#echo banner="" จิตตสังเขป บทที่ 16 สุจินต์ บริหารวนเขตต์

จิตตสังเขป
โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์
http://www.dhammastudy.com/thpar17.html

บทที่ ๑๖

ลักษณะของจิตประการที่ ๕ ชื่อว่า "จิต" เพราะการทำให้วิจิตร

ข้อความในอัฏฐสาลินีอรรถกถา มีว่า ชื่อว่า "จิต" เพราะการะทำให้วิจิตรอย่างไร จริงอยู่ ธรรมดาว่าความวิจิตรอื่นจะยิ่งไปกว่าจิตรกรรม ย่อมไม่มีในโลก ธรรมดาว่าลวดลายในจิตรกรรมนั้นๆ ก็เป็นความวิจิตร คือ เป็นความงดงามอย่างยิ่งทีเดียว พวกช่างลวดลาย เมื่อกระทำกิจกรรมนั้น ย่อมเกิดจิตสัญญาว่า รูปทั้งหลายชนิดต่างๆ เขาพึงกระทำ ณ ตรงนี้โดยอุบายอย่างนี้ การกระทำให้วิจิตรทั้งหลายที่ให้สำเร็จกิจ มีการเขียน มีการลงสี การทำสีให้เรื่องรอง และการสับสี เป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยสัญญาอันวิจิตร รูปอันวิจิตร อย่างใดอย่างหนึ่งในความวิจิตร คือ ลวดลาย ย่อมสำเร็จ มาจากการกระทำอันวิจิตรนั้น เพราะฉะนั้น ศิลปะอันวิจิตรทุกชนิดในโลก อันจิตนั่นเองคิดว่า รูปนี้จงอยู่บนรูปนี้ รูปนี้จงอยู่ใต้ รูปนี้จงอยู่ตรงข้ามทั้งสอง ดังนี้แล้ว จึงกระทำเหมือนรูปอันวิจิตร ที่เหลือย่อมพึงสำเร็จได้ด้วยกรรม อันช่างคิดไว้ แม้จิตที่ให้สำร็จความวิจิตรนั้น ก็ชื่อว่าจิต อย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเป็นธรรมชาติวิจิตรด้วยการกระทำนี้ ดังพรรณามาฉะนี้

อีกอย่างหนึ่ง จิตนั่นเองชื่อว่า วิจิตร แม้กว่าลวดลายในจิตรกรรมนั้น เพราะให้สำเร็จจิตรกรรมตามที่จิตคิดทุกชนิด

นี่เป็นเพียงส่วนปลีกย่อย คือ ความวิจิตรของจิตรกรรมแค่ความวิจิตรของกรรมที่ทุกท่านกระทำในวันหนึ่งๆ ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง ที่เป็นกุศลกรรม เป็นทานบ้าง ศีลบ้าง เป็นการอบรมเจริญภาวนาบ้าง หรือที่เป็นอกุศลกรรม เป็นปาณาติบาตบ้าง อทินนาทานบ้าง ก็ย่อมจะวิจิตรมากมาย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะของจิตซึ่งวิจิตร รูปธาตุภายนอกที่วิจิตรโดยเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ เป็นดอกไม้ ใบไม้ พันธุ์ต่างๆ เป็นวัตถุ ภูเขา แม่น้ำต่างๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดเพราะส่วนผสมของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งมีลักษณะที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ไหลหรือ เกาะกุม ระดับต่างๆ ทำให้ปรากฏเป็นสิ่งที่วิจิตรต่างๆ แต่สิ่งที่วิจิตรกว่ารูปธาตุภายนอกก็คือจิต เพราะว่าจิตเป็นสภาพที่กระทำให้วิจิตร

อกุศลกรรมที่วิจิตรเป็นปัจจัยให้สัตว์ดิรัจฉานมีรูปร่างวิจิตรต่างๆ กันมาก บางประเภทก็มี ๒ เท้า บางประเภทก็มี ๔ เท้า บางประเภทก็มีเท้ามาก บางประเภทก็ไม่มีเท้าเลย บางประเภทก็อยู่ในน้ำ บางประเภทก็อยู่บนบก และกุศลกรรมที่วิจิตรก็ทำให้มนุษย์วิจิตรต่างกันไปโดยเพศ โดยรูปร่างหน้าตา ซึ่งทำให้เกิดโวหาร คือ คำพูดที่แสดงลักษณะอาการของสภาพธรรมทั้งหลายตามที่ปรากฏ คำพูดมีมาก ภาษาที่พูดถึงสิ่งต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเพราะมีสิ่งต่างๆ ที่วิจิตรมากเพียงไรก็ทำให้เกิดโวหารเพื่อที่จะเรียกสิ่งที่ปรากฏที่วิจิตรเพียงนั้น และคำพูดก็ไม่มีวันหมดไม่มีวันจบ เพราะว่าสิ่งซึ่งจิตกระทำให้วิจิตรเกิดขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น จึงต้องบัญญัติคำพูดเรียกสิ่งที่จิตทำให้วิจิตรมากขึ้นๆ

ในวันหนึ่งๆ ให้ทราบว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเห็นอะไร หรือว่าไม่ว่าจะพูดอะไร ย่อมแสดงให้เห็นความวิจิตรของจิตซึ่งกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้วิจิตร พระผู้มีพระภาคตรัสให้ระลึกถึงลักษณะของจิตในขณะนี้เมื่อเห็นความวิจิตรต่างๆ ซึ่งจิตกระทำให้วิจิตร จิตในขณะนี้เดี๋ยวนี้เอง กำลังกระทำให้วิจิตรต่อไปข้างหน้าอีก และไม่ควรคิดถึงความวิจิตรของสิ่งภายนอกที่จิตกระทำให้วิจิตรเท่านั้น พระผู้มีพระภาคตรัสให้ระลึกรู้ ลักษณะของจิตที่กำลังเป็นไปในขณะนี้เป็น จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การที่จะรู้ลักษณะของจิตต้องรู้ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังนึกคิด ซึ่งต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดใน ๖ ทวาร

ทุกท่านคิด ขณะที่จิตคิดถึงเรื่องใด เรื่องนั้นก็มีชั่วขณะที่จิตกำลังคิดนึกถึงเรื่องนั้น จิตเป็นสภาพคิด ถ้าไม่พิจารณาจิตในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ หรือกำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ กำลังได้กลิ่นเดี๋ยวนี้ กำลังลิ้มรสเดี๋ยวนี่ กำลังกระทบสัมผัสโผฏฐัพพะ หรือกำลังคิดนึกเดี๋ยวนี้ แล้วจะรู้ลักษณะของจิตได้ขณะไหน

ข้อความในสังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค คัททูลสูตรที่ ๒ ข้อ ๒๕๙ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ เพราะจิตผ่องแผ้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย จิตที่ชื่อว่าจรณะ (เที่ยวไป) เธอทั้งหลายเห็นแล้วหรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล้ว พระเจ้าข้า

จิตเที่ยวไปอย่างไร ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายกระทบสัมผัส ทางใจคิดนึกทุกท่านรู้สึกว่าจะชอบเที่ยว ไม่มีใครชอบอยู่ซ้ำซากจำเจที่หนึ่งที่ใด เพราะว่าต้องการเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสโผฏฐัพพะต่างๆ ฉะนั้น จิตจึงเกิดขึ้น เที่ยวไป ในอารมณ์ ทางทวารต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่อยู่นิ่ง มีจิตของใครอยู่ นิ่ง ๆ ได้บ้าง ถ้ารู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง จะต้องรู้ว่าจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดแล้วก็ดับไป นั่นคือการรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง

ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตชื่อว่าจรณะแม้นั้นแล เธอทั้งหลายคิดแล้วด้วยจิตนั่นแหละ จิต (เป็นเครื่องคิด) นั้นแหละ วิจิตรกว่าจรณะจิตแม้นั้น เพราะเหตุนั้นเธอทั้งหลายพึงพิจารณาจิตของตนเนื่องๆ ว่า จิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะ สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์เพราะจิตผ่องแผ้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่พิจารณาเห็น แม้หมู่อันหนึ่งอื่น ซึ่งวิจิตรเหมือนอย่างสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายนี้เลย ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ดิรัจฉานแม้เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น เธอทั้งหลาย พึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้วด้วยราคะ โทสะ โมหะ สิ้นกาลนาน สัตว์ทั้งหลายย่อมเศร้าหมองเพราะจิตเศร้าหมอง สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์เพราะจิตผ่องแผ้ว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ช่างย้อมหรือช่างเขียนเมื่อมีเครื่องย้อมก็ดี ครั่งก็ดี ขมิ้นก็ดี สีเขียวก็ดี สีแดงก็ดี พึงเขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษ มีอวัยวะใหญ่น้อยครบทุกส่วนลงที่แผ่นกระดานเกลี้ยงเกลา หรือที่ฝา หรือที่แผ่นผ้า แม้ฉันใด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ฉันนั้นเหมือนกันเมื่อจะให้เกิด ย่อมยังรูปนั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังเวทนานั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังสัญญานั่นแหละให้เกิด เมื่อจะให้เกิด ย่อมยังสังขารนั่นแหละให้เกิดเมื่อจะให้เกิด ย่อมยังวิญญาณนั่นแหละให้เกิด ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นอย่างไร รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ

พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ

พ. เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับเห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่ากิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี ฯ

จบสูตรที่ ๘ช่างเขียนรูปอาศัยสีเขียนรูปต่างๆ กระทำให้วิจิตรเกิดขึ้นเป็นรูปต่างๆ ฉันใด ขณะนี้จิตของแต่ละท่านก็เหมือนกับช่างเขียนซึ่งกำลังเขียนรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ที่จะเกิดต่อไปในอนาคต

ขณะนี้ทุกท่านต่างกันตามกรรมที่วิจิตรที่ได้กระทำนานมาแล้วฉันใด จิตซึ่งกำลังกระทำให้วิจิตรอยู่ในขณะนี้ก็จะกระทำให้คติ เพศ รูปร่างสัณฐาน ลาภ ยศ สุข ทุกข์ นินทา สรรเสริญ วิจิตรต่างๆ ในกาลข้างหน้า ฉันนั้น ด้วยเหตุนี้จึงควรพิจารณาลักษณะของจิตที่กำลังปรากฏ ซึ่งกำลังเขียนสภาพธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า ซึ่งถ้าไม่ระลึกรู้ลักษณะของจิตในขณะนี้ ย่อมจะไม่ทราบเลยว่าวิจิตรจริงๆ ทั้งๆ ที่กำลังนั่งอยู่ จิตก็เกิดดับสืบต่อรวดเร็วเหลือเกิน นั่งอยู่ที่นี่แต่บางครั้ง นอกจากจิตจะเห็นทางตา ได้ยินเสียงทางหูแล้ว ก็ยังมีจิตที่คิดนึกไกลออกไปแล้วแต่ว่าจะคิดท่องเที่ยวไปที่ไหนบ้าง หรืออาจจะกำลังคิดทำอะไรที่วิจิตรให้เกิดขึ้นในขณะนั้น

ข้อความในคัททูลสูตรที่ ๑ ข้อ ๒๕๖ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สุนัขที่เขาผูกไว้ด้วยเชือกถูกล่ามไว้ที่หลักหรือเสาอันมั่นคง ย่อมวิ่งวนเวียนหลักหรือเสานั่นเอง เวลายืนย่อมยืนใกล้หลักหรือเสานั้นเอง ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับก็ฉันนั้นเหมือนกันแล

ช่างเขียนยึดถือวิจิตรกรรมที่เขียนขึ้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดฉันใด จิตของปุถุชนซึ่งยังยึดถือในรูปว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็จะยังคงยึดถือต่อไปทุกภพ ทุกชาติ เหมือนกับช่างเขียนซึ่งยึดถือในจิตรกรรมที่ตนเขียนขึ้น ฉันนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ลักษณะของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริง ผู้ที่เป็นปุถุชนเมื่อยืนก็ย่อมยืนอยู่ใกล้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ด้วยความเป็นตัวตน ตราบนั้น

ข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย สคาถวรรค มารสังยุตต์ ทุติยวรรค ปัตตสูตรที่ ๖ ทำให้เข้าใจพยัญชนะ ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมเพื่อให้พระภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ดังนี้

พึงทราบวินิจฉัยในปัตตสูตรที่ ๖ ก็สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรรมีกถา เกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจเงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่

คำว่า "ให้สมาทาน" คือ ให้ถือเอา ให้เข้าใจ ให้พิจารณาให้ถูกต้อง นี้คือการแสดงธรรม ของผู้มีพระภาค เพื่อประโยชน์จะให้เกิดความเข้าใจ ที่ถูกต้อง คือ เมื่อฟังแล้วก็ให้สมาทาน ให้เข้าใจ ให้พิจารณาให้ถูกต้องว่า กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาค ไม่ทรงแสดงโดยละเอียด หลายท่านอาจจะยึดถืออกุศลธรรมเป็นกุศลธรรมก็ได้ แต่เพราะว่าสภาวลักษณะของกุศลธรรมไม่ใช่อกุศลธรรม สภาวลักษณะของอกุศลธรรมไม่ใช่กุศลธรรม ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงธรรมโดยละเอียดโดยตลอด เกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งแยกเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามก็จะไม่พ้นไปจากขันธ์ ๕ เลย จึงควรที่จะศึกษาเรื่องของขันธ์ ๕ และพิจารณาเรื่องของขันธ์ ๕ ด้วยความแยบคาย เพื่อที่จะได้ถือเอาด้วยความถูกต้องและไม่เข้าใจผิด

คำว่า "ให้อาจหาญ" คือ ให้เกิดความอุตสาหะในการสมาทาน

การที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ไม่ใช่จะเป็นไปได้ง่ายๆ และรวดเร็ว แต่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เพื่อให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้เกิดความเพียรที่จะพิจารณาจนกว่าจะเข้าใจ จนกว่าสติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ตามปรกติ ตามความเป็นจริง เพราะพระผู้มีพระภาค มิได้ทรงแสดงเรื่องอื่น ที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือที่ไม่ได้ กำลังปรากฏเฉพาะหน้า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องจักขุวิญญาณ เรื่องของการเห็น เรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา ทรงแสดงเรื่องของโสตวิญญาณ เรื่องของสภาพธรรมที่รู้เสียง เรื่องของเสียงที่ปรากฏทางหู ทรงแสดงธรรมที่กำลังมีอยู่ปรากฏให้พิสูจน์ ฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็อาจหาญ คือ อุตสาหะในการที่จะศึกษา พิจารณารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนกว่าจะประจักษ์สภาพธรรมนั้นๆ ตรงตามความเป็นจริง ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

คำว่า "ร่าเริง" คือ ให้ผ่องใส ให้รุ่งเรือง ด้วยคุณที่ตนแทงตลอดแล้ว

ไม่ทราบว่าท่านสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง บ้างหรือยังแต่ให้ทราบว่า ท่านสามารถที่จะร่าเริงได้ในขณะที่กุศลจิตเกิด บางท่านเป็นทุกข เพราะเป็นห่วงเป็นกังวลว่า อายุมากแล้ว สติปัฏฐานก็ยังเกิดน้อยเหลือเกิน ขณะนั้นเป็นอกุศล พระผู้มีพระภาค มิได้ทรงแสดงพระธรรม ให้บุคคลใดมีอกุศลมากๆ หรือเป็นห่วงมากๆ แต่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง อกุศลทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยยับยั้งไม่ได้ เมื่อกุศลจิตประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดขึ้น อกุศลนั้นก็เกิดขึ้นแล้ว แต่ร่าเริงได้ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของอกุศลที่ปรากฏ และศึกษาพิจารณา ลักษณะของอกุศลธรรมที่ปรากฏ เพื่อจะได้รู้ว่าแม้อกุศลธรรมนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เมื่อสติเกิดระลึกรู้ ลักษณะของอกุศลที่กำลังปรากฏ ย่อมจะเห็นได้ชัดจริงๆ ว่าขณะที่สติกำลังระลึกนั้นไม่เศร้าหมองเลยเพราะเมื่อไม่ยึดถืออกุศลธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ ในขณะนั้น เป็นตัวตน เป็นเรา ก็ไม่กังวลเดือดร้อน

หนทางเดียวที่จะบรรเทาละคลายอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นไม่ให้เพิ่มความเป็นห่วงกังวลขึ้นนั้น ก็โดยสติระลึกและสังเกตพิจารณารู้ว่า สภาพธรรมที่เป็นอกุศลต่างๆ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลใดๆ เลย

ฉะนั้น เมื่ออบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็จะเข้าใจถึงความหมายของคำว่า ให้ร่าเริง คือ ให้ผ่องใสและให้รุ่งเรืองด้วยคุณที่ตนแทงตลอดแล้ว คือสามารถที่จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

คำว่า "ทำให้สำเร็จประโยชน์" คือ พิจารณารู้อย่างนี้ว่าประโยชน์นี้เราทั้งหลายควรบรรลุได้ ดังนี้แล้วก็ชื่อว่ามีประโยชน์แต่เทศนานั้น

การเจริญสติปัฏฐานนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องให้ท้อถอยเลย สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่สามารถจะแทงตลอดในสภาพที่เกิดขึ้นและดับ ไปไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลได้ ในขณะที่พิจารณารู้อย่างนี้ว่า ประโยชน์นี้เราทั้งหลายควรบรรลุได้ก็ย่อมไม่หมดหวัง เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรบรรลุได้วันหนึ่ง แม้ยังไม่ใช่วันนี้ อย่าเป็นห่วงว่าจะไม่สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมได้ในวันนี้เพราะสติสามารถจะเริ่มระลึกได้ ในวันนี้ ส่วนการที่จะประจักษ์แจ้งและแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรมย่อมจะต้องเป็นวันหนึ่ง ในเมื่อวันนี้สติสามารถจะเกิดระลึกรู้ได้

เมื่อเห็นแล้วว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่านี้ประโยชน์ คือ ให้รู้ว่า "เราควรบรรลุได้" ก็จะไม่ท้อถอยและจะฟัง ศึกษาเรื่องของ สภาพธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดต่อๆ ไป เพื่อที่จะได้ไม่หลงลืมสติ ซึ่งข้อความที่กล่าวว่า ศาสนาของพระผู้มีพระภาคแต่งขึ้นใหม่ แปลงขึ้นใหม่ได้หรือ

(นี่เป็นข้อที่ทุกท่านควรพิจารณา)

อริยธรรมทั้งหลาย มีสติ เป็นต้นก็ดี เทศนาแห่งกุศลธรรม เป็นต้นก็ดี ชื่อว่า ศาสนา ในศาสนานั้น เว้นธรรมทั้งหลายมีสติปัฏฐาน เป็นต้น ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแก่ชนเหล่าใดแล้ว ศาสนาชื่อว่าอันบุคคลนั้นทำขึ้นใหม่โดยการกระทำธรรมเหล่าอื่นให้เป็นสติปัฏฐาน เป็นต้น หรือกระทำอกุศลธรรมให้เป็นกุศลธรรม เป็นต้น หรือว่าศาสนาอันใครๆ กระทำแล้วอย่างนั้นมีอยู่ หรือพึงอาจเพื่อทำสิ่งนั้นได้ มีหรือ

หมายความว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนั้นคนอื่นสามารถที่จะแต่งขึ้นใหม่แปลงขึ้นใหม่ และเปลี่ยนแปลงสภาพธรรม ที่พระผู้พระภาคทรงแสดงแล้วว่าสติปัฏฐาน เป็นต้น หรือว่าเทศนาแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นต้นเหล่านี้ คนอื่นจะเอาอกุศลธรรมมาเป็นกุศลธรรม ทำขึ้นใหม่โดยการกระทำธรรมเหล่าอื่นให้เป็นสติปัฏฐาน เป็นต้น ได้หรือ

เมื่อพิจารณาและเข้าใจเหตุผลแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าคำสอนซึ่งเป็นพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยน สภาพธรรรมทั้งหลาย ที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้เป็นอย่างอื่นได้ มีผู้เข้าใจผิดได้ แต่เปลี่ยนลักษณะที่แท้จริงของธรรมทั้งหลายไม่ได้

อรรถ คือ ความหมายของจิต ๕ ประการนั้น ในอภิธัมมัตถวิภาวินีได้แสดงไว้ ๖ ประการ คือ แสดงว่าจิตวิจิตรเพราะอารมณ์ที่วิจิตรด้วยอีก ๑ ประการ ทั้งนี้เพราะจิตสามารถที่จะรู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่วิจิตรสักเพียงใดก็ย่อมเป็นอารมณ์ของจิตได้ และแม้อารมณ์นั้นจะไม่ใช่ปรมัตถธรรม เช่น คำบัญญัติภาษาต่างๆ จิตก็ย่อมรู้ได้ คือ มีชื่อ มีคำ มีเรื่องราวต่างๆ เป็นอารมณ์ได้ ฉะนั้น จิตจึงวิจิตรเพราะอารมณ์ที่วิจิตร

ลักษณะของจิตมี ๒ ประการ คือ สามัญญลักษณะ ๑ และ สภาวลักษณะ ๑

สามัญญลักษณะของจิต คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สภาวลักษณะของจิต เป็นลักษณะเฉพาะของจิต คือ

อารมฺมณวิชชานน ลกฺขณํ มีการรู้แจ้งอารมณ์เป็นลักษณะ

ปุพฺพงฺคม รสํ มีการถึงก่อน คือมีความเป็นหัวหน้า คือเป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์ เป็นรส คือ เป็นกิจ

สนฺธาน ปจฺจุปฏานํ มีการสืบเนื่องกัน คือเกิดดับสืบต่อกัน เป็นปัจจุปัฏฐาน คือ เป็นอาการปรากฏ

นามรูป ปทฏานํ มีนามธรรมและรูปธรรมเป็นปทัฏฐาน คือเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

จิตเป็นสังขารธรรม เป็นสภาพธรรมที่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น ธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นเองตามลำพังลอยๆ ไม่ได้ ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตอาศัยนามธรรมและรูปธรรมเป็นปัฏฐาน คือ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

ในภูมิซึ่งมีแต่นามธรรม คือ ในอรูปพรหมภูมินั้น ไม่มีรูปเลย ในภูมินั้นจิตจึงมีนามธรรม คือ เจตสิกเท่านั้น เป็นปทัฏฐาน คือ เป็นเหตุใกล้ให้เกิด

คำถามทบทวน

๑. อะไรทำให้รูปธรรม เช่น พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ วัตถุ ภูเขา แม่น้ำ เครื่องอุปโภคบริโภควิจิตร ต่างกัน

๒. นอกจากปรมัตถธรรมแล้ว จิตมีอะไรเป็นอารมณ์อีกหรือไม่

๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๓]