#echo banner="" คุณถาม เราตอบ ๑ อมรา

คุณถาม เราตอบ ๑
อมรา-วารี

คัดลอกจาก : http://www.dhammastudy.com/thq&a1.html

From: "amarin olarn" <amarinolarn@hotmail.com>
To: Kesinee@dhammastudy.com
Date: Thu, 02 Mar 2000 10:34:59 GMT

กรุณาตอบคำถามของคุณกัลยาด้วยว่า "เราเกิดมาทำไม?"
ขอขอบคุณ โอฬาร

เราเกิดมาทำไม

เนื่องจากว่าเป็นคำถามที่สั้นมาก ก่อนจะตอบคำถามนี้คงต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า ผู้ถามต้องการถามในแง่ใด คำว่า "เพื่ออะไร" มีนัยว่าอย่างไร มีนัยว่าเพื่อทำอะไร เพื่อประโยชน์อันใด หรือเป็นข้อกังขาว่าเกิดมาทำไม ไม่เกิดน่าจะดีกว่า อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสามอย่าง คำตอบนี้ขอถือว่าเป็นคำตอบของนัยแห่งคำถามสามอย่างนี้ หากว่าเข้าใจคำถามของท่านผิดไป ก็ขออภัย และขอความกรุณาท่านถามมาใหม่นะคะ

หากท่านอยากจะทราบว่าคนเราเกิดมาควรจะทำอะไรบ้างจึงจะสมกับที่เกิดมา ท่านก็คงจะได้รับฟังมาแล้วว่าการเกิดเป็นมนุษย์นี้ยากนัก เมื่อชีวิตหนึ่งละจากภพหนึ่งชาติหนึ่งไป โอกาสที่เกิดในภพภูมิอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์มีมากมายกว่านักหนา ข้อดีที่สุดของการเกิดเป็นมนุษย์ก็คือโอกาสศึกษาพระธรรมให้รู้แจ้งจนเข้าถึงพระนิพพานได้ ภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ก็ทุกข์ทรมานเกินไป ภพภูมิที่สูงกว่าก็สุขสบายเกินไป หรือดำรงอยู่ยาวนานเกินไปจนเห็นทุกข์ของสังสารวัฏได้ยาก แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตรัสรู้ในพระชาติที่เป็นมนุษย์ เมื่อเราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว โดยเฉพาะได้มีโอกาสฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ก็สมควรจะได้ใช้โอกาสอันหาได้ยากยิ่งนี้เจริญสติปัฏฐาน อบรมปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้ไม่ได้รู้แจ้งเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ ก็สั่งสมเป็นพืชเชื้อไว้เพื่อการรู้แจ้งในชาติต่อๆ ไป

หากท่านสงสัยว่าคนเราเกิดมาเพื่อประโยชน์อันใด ดูไม่น่าจะมีประโยชน์ บางทีจะมีโทษมากกว่า ไม่น่าจะให้มีมนุษย์เกิดขึ้นมา กำเนิดของสิ่งต่างๆ มิได้เป็นไปเพราะมีผู้ลิขิตหรือบงการให้เป็นไปเช่นนั้นเช่นนี้แต่ว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย กรรมที่ทำไว้ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลเป็นปัจจัยให้จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้น และทุกครั้งที่จิต เจตสิก รูปดับไป ก็มีปัจจัยให้จิต เจตสิก รูปอื่นๆ เกิดต่อทันที ตราบใดที่ยังมีปัจจัยให้เกิด ก็ต้องเกิด เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้มานานจนนับไม่ได้ ถ้าจะถือตามทางโลกก็คงจะได้ทำสิ่งอันเป็นคุณมาแล้วเป็นอเนกอนันต์และก็อาจจะได้ทำสิ่งอันเป็นโทษมาแล้วมากเหมือนกัน คงจะได้เกิดมาแล้วทั้งในสวรรค์อันสูงสุด และทั้งในอบายภูมิที่ต่ำที่สุด ความเป็นภพไหนชาติไหนไม่สำคัญเลย สำคัญที่ว่าเราตระหนักหรือไม่ว่าสังสารวัฏนี้เป็นสิ่งที่ควรละ หากเราเห็นโทษของการเกิดจริง อยากจะละจริง เราก็จะละได้ด้วยการเข้าถึงพระนิพพาน ผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานแล้วคือพระอรหันต์ พระอรหันต์ละได้ทั้งกุศลและอกุศล ตัดปัจจัยทั้งปวงที่ทำให้เกิดเสียได้ นิพพานคือสภาพที่ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดก็ไม่ดับ

ผู้ที่เกิดข้อกังขาว่าคนเราเกิดมาทำไมนั้นบางคนเป็นเพราะรู้สึกว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ อยากไปให้พ้นๆ ข้อสำคัญคือเรารู้จักทุกข์หรือไม่ ไตรลักษณ์หรือลักษณะสามของสังขารธรรมทั้งหลาย ได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร ความทุกข์ไม่ใช่สภาพที่ไม่ชอบใจ ความเดือดร้อน ความกังวลหม่นหมองเศร้าสร้อย ลักษณะเช่นนั้นศัพท์ทางพุทธศาสนาคือโทสะ ถ้าสิ่งที่ทำให้ท่านเกิดความรู้สึกต่างๆ ดังกล่าวนี้หมดไป ท่านจะยังเห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์หรือไม่ ทุกขังที่เป็นลักษณะของสังขารธรรมทั้งปวงนั้นคือสภาพที่คงอยู่ไม่ได้ ต้องแปรเปลี่ยนไป ต้องเกิดต้องดับอยู่ตลอดเวลา อันที่จริงแล้วที่เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏมาเป็นเวลายาวนานนี้ เพราะความติดในภพ คือ ความมี ความเป็น หรือการเกิด ความพอใจในการเกิดนี้มีอยู่ในทุกชาติ แม้แต่ผู้ที่เกิดในนรกขั้นต่ำสุด เมื่อปฏิสนธิจิตเกิด ความพอใจที่ได้เกิดก็มีขึ้นทันที ความพอใจนี้ละได้ยากนัก ต้องอาศัยพระปัญญาคุณอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจะทรงเห็นและทรงละได้ พระพุทธองค์ทรงเทศนาสั่งสอนให้เราละคลายจากความผูกพัน ถอนจากความยึดมั่น หน่ายจากกาม ให้เห็นโทษของกาม และทรงแสดงทุกข์ เหตุอันเกิดทุกข์ การดับทุกข์ และหนทางปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ เมื่อเราทำได้ตามที่พระองค์ทรงชี้ทางให้เห็นแล้ว เมื่อนั้นแหละเราจะพ้นทุกข์ได้จริงๆ

อมรา-วารี

7 March 2000