนถอยหลังไปถึงเมื่อสี่อสงไขยแสนกัปป์ ให้เห็นความยากลำบาก กว่าที่จะได้ตรัสรู้ธรรม เป็นสิ่งซึ่งยากจริงๆ และต้องอบรมบารมีจนกว่า พร้อมที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม จึงสามารถที่จะบรรลุ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

ในสมัยที่ทรงพระชาติเป็นสุเมธดาบส เมื่อสี่อสงไขยแสนกัปป์ และทรงได้รับคำพยากรณ์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกรว่า อีกสี่อสงไขยแสนกัปป์ ท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าโคตมะ ผู้ที่ได้รับคำพยากรณ์อย่างนั้น จะรู้สึกอย่างไร อีกสี่อสงไขยแสนกัปป์ แต่ทรงมีพระมหากรุณา ที่จะมีความเพียร ที่จะอบรมเจริญบารมี ความดีทุกประการ เพื่อที่จะได้รู้แจ้ง อริยสัจธรรม เพราะว่าถ้าหากยังมีกิเลสมากๆ และไม่มีการขัดเกลากิเลสเลย ไม่มีทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ส่วนมากบางคนจะคิดว่า ไม่ต้องขัดเกลากิเลส ไม่ต้องอบรมเจริญกุศล เมื่อฟังธรรมแล้วได้ปฏิบัตินิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่นั่นก็ไม่เป็นความจริง เพราะว่าผู้ที่จะรู้ได้ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดเช่นหนทางที่พระโพธิสัตว์ได้ดำเนินมาแล้ว

เมื่อท่านสุเมธดาบสได้รู้ว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำอะไร ท่านใคร่ครวญด้วยปัญญาว่า ธรรมที่เป็นพุทธการกธรรม คือ ธรรมอันทำให้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อได้พิจารณาแล้วก็รู้ว่า ธรรม ๑๐ ประการเป็นพุทธการกธรรม เป็นบารมีที่จะให้ถึงฝั่งจ ากความเป็นปุถุชนไปสู่ฝั่งของการดับอกุศลทั้งปวงได้

เพราะฉะนั้นการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ต้องเป็นสิ่งที่สมควรแก่เหตุ หมายความว่าถ้าเหตุไม่พร้อม ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้

พุทธการกธรรมซึ่งเป็นบารมีที่ ๙ คือ “ทานบารมี” ทุกท่านคงจะชินกับบารมีทั้งสิบ แต่ก็ให้ทราบว่า ทานบารมีเป็นกุศล ซึ่งไม่ได้หวัง สิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าไม่ได้ต้องการภพชาติ ไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่ต้องการแม้เพียงการคุ้นเคยสนิทสนม แต่ต้องเป็นไป ด้วยการ ละการติดข้องในวัตถุทั้งปวง เพราะฉะนั้นทานของแต่ละคนก็สามารถจะพิจารณาได้ ว่าเป็นแนวทางของการที่จะทำให้ละความติดข้อง และสามารถที่จะเจริญปัญญาที่จะเห็นโทษของการติดข้อง แล้วก็อบรมทานบารมีเท่าที่สามารถจะกระทำได้

บารมีที่ ๒ คือ “ศีลบารมี” ก็คือ การละเว้น กาย วาจาที่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ เดือดร้อน ซึ่งศีลเป็นที่ตั้งของกุศลทุกอย่าง เพราะว่าขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นก็ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับบุคคลใดทั้งสิ้น มีแต่จะนำประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น ซึ่งเป็นกุศลประการอื่นๆ ต่อไป

บารมีที่ ๓ คือ “เนกขัมมบารมี” การออกจากความติดข้องในกาม เพราะถึงแม้ว่าจะให้ทานแล้ว แต่ก็ยังมีการติดข้องในสิ่งต่างๆ แล้วถึงแม้ว่าจะมีศีล มีการละเว้นทุจริต ไม่ทำให้กาย วาจาของตนเองทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ก็ยังติดข้องอยู่ในสิ่งต่างๆ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่เห็นโทษว่ามีความติดข้องมาก โดยที่ทานและศีลก็ไม่สามารถจะทำให้ความติดข้องนั้นหมดไป ก็จะมีการเพียรพยายามที่จะค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลาย จากการติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธรรมอื่นๆ ทั้งหลาย เช่น ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตามกำลังที่จะเป็นไปได้ ก็จะเป็นไปได้ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่ว่าใครสามารถจะหมดความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะออกจากเรือนเป็นบรรพชิต ซึ่งเป็นเนกขัมมะอย่างสูง คือ การสละอาคารบ้านเรือน แต่ถ้าปัญญาไม่ได้อบรมพอ และบารมีทั้งหลายไม่อบรมพอ ก็ไม่สามารถที่จะคลาย ความติดข้องได้ ซึ่งความติดข้องกันมานานแสนนาน กว่าจะละได้ก็ต้องใช้เวลาที่นานมาก ในการจะละความติดข้องได้ เพราะว่าผู้ที่จะละความติดข้อง ในทุกสิ่งทุกอย่าง ในภพ ในชาติ ในการเกิด ต้องเป็นผู้ที่เห็นโทษของความติดข้องในรูปที่กำลังปรากฏทางตา ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตลอดทุกภพทุกชาติ ติดข้องอยู่ตลอดถ้าไม่มีปัญญาหรือบารมีที่ได้อบรมมาจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะละความติดข้องได้

ถ้าตราบใดยังไม่มีความรู้สึกว่า ความติดข้องในภพ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับคนที่อยู่ในที่คุมขัง ซึ่งไม่มีทางที่จะออกไปจากความติดข้องในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย ก็จะไม่มีการพากเพียรที่จะอบรมบารมีที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้

เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องใหญ่ที่พุทธศาสนิกชนต้องฟัง แล้วใคร่ครวญพิจารณาด้วยความละเอียดจริงๆ

บารมีที่ ๔ คือ “ปัญญาบารมี” ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เห็น เข้าใจถูก รู้ถูกตามสภาพความเป็นจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ปัญญาจะมีได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเพียรที่จะพยายามฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียรอย่างอื่นไม่สามารถที่จะเกิดปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

นี่คือความเพียรของผู้ที่เป็นสาวก คือ ผู้ฟัง แต่ถ้าเป็นความเพียรของผู้ที่อบรมถึงขั้นของผู้ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียรอย่างอื่น ไม่สามารถที่จะเกิดปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ซึ่งท่านสุเมธดาบส ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้สอนตนเองอย่างนี้ว่า

ท่านไม่พึงเว้นชนชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูงไรๆ เข้าไปหาบัณฑิตทุกท่าน แล้วถามปัญหาเช่นเดียวกับอาหารบิณฑบาตไม่เว้นตระกูลทั้งหลายเลย ทั้งตระกูลชั้นต่ำ ตระกูลชั้นกลาง ตระกูลชั้นสูง

นี่แสดงให้เห็นถึงความเพียรของบุคคลผู้ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า แม้ปัญญาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโดยการฟัง ไม่ว่าจะฟังใครมา ทั้งนั้น ก็จะต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความเห็นถูก เป็นความเข้าใจถูกจากการฟัง จึงจะเป็นผู้ที่เป็นพหูสูต คือผู้ที่ฟังมาก ไตร่ตรองมาก

เมื่อท่านสุเมธดาบสได้ฟังคำพยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรแล้ว ท่านก็ได้เฝ้า และฟังพระธรรม จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๒๓ พระองค์ ซึ่งรวมทั้งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกรด้วยแล้ว ก็เป็น ๒๔ พระองค์ ก็เป็นเวลาที่ยาวนานมาก เป็นจิรกาลภาวนา

บารมีที่ ๕ คือ “วิริยบารมี” ความเพียรไม่ท้อถอยในสิ่งที่แม้จะยากลำบากสักเท่าไรก็ตาม ซึ่งทุกคนที่เพียรในเรื่องอื่น มีความสามารถในเรื่องอื่น มาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ไม่มีอะไรที่จะยากกว่าความเพียร ที่จะละความชั่ว ประพฤติดี และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากอกุศล เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จทุกอย่างทั้งในทางโลกและทางธรรม ถ้าไม่มีความเพียรแล้ว ไม่มีทางจะสำเร็จได้เลย แต่ความเพียรในทางโลก ซึ่งเต็มไปด้วย ความต้องการ กับความเพียรในกุศล ซึ่งจะขัดเกลากิเลส ความเพียรในกุศลเพื่อขัดเกลากิเลส ก็ย่อมจะต้องมีความเพียรมากกว่า เพราะว่าปกติแล้ว ก็เป็นผู้ที่เพียรในอกุศล เป็นผู้ที่เพียรในอกุศลคือ เพียรด้วยความติดข้อง ต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ซึ่งทุกคนก็พิสูจน์ได้ว่า เพียรอย่างนี้มาโดยตลอด คือเพียรที่จะได้รูป ด้วยความต้องการในรูปนั้น เพียรที่จะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข เพราะว่า กว่าจะมีกำลัง ในความเพียรที่จะละ ไม่ใช่เพียรที่จะได้ แต่เพียรที่จะละความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส ในทุกอย่าง ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญสุข ก็จะเห็นได้ว่าต้องเป็นเวลาที่ยาวนานมาก กว่าจะเปลี่ยนความเพียรในอกุศลเป็นความเพียรที่เป็นกุศล

ขอกล่าวถึงความเพียรอย่างยิ่งยวดของพระโพธิสัตว์ในพระชาติที่เป็นพระมหาชนก

พระมหาชนกได้ทูลลาพระมารดา แล้วลงเรือเพื่อไปค้าขายสินค้าที่เมืองไกลคือ ในสุวรรณภูมิ ในระหว่างทางเกิดพายุใหญ่ คลื่นซัดจนเรือจวนจะแตก เมื่อพระมหาชนกทรงทราบว่าเรือจะจม ก็เสวยอาหารจนอิ่ม แล้วทรงนุ่งผ้าที่ทรงชุบน้ำมันจนชุ่มอย่างแน่นหนา เมื่อเรือจม ผู้ที่อยู่ในเรือก็จมน้ำ เป็นอาหารของสัตว์น้ำไป แต่พระมหาชนกทรงมีกำลังจากอาหารที่เสวย และผ้าทรงที่ชุบน้ำมันจนชุ่ม ก็ทำให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ดี ป้องกันภัยจากสัตว์น้ำทั้งหลายได้ พระองค์ทรงมีความเพียร ไม่ย่อท้อ ทรงว่ายน้ำอยู่ในทะเลนานถึง ๗ วัน นางมณีเมขลาซึ่งเป็นเทพธิดา เห็นเช่นนั้นก็ลองพระทัย โดยถามว่า “ใครหนอ ว่ายน้ำอยู่ได้ถึง ๗ วันทั้งๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง ก็จะทนว่ายไปทำไม”

พระมหาชนกตรัสตอบว่า “ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไป จนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง”

นางมณีเมขลากล่าวว่า “มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นัก ท่านจะพยายามว่ายสักเท่าไรก็คงไม่ถึงฝั่ง ท่านคงจะตายเสียก่อนเป็นแน่”

พระมหาชนกตรัสตอบว่า “คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะที่กำลังทำความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว”

นางมณีเมขลาถามต่อว่า “การทำความพยายามโดยมองไม่เห็นทางบรรลุเป้าหมายนั้นมีแต่ความยากลำบาก อาจจะถึงตายได้ จะต้องเพียรพยายามไปทำไมกัน”

พระมหาชนกตรัสว่า “แม้จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังกระทำนั้น ไม่อาจสำเร็จก็ตาม ถ้าไม่เพียรพยายาม แต่กลับหมดความเพียรเสีย ย่อมได้รับผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวันบรรลุถึงจุดหมายที่ต้องการ บุคคลควรมีความเพียรพยายามแม้การนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ในทะเลนี้เมื่อคนอื่นตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามจนสุดกำลังเพื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้”

นางมณีเมขลาได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญความเพียรพยายามของพระมหาชนก และอุ้มพระมหาชนกไปจนถึงฝั่งเมืองมิถิลา

นี่เป็นพระชาติหนึ่งซึ่งจะได้เห็นความเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งยาก เพราะว่าเพียงการเพียรข้ามมหาสมุทร ถ้ายังทำไม่ได้ การเพียรที่จะข้ามโอฆะ คือห้วงน้ำของกิเลสจะมีได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นกว่าจะอบรมคุณธรรมทางฝ่ายที่เป็นบารมีที่จะให้ถึงฝั่ง ไม่ใช่เรื่องที่เล็กน้อยเลย เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่าทุกคนกำลังมีกิเลส แล้วจะให้ละกิเลสที่กำลังมี กำลังเกิดขึ้น แม้เพียงในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เช่น ขณะที่กำลังสนุกสนานรื่นเริงด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม บอกว่าหยุดเสียอย่าต้องการ เลิกเสีย ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์หรืออะไรก็ตาม ใครทำได้ในขณะนั้น ในขณะที่โลภะกำลังเกิดขึ้นเกี่ยวข้องในสิ่งนั้น

เพราะฉะนั้นชีวิตในแต่ละวันก็เป็นอย่างนี้ คือ มีความติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจะให้ละความติดข้องในสภาพที่กำลังติดข้องนั้น ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมไม่สามารถที่จะละอกุศลได้ และการละอกุศลได้ก็ต้องเป็นไปตามลำดับ ไม่ใช่ตามความต้องการว่าจะละโลภะก่อน แต่จะต้องละตามลำดับขั้นของอกุศล ละความเห็นผิดที่เห็นว่าสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

บารมีที่ ๖ คือ “ขันติบารมี” ไม่พอเลยแม้ว่าจะมีบารมี ๕ ประการแล้ว ก็ยังไม่พอที่จะทำให้สามารถที่จะดับกิเลสได้ ต้องอาศัยบารมีอื่นประกอบอีก คือ บารมีที่ ๖ ขันติบารมี ความอดทนต่อความทุกข์ ความสุข ความยากลำบาก อดทนในการยกย่อง ในการดูหมิ่นของคนทั้งปวงได้เพื่อละความติดข้องในตัวตน เพราะว่าเมื่อยังมีเรา ก็ยังต้องติดข้องในคำสรรเสริญ ในการยกย่อง หรือว่ามีความขุ่นเคืองใจ เมื่อผู้อื่นดูหมิ่น เพราะฉะนั้นความอดทน ต้องอดทนทุกอย่างในชีวิต ทั้งในสุข ทั้งในทุกข์ ทั้งในความยากลำบากต่างๆ

อุปมาเหมือนกับแผ่นดินซึ่งต้องอดทนต่อสิ่งที่เขาทิ้งลงมา ทั้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง เพราะฉะนั้น ชีวิตของทุกท่านในระหว่างที่กำลังฟังธรรม ก็จะต้องมีความอดทนที่จะต้องเพียรต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าจะในชาติไหน จะได้รับสุข ทุกข์อย่างไร หรือว่าจะมีความทุกข์ยากต่างๆ อย่างไร

สำหรับชีวิตในชาตินี้ ก็อาจจะเห็นได้ว่า ถ้าขณะที่กำลังเพลินไป ขณะนั้นไม่ทำกุศล เพราะฉะนั้นกำลังติดข้อง คิดว่าจะทำ แต่ถ้าอกุศลจิตเกิด ไม่ทำแล้ว ไปเที่ยว หรือว่าทำอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่การกุศล

บารมีที่ ๗ “สัจจบารมี” เป็นผู้ที่ตรงและจริง ไม่ทำและพูดสิ่งที่ผิดจากความจริง เวลาที่ทำความดีกับใครก็ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เพราะว่าเป็นเรื่องความจริงของการที่ทำดีจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ว่าหลอกลวงหรือเสแสร้ง เพราะว่าถ้าเป็นการกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น แต่ว่าทำไปด้วยความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ ในขณะนั้นก็เหมือนการเสแสร้งหรือเป็นการหลอกลวง เพราะว่าเป็นการทำเพื่อหวังประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่เพื่อหวังประโยชน์ของคนอื่น

ซึ่งเรื่องของ “สัจจะ” ความเป็นผู้ตรง มีข้ออุปมาว่า เสมือนยาชนิดใดก็แก้โรคชนิดนั้น ไม่ว่าจะเป็นขิง ดีปลี ก็รักษาตรงต่อโรคนั้นๆ ไม่ออกนอกทางไปทางอื่น คือแล้วแต่ว่าเป็นยาประเภทใด ก็รักษาตามลักษณะของโรคประเภทนั้นๆเพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดที่หวังจะให้กุศลเป็นบารมี การทำกุศลก็ต้องเป็นการตรงเพื่อกุศลจริงๆ ไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น

บารมีที่ ๘ คือ “อธิษฐานบารมี” เป็นผู้ที่มั่นคงในการเจริญกุศลในการขัดเกลากิเลส เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งบางคนอาจจะมีความคิดที่จะเจริญปัญญา หรือว่ามีความตั้งใจว่าชาตินี้หรือชีวิตนี้ จะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์อย่างไร แต่ถ้ามีอกุศลเกิดขึ้นเมื่อไร ความมั่นคงของกุศลนั้นก็จะคลอนแคลนได้ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีความมั่นคงจริงๆ ในชีวิตที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำกุศลประเภทใด ก็เป็นผู้ที่ไม่คลอนแคลนในการที่จะให้ชีวิตดำเนินไป ตามความต้องการที่จะขัดเกลากิเลส ซึ่งในข้อนี้อุปมาว่า

แม้ลมพัดมากระทบทุกทิศก็ไม่คลอนแคลนสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจที่มั่นคง

เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตนเองจริงๆ ในเรื่องของการขัดเกลากิเลส ในเรื่องของการที่จะถึงฝั่ง คือ การดับกิเลสได้

บารมีที่ ๙ คือ “เมตตาบารมี” คำนี้ใช้กันบ่อยๆ แต่ว่าจิตที่เมตตานั้นเกิดบ่อยมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าทุกคนใช้คำต่างๆ ได้ แต่ต้องพิจารณาสภาพจิตจริงๆ ว่า เมื่อเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ควรที่จะมีความเมตตา คือ มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดีที่จะเกื้อกูลบุคคลอื่น ชีวิตประจำวันเป็นอย่างนี้บ้างหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพียงสิ่งซึ่งใช้คำนี้ให้ทุกคนมีเมตตาต่อกัน ให้ทุกคนมีแต่ว่า ในขณะที่ตนเองกำลังประสบกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด ก็อาจจะลืมพิจารณาว่า ขณะนั้นมีเมตตาหรือเปล่า

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะพิจารณาก็คือว่า ถ้ามีการเมตตากับคนที่เป็นคนดี มีประโยชน์เกื้อกูลก็ไม่ยาก แต่ว่าการที่จะมีเมตตาต่อคนที่ไม่มีประโยชน์เกื้อกูล คนที่ไม่ดีนั้น รู้สึกว่าจะทำได้ยาก แต่เมตตาไม่ควรจะจำกัด เพราะว่าผู้ที่อบรมเจริญเมตตาก็จะต้องเมตตาไปหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดี หรือว่าเป็นคนชั่ว ไม่ใช่ว่าเป็นคนชั่วแล้วก็ไม่เมตตา เมตตาแต่เฉพาะคนดี ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่เป็นบารมี เพราะว่าไม่สามารถจะชำระความขุ่นเคืองใจของตนเองได้ ในขณะที่ไม่เมตตาคนอื่น ขณะนั้นก็ยังคงมีความขุ่นเคืองในบุคคลนั้น อุปมาเหมือนกับน้ำที่ย่อมเอิบอาบ ทำความเย็นแก่ที่ๆ น้ำผ่านไป บุคคลใดก็ตามที่มีความเมตตาแก่คนทั้งปวง ไม่ว่าจะพบเห็นบุคคลใด ทั้งคนดีและคนชั่ว ขณะนั้นจึงจะเป็นเหมือนกับน้ำที่เอิบอาบ ทำความเย็นแก่ทุกคนที่ผ่านไปในชีวิต ซึ่งขณะนั้นก็ทำให้จิตคลายจากอกุศลคือโทสะ เพราะว่าถ้าขณะใดที่เมตตาไม่เกิด ขณะนั้นก็อาจจะขุ่นเคืองในบุคคลอื่นได้

บารมีที่ ๑๐ คือ “อุเบกขาบารมี” เป็นสิ่งที่เพิ่มความยากขึ้น อุเบกขาบารมีหมายความถึงความเป็นกลาง ทั้งในสุขและทุกข์ คือไม่หวั่นไหว เห็นว่าสุขและทุกข์ก็เหมือนกัน คือเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของความสุขและความทุกข์ได้เลย เพราะทุกอย่างเป็นธรรมะ สำหรับผู้ที่มีอุเบกขาก็เสมือนกับผู้ที่ถือตาช่าง ซึ่งสุขและทุกข์ และตราชั่งนัยก็ตรงกัน คือ เสมอกัน ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์

นี่ก็เป็นสิ่งที่จะเห็นได้ว่า แม้ว่าทุกคนจะรู้จักบารมีทั้ง ๑๐ เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าชีวิตจริงๆ ไม่ใช่สามารถที่จะมีบารมีได้ทุกโอกาส เพราะยังมีอกุศลมากที่จะต้องอาศัยบารมีหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้เลย คือ “วิริยบารมี” ถ้าใครรู้ว่าสิ่งใดดี แต่ไม่มีความพากเพียรที่จะทำ ยังไงก็สำเร็จไม่ได้ แต่ถ้ารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วไม่ท้อถอย ยังเพียรต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ที่อีกยาวนาน กว่าทุกคนจะหมดกิเลสได้ ต้องรู้ว่า บารมีหนึ่งที่สำคัญที่เกื้อกูลบารมีทั้งหลายก็คือ วิริยบารมี ซึ่งตามความเป็นจริง เมื่อได้ศึกษาพระธรรมแล้วก็จะได้ทราบว่า “วิริยะ” ในชีวิตเกิดขึ้นเกือบทุกขณะ ความเพียรเกิดขึ้นกับจิตเกือบทุกประเภท คือ หลังจากที่เห็นมีความเพียรเกิดขึ้นแล้ว หลังจากที่ได้ยินมีความเพียรเกิดขึ้นแล้ว ในขณะที่เห็นแล้วคิด ขณะที่คิดมีความเพียรเกิดร่วมด้วย คือ คิดดีหรือคิดไม่ดี

หลังจากที่ได้ยินแล้วก็คิด ในขณะที่คิดหลังจากที่ได้ยินก็มีความเพียรเกิดร่วมด้วยในขณะที่คิดดีหรือไม่ดี

เพราะฉะนั้นในชีวิตวันหนึ่งๆ นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ก็มีความเพียรเกิดร่วมกับความคิดตลอดมา แต่ความเพียรในชีวิตประจำวันเป็นความเพียรที่เป็นไปกับความเป็นอยู่ ไม่ว่าจะในเรื่องของทางโลก ในการอาชีพต่างๆ แล้วก็เพียรตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เป็นไปในเรื่องของชีวิตในความเป็นอยู่ซึ่งไม่แต่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว หลายๆ ชาติ ตลอดกี่แสนชาติ แสนโกฏิกัปป์มาแล้ว ความเพียรที่เกิดหลังจากเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้กลิ่น ลิ้มรสแล้ว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว ก็เพียรไปเพียงในเรื่องความเป็นอยู่ของชีวิตในวันหนึ่งๆ

ดังนั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็จะเห็นได้แล้วว่ากว่าจะค่อยๆ เพิ่มวิริยะความเพียร จากความเพียรในอกุศล เป็นความเพียรในกุศล จากความเพียรที่เป็นมิจฉาชีพ หรือมิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะจากอกุศลกรรมทั้งหลาย เป็นความเพียรที่ค่อยๆ เป็นในกุศลธรรมทั้งหลาย จนกว่าจะเป็นความเพียรในโพธิปักขิยธรรม

นี่จะเห็นได้ว่า ธรรมทุกอย่างจะต้องค่อยๆ เจริญขึ้น ถ้าเป็นทางฝ่ายอกุศลที่สะสมมาแล้ว ก็เป็นไปตามกำลังของอกุศลนั้นๆ ซึ่งไม่ใช่การสะสมฝ่ายกุศล เพราะฉะนั้นธรรมฝ่ายอกุศลก็ย่อมมีกำลังมาก ซึ่งต้องอาศัยความเพียรอย่างมากในทางฝ่ายกุศลจึงจะค่อยๆ เพียรตามความเป็นจริงในชีวิตว่า หลังจากที่ได้ฟังพระธรรมแล้วไม่กล่าวถึงในชาติก่อน เฉพาะในชาตินี้มีความเพียรในทางกุศลเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ซึ่งแต่ละคนก็จะรู้จักตนเองตามความเป็นจริงว่า ถ้าขาดความเพียรเสียอย่างเดียว ไม่มีทางที่จะละอกุศลได้เลย แล้วจะได้เห็นกำลังของความเพียรค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากกุศลที่เป็นไปในชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถึงการอบรมเจริญปัญญาที่เป็นธรรม ที่เป็นฝักฝ่ายในการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ต้องใช้กาลเวลานานมาก คือ ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม เพียรฟัง เพียรพิจารณาให้ถูก เพียรอบรมเจริญปัญญา เพราะว่าในขณะที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นละอกุศลทีละเล็กทีละน้อย แต่ยังไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าความเพียรนั้นยังไม่เป็นไปในธรรมที่เป็นไปในโพธิปักขิยธรรม คือ เป็นธรรมที่เป็นส่วน หรือเป็นฝักฝ่ายในการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม