#echo banner="" ธรรมวิจยานุสาศ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์)

ธรรมวิจยานุศาสน์

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์)

วัดบรมนิวาสวรวิหาร แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ

มาของบทความ : หนังสือ สิริจนฺโท โดยคณะศิษยานุศิษย์ หลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม คำชะอี จ.มุกดาหาร

คัดลอกจาก http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=77

นี่คือพระธรรมเทศนาของท่านเจ้าประคุณ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพโมลี ชื่อว่า "ธรรมวิจยานุสาศ" ซึ่งเป็นเหตุให้พระคุณท่านถูกถอดจากสมณศักดิ์ในรัชกาลที่ ๖ แม้ต่อมาจะโปรดฯ ให้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้น จนได้เป็นพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ก็ตาม แต่เอกสารชิ้นนี้ก็เป็นของต้องห้ามตลอดสมัยราชาธิปไตย.

สุวิชาโน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว
ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ธมฺมเทสฺสี ปราภโว ฯ

บัดนี้ จักแสดงพระธรรมเทศนาใน พุทธภาษิตคาถา ซึ่งมีมาในปราภวสูตร เพื่อให้สำเร็จประโยชน์การฟังธรรม แด่พุทธบริษัทพอสมควรแก่กาลเวลา ด้วยท่านทั้งหลายมีกุศลเจตนาญาณสัมปยุตผุดขึ้นในขันธสันดานเบิกบานด้วยโสมนัสจิต คิดจะฟังพระธรรมเทศนา ด้วยศรัทธาปสันทนาการ อันสำเร็จมาแต่ สุตมยญาณปรีชา แท้จริงอันพุทธภาษิตคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมเป็นไปกับด้วยประโยชน์ทั้ง ๓ คือ ประโยชน์ชาตินี้ ประโยชน์ชาติหน้า ประโยชน์อย่างยิ่ง คือพระนิพพาน และในประโยชน์ทั้ง ๓ นั้น ย่อมเป็นไปเพื่ออัตตัตถประโยชน์ ๆ ตน แล ปรัตถประโยชน์ ๆ ผู้อื่น ก็บัดนี้พวกเราทั้งหลายเป็นผู้อุดมด้วยมนุษยชาติ ซึ่งเป็นต้นทางแห่งสุคติ ทุคติ ด้วยว่าผู้จะไปนรกต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เสียก่อน ผู้จะไปสวรรค์หรือพรหมโลกหรือถึงพระนิพพาน ก็ต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์บุรุษสตรี ประกอบด้วยอุดมเพศอันนี้เสียก่อน

เพราะภพชาติของมนุษย์นี้เป็นกลาง เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะปรารถนาสุขหรือทุกข์เพียงชั้นไหน ย่อมจะสำเร็จได้ทุกประการ แต่มนุษย์เราโดยมากมักจะแสวงหาสุขในทางแห่งทุกข์เสียเป็นพื้น เพราะอะไรเป็นเหตุ? เพราะความรู้นี้เองเป็นเหตุ รู้สิ่งใดก็ยินดีในสิ่งนั้น รู้วิชาศิลปศาสตร์สิ่งใด ก็ยินดีในศิลปศาสตร์สิ่งนั้น คือ รู้ทำสวนก็ยินดีในสวน รู้ทำนาก็ยินดีในนา รู้ค้าขายก็ยินดีในการค้าขาย รู้วาดเขียนก็ยินดีในการวาดเขียน รู้กฎหมายก็ยินดีในการเป็นหมอความ สุดแท้แต่ว่ารู้ศิลปศาสตร์สิ่งใด ก็ย่อมยินดีไปตามความรู้ของตัว โดยที่สุดแต่ผู้รู้ปั้นอิฐหรือปั้นหม้อขาย ก็ยินดีในการปั้นอิฐแลปั้นหม้อ ซึ่งเป็นความรู้ของตนนั่นเอง ในความประพฤติส่วนตัวก็เช่นเดียวกัน เมื่อรู้เพลงฆ่าสัตว์ก็ยินดีในการฆ่าสัตว์ รู้เพลงลักขโมยของเขา ก็ยินดีในการลักขโมย รู้เพลงมิจฉาจารก็ยินดีในการทำมิจฉาจาร รู้เพลงมุสาวาทก็ยินดีในการกล่าวมุสาวาท รู้เพลงสุราก็ยินดีในการเสพสุรา รู้เพลงการพนันต่าง ๆ ก็ยินดีในการพนันตามความรู้ของตน โดยที่สุดแต่รู้เล่นหมากรุกหมากแยก ก็ต้องชอบการเล่นหมากรุกหมากแยก ตามภูมิความรู้ของตน ทางสุจริตก็มีอาการเช่นเดียวกัน

เมื่อรู้คุณของทานก็ชอบให้ทาน รู้คุณของศีลก็ชอบรักษาศีล รู้คุณของภาวนาก็ชอบภาวนา รู้คุณของมรรคผลนิพพาน ก็ชอบมรรคผลนิพพาน รู้จักคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ชอบเคารพนบนอบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สุดแท้แต่ความรู้ซึ่งชำนิชำนาญในวิชาศิลปศาสตร์ประเภทใด ก็ย่อมยินดีพอใจในสิ่งนั้น เพราะเหตุนั้นท่านผู้เป็นพุทธาทิบัณฑิต จึงได้ผูกเป็นฉันทภาคในมงคลคาถาไว้เป็นสำคัญว่า “อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา” การที่ไม่คบพวกพาล คบแต่ท่านที่เป็นบัณฑิตทั้งหลายเป็นมงคลอันล้ำเลิศประเสริฐสูงสุดดังนี้ เพราะว่าการคบหาสมาคมเป็นต้นทางที่จะให้เกิดความรู้ ถ้าแรกเริ่มได้คบกับท่านที่เป็นบัณฑิต ก็อาจรู้จักศิลปศาสตร์ทางดีได้ ถ้าคบคนพาลเสียก่อน ก็อาจรู้ศิลปศาสตร์ส่วนที่ชั่ว ถ้ารู้วิชาศิลปศาสตร์ส่วนที่ชั่วเข้าไว้ จนเกิดความยินดีต่อความรู้ของตนเสียแล้ว ก็เป็นการลำบากที่จะแก้ไข

อาศัยเหตุดังที่บรรยายมาทั้งปวงนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคบรมศาสดาผู้พิเศษในพิธีเทศนา จึงได้แสดงเป็นพุทธนิพนธคาถาในปราภวสูตร ในคาถาที่แรกดังได้ยกอุเทศขึ้นในเบื้องต้นว่า

“สุวิชาโน ภวํ โหติ” ความรู้ดี ย่อมเป็นเข็มทิศชี้ทางให้เกิดความเจริญ

“ทุวิชาโน ปราภโว” ความรู้ชั่ว ย่อมเป็นเข็มทิศชี้ทางให้เกิดความเสื่อมทราม

“ธมฺมกาโม ภวํ โหติ” ความรักใคร่ชอบใจในธรรม ย่อมเป็นเข็มทิศชี้ทางให้เกิดความเจริญ

“ธมฺมเทสฺสี ปราภโว” ความเกลียดชังธรรมย่อมเป็นเข็มทิศชี้ทางให้เกิดความเสื่อมทราม ดังนี้

เนื้อความโดยย่อในพระคาถานี้ มีแต่ความรู้ดีเป็นสะพานแห่งความเจริญ ความรู้ ชั่วเป็นสะพานแห่งความเสื่อมทราม ความรักใคร่ชอบใจในธรรม เป็นสะพานแห่งความเจริญ ความเกลียดชังธรรมเป็นสะพานแห่งความเสื่อมทรามเท่านั้น มิได้แสดงอาการแห่งรู้ดีรู้ชั่วรักใคร่เกลียดชังธรรมว่า มีลักษณะอย่างไร ถ้าเราจะลงความเป็นกลางแล้ว ความรู้ดีรู้ชั่วเป็นตัวสัจจญาณ ควรจะรู้ให้รอบทั้ง ๒ อย่าง ถึงพระบรมศาสดาเองพระองค์ก็ทรงรู้ดีจึงแสดงความดีแก่สาวกได้ ส่วนความชั่วพระองค์ก็ทรงรู้จึงแสดงความชั่วให้สาวกฟังได้ เป็นข้อสำคัญอยู่ที่กิจจญาณ คือ ความประพฤติความทำ ถ้าประพฤติผิดทางแห่งสุจริตแล้ว เป็นอันไม่ได้รับความสุขเป็นแน่นอน การที่จะประพฤติสุจริตได้ ก็เพราะรู้เหตุรู้ผลแห่งสุจริตว่า มีอำนาจประโยชน์อย่างไร ก็คงหนีคำที่ว่ารู้ดีรู้ชั่วไม่ได้ การรู้ดีรู้ชั่วเป็นหัวข้อสำคัญ สมควรที่จะกล่าวว่าเป็นมุขเป็นประธาน เป็นสะพานแห่งความเจริญและความเสื่อมโดยแท้ฯ

ต่อนี้จักขยายข้อที่ว่ารู้ดีรู้ชั่วนั้น โดยมติของตนเพื่อเป็นทางดำริตริตรอง ของผู้อ่าน ผู้ฟัง

ข้อที่ ๑ ว่า สุวิชา วิชาดีคือรู้ดี รู้อย่างไรจึงจะควรนับว่ารู้ดี ถ้าจะว่าโดยทางโลก วิชาศิลปศาสตร์อันใดที่หาโทษมิได้ คือวิชาศิลปศาสตร์สัมปยุตด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั้นแหละชื่อว่า สุวิชา วิชาดี จะยกตัวอย่างวิชาหนังสือ คือมีความเห็นว่า การรู้หนังสือเป็นทางแห่งความสุข อยากได้ความสุขจึงต้องเรียนหนังสือ เป็นลักษณะของเมตตา อยากให้ตนพ้นจากความโง่ที่อ่านหนังสือไม่ออก จึงต้องตั้งใจเรียน เป็นลักษณะของกรุณา เมื่ออ่านหนังสือออกแล้วก็มีความสำราญใจ เป็นลักษณะของมุทิตา อาการที่ทำใจให้เป็นกลาง คือสมัยที่ควรแก่เมตตาก็ตั้งอยู่ในเมตตา สมัยที่ควรแก่กรุณาก็ตั้งอยู่ในกรุณา สมัยที่ควรแก่กรุณาก็ตั้งอยู่ในกรุณา สมัยที่ควรแก่มุทิตาก็ตั้งอยู่ในมุทิตา สมัยที่ควรแก่อุเบกขาก็ตั้งอยู่ในอุเบกขา อย่างนี้เป็นลักษณะแห่งอุเบกขา วิชาหนังสือนี้ สัมปยุตด้วยพรหมวิหารด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีในตนแล้ว ย่อมมีทางที่จะแผ่ไปแก่ผู้อื่นได้ทั่วไปไม่มีที่สิ้นสุด วิชาใด ๆ ก็ตาม ถ้าสัมปยุตด้วยพรหมวิหารธรรมเช่นนี้ต้องนับเข้าใน สุวิชา วิชาดีทั้งสิ้น ถ้าจะว่าโดยทางธรรม

ตามหลักฐานที่มาในสัปปุริสธรรม ท่านแสดงว่า รู้ธรรม ๑ รู้ลักษณะอาการของธรรม ๑ รู้ตน ๑ รู้ประมาณของตน ๑ รู้กาลของตน ๑ รู้จักบริษัท ๑ รู้จักบุคคล ๑ นี่แหละท่านว่าเป็นวิชาอย่างดีที่สุด ชื่อว่า สุวิชา วิชาดี ถ้าผู้ใดรู้ด้วย ประพฤติตนให้สม่ำเสมอในธรรมทั้ง ๗ ประการนี้ด้วย ผู้นั้นเป็นสัปบุรุษจึงชื่อว่ารู้ดี

แต่วิชาในทางพระพุทธศาสนาชี้ที่มาต่าง ๆ หมายความว่ารู้ตนเป็นยอดวิชา ดังในปฏิจจสมุปบาท แสดงวิชา และอวิชชาหมายความว่ารู้ตนและไม่รู้ตนตรงทีเดียว การรู้ตนนั้นก็มีดีบ้างชั่วบ้างเหมือนกัน ส่วนรู้ตนชั่วนั้น จะยกไว้แสดงในบททุวิชา ในที่นี้จะแสดงแต่ส่วนรู้ตนดีเท่านั้น คือรู้ว่าตนเป็นชาติมนุษย์ จะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ตาม ข้อนั้นเราแต่งไม่ได้ เมื่อเป็นบุรุษก็ประกอบกิจของบุรุษไป เมื่อเป็นสตรีก็ประกอบกิจของสตรีไป ตามวิสัยธรรมดาของโลก แต่ส่วนธรรมปฏิบัตินั้นไม่มีขีดขั้นว่าบุรุษหรือสตรี มีหน้าที่เสมอกัน เป็นแต่ในสมัยนี้สตรีจะอุปสมบทไม่ได้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นทางที่จะประพฤติพรหมจรรย์ก็ยังมีโอกาส คือรู้ตนว่าเป็นมนุษยชาตินี้ประเสริฐไม่มีอะไรจะเสมอ เป็นต้นทางแห่งภพแห่งชาติทั้งปวง จะเป็น เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ก็จะต้องได้อัตภาพเป็นมนุษย์เสียก่อน หรือทางที่สูงสุดอันพระพุทธศาสนานิยมอย่างยิ่งคือโลกุตรธรรม ชั้นต่ำเพียงพระโสดา ตลอดขึ้นไปถึงสกทาคามี อนาคามี อรหันต์เป็นที่สุด ก็จะต้องมาได้อัตภาพเป็นมนุษย์บุรุษสตรีนี้เสียก่อน จึงจะสำเร็จได้

แลเห็นว่าอัตภาพซึ่งเป็นมนุษย์นี้ เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพวิชาในโลก เว้นเสียแต่เป็นคนวิการ คือ ใบ้ บ้า โง่เขลา หรือกายวิการ มีหูหนวกหรือตนตัวหัวขาไม่สมบูรณ์ เป็นต้น หรือ โลภ โกรธ หลง ครอบงำเกินประมาณ สำเร็จมาแต่ อเหตุกปฏิสนธิจิต เป็นเหตุ มนุษย์จำพวกเหล่านี้ขาดมนุษย์สมบัติ เป็นผู้ไม่สามารถจะบำรุง มนุสสธรรม คือ กายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์ขึ้นในตนได้ ไม่นับเข้าในชาติมนุษย์แท้ เพราะไม่เป็นที่ตั้งขึ้นได้แห่งสรรพวิชาทั่วไป ส่วนผู้ที่มีมนุษยสมบัติเต็มที่คือ ไม่มีวิการเหล่านั้นครอบงำขันธสันดานแล้ว อาจบำรุงมนุสสธรรมให้สมบูรณ์ขึ้นได้ สำเร็จมาแต่ทุเหตุไตรเหตุ จึงชื่อว่าเป็นชาติมนุษย์แท้ในที่นี้ ถ้าเป็นชาติมนุษย์แท้ก็ต้องเป็นเจ้าวิชาแท้ คือจะเล่าเรียนสิ่งไรอาจสำเร็จได้หมด เป็นแต่ว่าวิชาในโลกไม่ใช่ของเล็กน้อย อายุของมนุษย์มีเพียง ๗๐ ปี ๘๐ ปีเท่านั้น ถึงจะไม่ทำธุระอื่นตั้งหน้าแต่เรียนวิชาซึ่งโลกเขารู้กันทำกันอยู่ แล้วทั้งนั้น ชีวิตเพียงเท่านั้นก็จะหมดไปเปล่า วิชาในโลกก็จะยังไม่รู้ทั่วถึง เพราะเหตุนั้นจำเป็นจะต้องใคร่ครวญดู เห็นว่าวิชาสิ่งใดพอที่จะบำรุงความสุขแห่งตนได้ ก็เรียนเพียงอย่างหนึ่งสองอย่างเท่านั้น แต่ให้จริงให้เป็นที่พึ่งแก่ตนได้จริง ๆ เป็นพอกัน แต่พึงเข้าใจว่าวิชาสิ่งใดที่ตนพอใจแล้วจะต้องสำเร็จหมด เพราะอัตภาพที่เป็นมนุษย์แท้นี้เองเป็นเจ้าของวิชาอยู่ทั่วโลก อัตภาพของมนุษย์นี้

ถ้าจะเปรียบด้วยยานพาหนะที่ใช้กันอยู่ในโลกทุกวันนี้ ที่นับว่าเป็นยานพาหนะอย่างดีที่สุดทางน้ำก็คือเรือยนต์ ทางบกก็คือรถยนต์ ทางอากาศก็เรือเหาะใช้เครื่องยนต์เหมือนกัน ส่วนเรือเหาะก็ไปได้แต่ในท้องอากาศด้วยกำลังดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อสิ้นอาหารคือน้ำมันแล้ว ก็ต้องตกลงมาสู่ดิน ส่วนเรือยนต์ก็แล่นไปได้แต่ในน้ำเท่านั้น ส่วนรถยนต์เล่า ก็แล่นไปได้แต่ตามทางที่เขาปราบให้เรียบราบแล้วเท่านั้น ไม่น่าอัศจรรย์นัก เพราะเป็นของถ่ายออกไปจากสรีรยนต์นี้เอง สรีรยนต์คืออัตภาพร่างกายนี้ มีล้อ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นเครื่องบริหาร ใช้ข้าวปลาอาหารของบริโภคต่าง ๆ แทนน้ำมัน จะใช้ขี่ขับไปทางใดสำเร็จตลอด ไม่เลือกว่าทางน้ำ ทางบก ภูเขา ป่าดง ใกล้ ไกล ได้ตลอด ส่งถึงเป็นพระราชามหากษัตริย์ เสนาบดี เศรษฐี พ่อค้า นักปราชญ์ ราชบัณฑิต เป็นได้ทุกหน้าที่ สุดแต่ความปรารถนา แม้จะปรารถนาสวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ โลกุตรสมบัติก็อาจสำเร็จได้

เพราะมีตัวอย่างท่านแต่ก่อนได้เคยขี่ขับไปถึงแล้วทุกสถาน ท่านชี้มรรควิถีทางที่จะดำเนินไปให้ถึงสุนทรสถานทั้ง ๓ ประเภทนั้น ด้วยมรรคอันเดียว แต่ประดับด้วยองค์ ๘ มีชื่อปรากฏทั่วกันว่า อัฏฐังคิกมรรค คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ๑ สัมมาสังกัปโป ความดำริตริตรองชอบ ๑ สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๑ สัมมากัมมันโต การงานของกายชอบ ๑ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตโดยชอบ ๑ สัมมาวายาโม เพียรชอบ ๑ สัมมาสติ ตั้งสติไว้ชอบ ๑ สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้เสมอชอบ ๑

องค์ทั้ง ๘ นี้ ท่านให้ชื่อว่า อริยมรรค เพราะเป็นทางดำเนินของกาย วาจา ใจ แห่งพระอริยบุคคล

ถ้าพวกเราไม่ต้องการเป็นพระอริยบุคคล ต้องการเพียงแต่สวรรค์สมบัติ ก็พึงดำเนินเพียงชั้น สีลขันธ์ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว ให้แน่วแน่อย่าให้พลาดเผลอ เป็นอันได้สวรรค์แน่ชื่อว่าขี่ขับสรีรยนต์ส่งถึงสวรรค์

เมื่อถึงภูมิสวรรค์ได้แล้ว ต้องการพรหมสมบัติอันยิ่งขึ้นไป ก็พึงดำเนินเพิ่ม สมาธิขันธ์ คือองค์ สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ให้แน่วแน่ต่อไป ถ้าฌานไม่เสื่อมเป็นอันได้พรหมสมบัติตรงทีเดียว ชื่อว่าเป็นอันขี่ขับสรีรยนต์ส่งถึงพรหมโลก

เมื่อได้สำเร็จพรหมโลกแล้ว จะปรารถนาโลกุตรสมบัติอันยิ่งต่อไป ก็พึงดำเนินเพิ่ม ปัญญาขันธ์ ขึ้นคือองค์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป ด้วยวิปัสสนาญาณทัสสนะ กำจัดทิฎฐิวิปลาสเสียให้สิ้นเชิงก็จะได้สำเร็จ โลกุตรสมบัติ

เมื่อสำเร็จอมตธรรมโลกุตรสมบัติได้แล้ว ก็เป็นอันชื่อว่าขับขี่สรีรยนต์ถึงฝั่งคือพระนิพพาน สิ้นชาติชรา พยาธิมรณกันดาร เป็นเอกันตบรมสุขโดยส่วนเดียว

รถยนต์คือสรีระนี้เป็นชาติกายสิทธิ์ อาจจักขี่ขับให้ถึงสุนทรสถานได้ตามปรารถนา มีตัวอย่างคือ ให้ส่งท่านทั้งหลายแต่ปางก่อนให้ถึงแล้วทุกสถาน พวกเราได้รถยนต์คือร่างกายอันสมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ควรจะใช้ในทางที่ผิดปล่อยให้คร่ำคร่าชำรุดหักพังเสียเปล่า คือยังส่งเราให้ถึงสุนทรสถานไม่ได้ ชื่อว่าเสียที ที่มีของดีแต่ใช้การดีไม่ได้ กลับทำโทษให้แก่ตนเสียอีก การที่มารู้ว่าสรรพวิชาในโลกตลอดถึงโลกุตระ ตนนี้แลอาจจะทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้น อย่างนี้แหละชื่อว่ารู้ตนดีเป็นทางแห่งความเจริญฯ

ในข้อที่ ๒ ซึ่งว่า ทุวิชาโน ปราภโว วิชาชั่วเป็นสะพานแห่งความเสื่อมทรามดังนี้นั้น อธิบายว่าวิชาใดที่สัมปยุตด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นมูล คือเมื่อเล่าเรียนศึกษาก็เพ่งแต่จะให้ร้ายแก่ผู้อื่น เอาเปรียบเอาดีแต่ส่วนตัว ดังวิชาฉ้อโกง ฉกลักปล้นสดมภ์เข้า คือเพ่งความเสียหายให้แก่เขา เอาความได้ความดีไว้ส่วนตัว วิชาชั่วเหล่านั้น บางสิ่งก็เป็นของจำเป็นจะต้องเล่าเรียน บางสิ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องเล่าเรียน ดังวิชาทหาร วิชาฝึกหัดยิงปืนให้แม่นยำ เป็นต้น ก็ชื่อว่า ทุวิชา เป็นวิชาชั่วโดยแท้ เพราะขาดเมตตา กรุณา แก่ฝ่ายหนึ่ง วิชาทำปืน ทำดาบ สรรพอาวุธยุทธภัณฑ์ทั้งปวง ดังเรือรบต่าง ๆ มีเรือเหาะ เรือใต้น้ำ ลูกแตกลูกตอปิโด เป็นต้น ต้องนับว่าเป็นวิชาชั่วเป็นสะพานแห่งความเสื่อมทราม ความฉิบหายโดยแท้ แต่ว่าวิชาเหล่านี้ถึงรู้ว่าเป็นวิชาชั่ว ก็จำเป็นจะต้องเรียนให้รู้ให้ฉลาด แต่พึงเข้าใจว่าเป็นวิชาชั่ว เป็นสะพานแห่งความเสื่อมทราม มีตัวอย่างดังจะชี้ให้เห็น ที่เกิดมหาสงครามขึ้นในประเทศยุโรปในพุทธศก ๒๔๕๗ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมมาปรากฏในสมัยนี้ พากันได้รับความพินาศฉิบหายใหญ่ คือมนุษย์ด้วยกันควรรักกัน ควรป้องกันรักษาซึ่งกันและกัน จึงจะชอบ จึงจะนับว่าเป็นชาติศิวิไลฯ

ความจริงเหตุที่จะบังเกิดขึ้น ตามข่าวก็ไม่ใหญ่โตสักปานใด ได้ความว่าคนชาติเซอร์เวีย ได้ปลงพระชนมชีพรัชทายาท ทั้งพระชายาของประเทศออสเตรีย ในเวลาเมื่อเสด็จประพาสประเทศเซอร์เวียโดยวิสัยของพวกอันธพาล เป็นเหตุ สองประเทศจึงได้เป็นปากเป็นเสียงกันขึ้น แลหารือไปยังมหาประเทศให้ช่วยระงับเหตุ ข้างฝ่ายรัสเซียก็เข้ากับเซอร์เวีย ข้างฝ่ายเยอรมันก็เข้ากับออสเตรีย ข้างฝ่ายอังกฤษ ฝรั่งเศส เข้าฝ่ายรัสเซีย เมื่อถืออำนาจเข้าหากันทั้ง ๒ ฝ่ายเช่นนั้น ต่างฝ่ายก็มิได้ตั้งใจจะระงับเหตุ มุ่งแต่จะวางอำนาจจนถึงพร้อมกันประกาศสงครามเข้าสัมประหารชิงชัยซึ่งกันและกัน ลุกลามไปทั่วทั้งโลก ล้มตายกันด้วยอาวุธศาสตราก็นับไม่ถ้วน ล้มตายเสียด้วยอดอาหารหรือเกิดโรคต่าง ๆ เพราะกลิ่นไอโสโครกก็นับไม่ถ้วน มิใช่จะตายแต่พลรบอย่างเดียว คนแก่และผู้หญิงและเด็กที่อพยพยกครอบครัวหนีข้าศึกไปไม่มีอาหารจะเลี้ยงกัน ตายเสียก็มากนับไม่ถ้วน คนตายในระหว่างมหาสงครามคราวนี้ไม่ต้องนับด้วยล้าน เห็นจะต้องนับด้วยโกฏิ น่าสลดสังเวช จะต้องพลัดพรากจากกัน ในระหว่างสามีภรรยาบุตรนัดดา จะต้องเป็นหม้ายเป็นกำพร้า ไม่มีผู้พาทำมาหากิน จะต้องยากจนต่อไปอีก จะพรรณนาไม่มีที่สิ้นสุด ชักมาชี้แจงเพียงเล็กน้อยเพื่อจะให้เห็นอำนาจของวิชาชั่ว ย่อมให้โทษร้ายแรงถึงอย่างนี้ คือต่างฝ่ายต่างก็ถือว่าตนเป็นเจ้าของวิชา เรือเหาะข้าก็ทำได้ เรือดำน้ำข้าก็ทำได้ เรือรบข้าก็มาก ลูกแตกลูกระเบิดข้าก็ทำได้ ค่าที่ต่างฝ่ายตรงอวดวิชาของตน จึงมีความกล้าหาญเข้าสู้รบชิงชัยกันแลกัน ปราศจากเมตตาปรานี แลเห็นกันเป็นเนื้อเป็นปลาไปหมดทีเดียว คือวิชาชั่วเป็นเหตุแห่งความฉิบหาย จะมากหรือน้อยให้ดูกำหนดตามกำลังของวิชา ดังวิชาทำหอกทำดาบแหลนหลาวเป็นต้น ประโยคที่ทำก็ไม่ใหญ่โตนัก ผลแห่งความฉิบหายที่ได้จากอาวุธศาสตราเหล่านั้น ก็ไม่มากสักปานใด ถ้าวิชามีประโยคใหญ่ดังวิชาทำปืนทำลูกแตก ลูกระเบิดเป็นต้น ผลแห่งความฉิบหายที่จะได้ก็เป็นของใหญ่ดังปรากฏอยู่ในสมัยทุกวันนี้ พึงเข้าใจว่า วิชาที่สัมปยุตด้วย โลภะ โทสะ โมหะ อิจฉา พยาบาท ชื่อว่า “ทุวิชา” สมด้วยพุทธภาษิตว่า “ทุวิชาโน ปราภโว” วิชาชั่วเป็นสะพานแห่งความเสื่อมความฉิบหายดังนี้ฯ

ส่วนที่แสดงมานี้ เป็นทุวิชาของภายนอกตน ยังทุวิชาภายในตนอีกประเภทหนึ่ง การที่เห็นตัวชั่วก็มีอาการหลายอย่าง ดังเห็นว่าตัวของเรายังสัมปยุตอยู่ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ยังประพฤติทุจริต มีฆ่าสัตว์ฉ้อโกงเขาเป็นต้น อย่างนี้ก็ชื่อว่ารู้ตัวชั่ว ถ้ารู้ว่าตัวชั่วเช่นนั้น ก็รีบแก้ไขไม่ให้ความชั่วเหล่านั้นมีในตน ก็กลับจะเป็นทางแห่งความเจริญเสียอีก ถ้ารู้ว่าตัวชั่วแล้วยังขืนทำร่ำไป ก็เป็นทางแห่งความเสื่อมทรามโดยแท้ฯ ยังมีอีกประเภทหนึ่ง เจตนาก็ไม่หวังชั่ว ความเห็นก็ไม่รู้สึกว่าเป็นของชั่ว ความตั้งใจก็เป็นกุศล ความเห็นก็เข้าใจว่าตรงตามแบบแผน ความทำก็ตามทางสมถวิปัสสนาตรงทีเดียว แต่มันกลับเป็นทุวิชาไปก็เป็นได้ ดังผู้เจริญพระไตรลักษณ์หรืออสุภกรรมฐานมรณานุสสติกรรมฐานเป็นต้น คือพิจารณาในสกลกาย ที่นิยมว่าเป็นตัวนี้ ให้เห็นว่าเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เห็นเป็น ทุกขัง ทนลำบาก เห็นเป็น อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เห็นเป็น อสุจิ ไม่สะอาด เห็นเป็น อสุภัง ไม่งาม เห็นเป็น ปฏิกูลัง น่าเกลียดไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับถมแผ่นดินเปล่าเท่านั้นดังนี้ อาการที่เห็นอย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความสังเวช กำจัดความรักใคร่ชอบใจในตนได้อย่างหนึ่ง และกันความเมาความหลงในสัญญาออกเสียได้ส่วนหนึ่ง ท่านจึงยกขึ้นมาเป็นตัววิปัสสนากรรมฐาน คุณก็มีมากไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนโทษก็มีหลายโทษนั้น

ดังภิกษุพวกมากเจริญมรณานุสสติ เกิดความเบื่อหน่ายเกลียดชังตัวจนถึงเอาบาตรจีวรจ้างนายพรานชื่อมิคลัณฑิกะ ให้ปลงชีวิตตนเสียเป็นอันมาก ซึ่งปรากฏในตติยปาราชิกสิกขาบทเป็นตัวอย่าง ก็เพราะโทษเห็นตัวชั่วรู้ตัวชั่ว ใช่จะมีแต่เท่านั้นถ่ายเดียว พวกที่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พากันเป็นบ้าเป็นบอไปเสียก็มาก พากันเป็นอุจเฉททิฏฐิ เห็นบุญบาปไม่มี ตายแล้วสูญไปเท่านั้นก็มีมาก แต่ความจริงที่เห็นเช่นนั้นก็มิใช่วิชาของตัวทีเดียวนัก เป็นวิชาเขาว่าเสียโดยมาก คือมีเป็น ๒ จำพวก ๆ หนึ่งโง่ไม่รู้จักอะไร ได้ฟังแต่เขาอธิบายแยกธาตุอย่างนั้นอย่างนี้ ดังเขาอธิบายว่า ความคิดความนึกนี้ มันอาศัยมันสมองเท่านั้นเอง ตายแล้วไม่มีมันสมอง จะเอาอะไรไปเกิด ความเกิดก็อยู่กับบิดามารดาเท่านั้น มักเห็นเพียงขั้นนี้โดยมาก การที่อาศัยบิดามารดาเป็นแดนเกิดนั้น ใคร ๆ ไม่ปฏิเสธมิใช่จะอาศัยแต่เพียงเกิดเท่านั้น ถึงเกิดมาแล้วก็ต้องอาศัยจนใหญ่จนโต บิดามารดาเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณจะพรรณนาไม่มีที่สิ้นสุด แต่พึงตรองดู สิ่งที่บิดามารดาแต่งให้เกิดนั้นคืออะไรบ้าง ถ้าพิเคราะห์ดูให้แน่ นอนแล้วมักจะเห็นแต่เป็นเองเสียทั้งเรื่อง จะหาว่าบิดามารดาเป็นต้นเกิด ก็ไม่น่าจะลงเนื้อเห็นให้เต็มที่ได้ เปรียบความดังช่างหม้อปั้นปรุงหม้อขึ้นซื้อขายได้ จะลงเนื้อเห็นว่าช่างหม้อเป็นต้นก็ได้อยู่ แต่ว่ายังตื้นเพราะดินเหนียวสำหรับที่จะปั้นหม้อได้ เป็นของมีอยู่แล้วฉันใด สัมภาระที่จะให้เกิดบุตรเป็นของมีอยู่ก่อนบิดามารดาแล้วฉันนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เห็นเพียงชั้นบิดามารดาเป็นต้นยังไม่เหมาะ คือเห็นแต่ขั้นสังขตธรรมเท่านั้น ยังไม่เห็นอสังขตธรรม เพราะเหตุนั้น จึงเหมาคนชั้นนี้ยังโง่มาก คือยังมิได้ใช้ความรู้ความเห็นของตน เชื่อแต่คนอื่นเขาว่าเท่านั้น

การที่แยกธาตุได้ก็เป็นแต่เชื่อเขาเท่านั้น ความจริงจะแยกอย่างไรคงแยกได้แต่อาการเท่านั้น แท้ที่จริงเข็มเล่มหนึ่งจะปฏิเสธได้หรือว่าไม่พร้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ แต่อากาศละเอียดยิ่งกว่าเข็มยังปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีธาตุ ๔ ครบ เมื่ออากาศละเอียดถึงเพียงนั้นแล้ว ธาตุยังแยกจากกันไม่ได้เมื่อเป็นเช่นนั้นจะหมายเอาความในการแยกธาตุด้วยประการใด อีกพวกหนึ่งมีสติปัญญามากเกินไป เอาอนัตตานุปัสสนา สุญญตานุปัสสนา เป็นอารมณ์เกินไป จนเกิด อนัตตสัญญา สุญญตสัญญา เห็นไม่มีตนไม่มีตัว เห็นสูญว่างเปล่า ถือเอาความว่าง ความสูญ เข้ามาเป็นอารมณ์ เข้าใจว่าความว่างความสูญเป็นพระนิพพาน ตกลงพวกนี้เอาอวิชชาเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง ความสูญ ความไม่มีนั้นเอง เป็นตัวอวิชชา จึงชื่อว่าเอาด้วยวิชชาเป็นที่พึ่ง เป็นตัวโมฆปุริโส บุรุษเปล่าแท้ เป็นตัวอกตัญญู ขาดจากคุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ คุณพระราชามหาอำมาตย์ไม่มีในตน คนเหล่านี้จะเห็นว่าตายสูญหรือตายเกิดก็ตามก็คงตกอยู่ในพวกมิจฉาทิฏฐิ จะทำคุณความดีแก่ตนไม่ได้อีกแล้ว เลยยกโทษเอาครูบาอาจารย์ว่า ท่านรู้จักของจริงเต็มตัว แต่ท่านอาศัยการหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต ท่านจึงแสดงว่า ทำอย่างนั้นเป็นบุญทำ อย่างนั้นเป็นบาป ตั้งหน้าหลอกเขากินเท่านั้น ที่จริงจะเอาบุญบาปที่ไหนมา มักพูดอย่างนี้ คนจำพวกนั้นมักยกโทษท่านผู้มีคุณ ยกตนข่มท่านด้วยประการต่าง ๆ อย่างนี้ ส่วนตนก็ไม่ทำบุญให้ทานรักษาศีล ยังซ้ำติเตียนท่านผู้อื่นเสียด้วย เสียทั้งประโยชน์ส่วนตัว ทั้งประโยชน์ผู้อื่นซึ่งคบหาสมาคม เป็นทั้งนี้ก็เพราะโทษเห็นอนัตตาสูญเปล่า เป็นตัวมิจฉาทิฏฐิ คือรู้ผิดเห็นผิด จึงชื่อว่ามิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้ศึกษาในพระศาสนา แต่กลายเป็นภายนอกไปเสียไม่รู้ตัว อย่างนี้นับด้วยร้อยด้วยพันไม่ถ้วน ผู้ศึกษาธรรมในพระศาสนาควรตรึกตรองให้มาก อย่าให้พลาด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ของเล่น ถ้าดีก็ตรงพระนิพพานทีเดียว ถ้าพลาดท่าก็ตกโลกันต์เลยทีเดียว การรู้ตัวเห็นตัวว่าเป็นของชั่ว ท่านจึงแสดงว่า เป็นสะพานแห่งความเสื่อมความฉิบหาย สมด้วยพุทธปริยายว่า “ทุวิชาโน ปราภโว” ด้วยประการฉะนี้ฯ

ข้อที่ ๓ ว่า “ธมฺมกาโม ภวํ โหติ” ความรักใคร่ชอบใจในธรรม เป็นเหตุแห่งความเจริญนั้น พึงศึกษาให้เข้าใจในธรรม ให้ได้ความชัดเจนเสียก่อนว่าอะไรชื่อว่าธรรม คือพระธรรมนั้น ถ้าจะแสดงตามลักษณะอาการแล้วไม่มีที่สิ้นสุด ดังที่ท่านจำแนกไว้ว่า ปริยัติสัทธรรม ปฏิบัติสัทธรรม ปฏิเวธสัทธรรม หรือกุศลกรรม อกุศลกรรม อัพยากตธรรม เป็นตัวอย่าง คงถือเอาเนื้อความโดยชัดเจนไม่ได้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงสรุปความลงอีกทีหนึ่งว่า “สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม” พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วดังนี้ คงได้ความว่า คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสิ้น ชื่อว่า พระธรรม ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน เพราะคำสอนของพระองค์กว้างขวางมาก ย่นประเภทคำสอนของพระองค์ลงเป็น ๓ อีก คือชี้ลักษณะว่า “อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ” คำสอนของพระองค์ เพราะในเบื้องต้นคือศีล เพราะในท่ามกลางคือสมาธิ เพราะในที่สุดคือปัญญา ดังนี้ คงได้เนื้อความว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แหละชื่อว่า “พระธรรม” เพราะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเช่นนั้นเราจะต้องค้นดูให้เห็นตัวศีล ตัวสมาธิ ตัวปัญญา เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสันทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัติพึงเห็นด้วยตน ถ้าเราไม่รู้จักศีล ไม่เห็นศีล เราจะรักษาศีลอย่างไร ดังผู้ไม่รู้จักโค ไม่เห็นโค จะเลี้ยงโคอย่างไร ถ้าอยากจะเห็นศีลรู้ศีลก็ให้รู้จักกาย รู้จักวาจา รู้จักใจเสียก่อน ความประชุมแห่งธาตุ ๖ ชื่อว่ากาย เสียงที่เปล่งออกไปจากมุขทวาร อันสำเร็จมาแต่กายชื่อว่าวาจา ความน้อมนึกตรึกคิดรู้อารมณ์ทั่วไป ซึ่งเนื่องมาแต่กาย ชื่อว่าใจ ท่านบัญญัติศีลลงที่กาย วาจา ใจ นี้เอง ส่วนใจนั้น เป็นตัวเจตนากรรม เมื่อพูดถึงศีลแล้วจะเว้นใจเสียไม่ได้เลย คือผู้ระวังก็ใจ ผู้รักษาก็ใจ ระวังอะไร ระวังกาย ระวังวาจา รักษาอะไร ก็รักษากาย รักษาวาจานี้เอง ก็ตกลงว่าตัวระวังตัวเอง ตัวรักษาตัวเอง เพราะกายก็ตัว วาจาก็ตัว ใจก็ตัว ระวังรักษากายก็คือไม่ให้ ฆ่าสัตว์ ลักของท่าน ล่วงประเวณีของท่าน ไม่ให้กินเหล้า ระวังรักษาวาจาก็คือไม่ให้กล่าวเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำไม่มีประโยชน์ เมื่อกายวาจาพ้นจากโทษเหล่านั้นได้ ก็ชื่อว่าสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นตัวสีลขันโธ คือแปลว่าตัวเป็นก้อนศีลนั้นเอง เมื่อเห็นว่าตัวเป็นศีลเช่นนั้น ก็คงรู้ได้ว่าตัวเป็นธรรมไม่ใช่หรือ? เพราะศีลเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ชื่อว่าพระธรรม เมื่อเห็นว่าตัวเป็นศีล ๆ เป็นธรรมเช่นนั้น ก็ชื่อว่าผู้ถึงพระธรรมในชั้นศีล ผู้ที่รักษาศีล ก็ชื่อว่าผู้รักษาธรรม ผู้รักษาธรรมก็ชื่อว่าผู้รักษาศีล ก็สิ่งใดเป็นศีล สิ่งนั้นแหละจะเป็นสมาธิและปัญญา ผู้ชอบธรรมรักธรรม ในชั้นศีลธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ส่วนใดก็ตามก็คงได้รับผลแห่งความเจริญยิ่งและหย่อนตามอำนาจของธรรม ซึ่งตนถึงตนรักใคร่ชอบใจตามสมควร สมด้วยพุทธภาษิตว่า “ธมฺมกาโม ภวํ โหติ” ความชอบธรรม รักธรรม เป็นเหตุถึงความเจริญดังนี้ฯ

ข้อที่ ๔ ว่า “ธมฺมเทสฺสี ปราภโว” ความเกลียดชังธรรมเป็นสะพานแห่งความเสื่อมเสียนั้น ก็พึงเข้าใจดุจเดียวกัน คือเมื่อรู้ว่าตนเป็นธรรม ๆ เป็นตนเช่นนั้น และยังขืนทำตนให้เป็นอกุศลธรรมอยู่เสมอ คือปล่อยตนให้ลุอำนาจแห่งโลภะ โทสะ โมหะ ประพฤติทุจริตบาปอกุศล ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยน้ำใจอยู่ร่ำไป อย่างนี้ชื่อว่าชังธรรม คือหมายความว่า ผู้ใดยังทำตนให้เป็นข้าศึกแก่ตนอยู่ ผู้นั้นแหละชื่อว่าชังธรรมฯ คำที่ว่าเป็นข้าศึกแก่ตนนั้น พึงเข้าใจความ อย่างนี้ อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้แหละเป็นลักษณะอาการของตน ถ้ามีครบบริบูรณ์ทั้ง ๖ ก็คือว่าพรักพร้อมบริบูรณ์ด้วยสมบัติเต็มที่ อาจให้สำเร็จกิจตามประสงค์ได้ทุกประการถ้าขาดแต่อย่างหนึ่งสองอย่าง ก็เป็นอภัพพบุคคล ไม่อาจทำประโยชน์ชั้นสูงให้สำเร็จได้ ถึงแม้ผู้มีครบทั้ง ๖ ก็จริง แต่อาศัยความโง่เขลาเข้าครอบงำ ทำอายตนะเหล่านั้นให้เป็นข้าศึกษาแก่ตน คือเมื่อเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู สูดกลิ่นด้วยจมูก รู้รสด้วยลิ้น รู้สัมผัสด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ถ้าส่วนใดเป็นอิฏฐารมณ์ เป็นอารมณ์ที่พึงปรารถนาก็อยากได้อยากมียินดีชอบใจจนเกินไป ถึงแก่ให้ทุกข์โทมนัส ปฏิฆะ เกิดขึ้น ทำตนให้ได้รับความโศกเศร้าเสียใจมีประการต่าง ๆ ถ้าได้รับอารมณ์ส่วนใด ซึ่งเป็นอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์อันไม่เป็นที่พอใจ ก็เกิดความชังจนเหลือเกิน จนได้รับทุกข์โทษโศกเศร้าเสียใจมีประการต่าง ๆ อย่างนี้แหละ ชื่อว่าทำตนให้เป็นข้าศึกแก่ตน ผู้นั้นก็ไม่อาจทำประโยชน์ชั้นสูงให้สำเร็จแก่ตนได้ พึงถือเอาใจความว่า ผู้ใดยังเศร้าโศกเสียใจ ยังมีโทมนัส ปฏิฆะ คับแค้นอัดอั้นตันใจ เพราะอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุชื่อว่าเป็นข้าศึกแก่ตน ผู้เป็นข้าศึกแก่ตนนี้แหละ ชื่อว่า “ธมฺมเทสฺสี” ผู้เกลียดชังธรรม ย่อมจะได้รับความเสื่อมความฉิบหายโดยแท้ สมตามพุทธภาษิตว่า “ธมฺมเทสฺสี ปราภโว” ดังบรรยายมานี้ฯ

สรุปความในพุทธภาษิตทั้ง ๔ นี้คือวิชาดี วิชาชั่ว รักธรรม ชังธรรม เป็น ๔ โดยอาการ ถ้าย่นลงคงเป็นหนึ่งเท่านั้น คือวิชาดีก็คือรู้ตัวดี วิชาชั่วก็รู้ตัวชั่ว รักธรรมก็คือรักตัว ชังธรรมก็คือชังตัว ตกลงก็เป็นหนึ่ง อยู่ที่ตัวนี้เองฯ เพราะเหตุนั้น ผู้รู้ตัวเห็นตัว ท่านจึงยกว่าเป็นยอดแห่งวิชา ดังพรรณนามาฉะนี้ ท่านผู้อ่านผู้ฟัง อาศัยมนสิการโดยแยบคายคงจะไม่เปล่าจากประโยชน์โดยแท้ฯ