#echo banner="" หลวงปู่เล่าไว้ หลวงปู่บุดดา ถาวโร

หลวงปู่เล่าไว้

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

จากหนังสือ "หลวงปู่เล่าไว้: รวมประวัติและพระธรรมคำสอน ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร"

โพสท์ในลานธรรมเสวนา โดยคุณ : แสวงธรรม [ 18 ม.ค. 2545 ] กระทู้ที่ 004107

เนื้อความ :

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

วัดกลางชูศรีเจริญสุข อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี

เกิด: ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๓๗

ละสังขาร : ตรงกับวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๗

ศิริรวมอายุ ๑๐๑ ปี ๗ วัน ๗๓ พรรษา

 

สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ,

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว

อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ,

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว

ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ,

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด

 

ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว

สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ,

สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว

ยทิทํ

ได้แก่บุคคลเหล่านี้คือ

จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา,

คู่แห่งบุรุษสี่คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้แปดบุรุษ

เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ,

นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

อาหุเนยฺโย

เป็นสงฆ์ควรแก่การสักการะที่เขานำมาบูชา

ปาหุเนยฺโย

เป็นสงฆ์ควรแก่การสักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ

ทกฺขิเณยฺโย

เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน

อญฺชลีกรณีโย,

เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี

อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติ.

เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า

 

 

สงฺฆสฺสาหสฺมิ ทาโส ว สงฺโฆ เม สามิกิสฺสโร

ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า

สงฺโฆ ทุกฺขสฺส ฆาตา จ วิธาตา จ หิตสฺส เม

พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า

 

 

สงฺฆสฺสาหํ นิยฺยาเทมิสรีรญฺชีวิตญฺจิทํ

ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระสงฆ์

 

 

วนฺทนฺโตหํ จริสฺสามิ สงฺฆสฺโสปฏิปนฺนตํ

ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม ซึ่งความปฏิบัติดีของพระสงฆ์

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ

สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี

 

พระสงฆ์เป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า

เอเตน สจฺจวชฺเชน วฑฺเฒยฺยํ สตฺถุ สาสเน

ด้วยการกล่าวคำสัจจ์นี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา

สงฺฆํ เม วนฺทมาเนน ยํ ปุญฺญํ ปสุตํ อิธ

ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระสงฆ์ ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้

สพฺเพปิ อนฺตรายา เม มาเหสุ ตสฺส เตชสา.

อันตรายทั้งปวงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าด้วยเดชแห่งบุญนั้น

ปุจฉา-วิสัชชนา

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

ทำอย่างไรพ่อแม่ถึงอนุญาตให้อยู่วัด

ครั้งหนึ่งอุบาสิกาท่านหนึ่งสนใจศึกษาปฏิบัติธรรม แต่พ่อแม่ยังไม่ยอมให้ไปอยู่ที่วัดนาน ๆ เกรงว่าจะไม่ยอมกลับบ้าน จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ค่ะ ทำอย่างไร ? คุณพ่อคุณแม่จึงอนุญาตให้อยู่วัดไว ๆ ค่ะ"

หลวงปู่ตอบว่า "ก็ชวนให้คุณพ่อคุณแม่ได้มาปฏิบัติธรรมด้วยซี่ ถ้าท่านทั้งสองเห็นประโยชน์ เห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรมแล้ว ท่านจะสนับสนุนอนุญาตเร็วขึ้น"

"เสื่อมหรือไม่เสื่อม"

แต่ละวันจะมีญาติโยมมากราบหลวงปู่ ถามธรรมะบ้าง ขอของแจกบ้าง วันหนึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์มากราบ พร้อมกับขอเหรียญหลวงปู่ ชายคนหนึ่งก็ถามหลวงปู่ว่า "วัตถุมงคลและของต่าง ๆ ที่หลวงปู่แจก ถ้าเก็บไว้นาน ๆ ไป ของจะเสื่อมไหมครับ ?"

หลวงปู่ตอบว่า "ของไม่เสื่อมหรอก นอกจากเราจะเสื่อมศรัทธาจากของเอง"

"อยากได้บุญมาก ๆ"

โยมคนหนึ่งเห็นว่า เงินทองเป็นสิ่งหามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน เวลาจะทำบุญ จึงนึกอยากเลือกทำบุญให้คุ้มค่าเหนื่อย ถ้ามีโอกาส จะเลือกทำกับพระอริยบุคคล เพื่อหวังจะได้บุญมาก ๆ

ฉะนั้นวันหนึ่งขณะที่ได้ถวายสังฆทาน กำลังอุ้มผ้าไตรถวายแด่พระคุณหลวงปู่ ในใจก็นึกปิติยินดีว่า โอหนอ! วันนี้ฉันโชคดีจังเลยที่จะได้ทำบุญกับพระอรหันต์ บุญที่ได้ย่อมมากเป็นพิเศษ แค่นึกในใจเท่านั้น หลวงปู่มองหน้าแล้วพูดว่า

"ผู้รับหมดกิเลส ผู้ถวายก็ต้องหมดกิเลสด้วยนะ จึงจะได้บุญมาก"

โอโฮ ! ผู้ถวายสะอึกไปเลย คำพูดของหลวงปู่ประทับใจมาก ทำให้นึกว่าอย่างไรเสียเราจักต้องพยายามจัดการกับกิเลสของตนให้จงหนัก เพื่อความสมปรารถนาแห่งใจตน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง สาธุ

"อย่าไปเรียนอวิชชานะ"

คืนหนึ่งมีนักศึกษาสาวผู้หนึ่งแต่งชุดฟอร์มมากราบหลวงปู่

หลวงปู่ถามว่า "ยังเรียนอยู่หรือเป็นครูเขา ? หือ"

นักศึกษาหญิงตอบว่า "ยังเรียนอยู่เจ้าค่ะ"

หลวงปู่บอกว่า "ระวังอย่าไปเรียนอวิชชานะ เรียนวิชาต้องเรียนให้หายโกรธ หายหลง หายลืมนะ ขอให้เคารพมั่นในพระธรรม แล้วเจริญให้ถึงจะได้พ้นแก่พ้นตาย โลกุตตรธรรมมีอยู่จริง ๆ ด้วย ศาสนาพุทธคือพ้นเกิดพ้นตาย ผู้ใดถึงแล้ว เป็นผู้บรมสุข นั่นเอง"

"ระวังพ่อแม่จับติดคุกนะ"

เกือบทุกวันหลังกลับจากมหาวิทยาลัย นักศึกษาหญิงคนหนึ่ง จะไปกราบหลวงปู่ ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม ประมาณทุ่มหนึ่ง มีการทำวัตรเย็น แล้วหลวงปู่จะแสดงธรรม แม้คนน้อยหลวงปู่ก็เทศน์ หลวงปู่บอกว่าไม่ได้เทศน์ให้คนฟังเท่านั้นนะ เทวดาเขาก็ฟังด้วย คืนหนึ่งหลังจากเทศน์เสร็จแล้ว หลวงปู่หันมาที่นักศึกษาหญิงนั้นแล้วว่า

"ระวังพ่อแม่จะจับเราติดคุกนะ จำอดีตชาติได้ไหม ? การติดคุกอวิชชานะ (การแต่งงาน) ถ้าติดคุกแล้วมันไม่จบนะ เราตายไปเขาก็เอาใหม่ คุกนี้แน่นหนานัก จะอยู่กับวิชชาหรืออวิชชาล่ะ"

สักพักหนึ่งหลวงปู่มองหน้านักศึกษาผู้นั้นแล้วว่า "ม้าตัวนี้วิ่งเร็วไม่ล้มหรอก ไม่ต้องติดคุก"

เหมือนท่านจะรู้ เพราะตอนแรก คุณพ่อ คุณแม่ของนักศึกษานั้น ต้องการให้ลูกสาวแต่งงาน เหมือนพี่ ๆ แต่ด้วยความตั้งใจเข้มแข็งที่จะปฏิบัติธรรมจริงของลูก ทำให้พ่อแม่ต้องอนุญาต ไม่บังคับให้แต่งงานแล้ว สุดท้ายก่อนจะกลับบ้าน หลวงปู่สั่งว่า "ให้แผ่ส่วนบุญกุศลให้พ่อให้แม่ด้วยนะ"

"เกาะชายจีวร"

ในวันหนึ่งมีผู้ศรัทธาหลายท่าน ได้มากราบหลวงปู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปีกว่า เข้ามากราบหลวงปู่ด้วยความศรัทธา เธอนั่งพนมมือแล้วถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่เจ้าค่ะ ลูกจะขอเกาะชายจีวรหลวงปู่ ไปนิพพาน ด้วยคนนะเจ้าค่ะ"

หลวงปู่หันหน้ามาพูดตอบหญิงคนนั้นว่า "ขี้แทนกันได้หรือเปล่าล่ะ?"

"ไปดูหนังกันดีกว่า"

หญิงสาวกลุ่มหนึ่งมากราบหลวงปู่ แต่ละคนก็แต่งกายสวยงามรัดกุม ตอนหนึ่งหลวงปู่เทศน์ให้ฟังว่า "อยากดูหนังก็ให้ดูหนังเรา มีให้ดูตลอดเวลา ดูตามนี้ธรรมะดีขึ้น หนังเรามันดีลง จะไปติดอะไรกับหนัง จะไปเสียดายอะไรกับหนัง แค่กระดาษห่อขนมปังเท่านั้นเอง คนรู้นะ ! เขาทิ้งกระดาษห่อขนมปังทั้งนั้นแหละ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านรู้อย่างนี้ ท่านจึงไม่หลงไม่ลืม แล้วเราจะอวดดี ไปหลงไปลืม ทำไม !"

"กินเป็นยา"

หลวงปู่บอกกับลูกศิษย์หลังจากที่ท่านฉันอาหารเสร็จแล้วและลูกศิษย์ก็มาขออาหารที่เหลือจากท่านไป ท่านบอกว่า "อาหารทุกอย่างให้ฉันเป็นยานะ ไม่ใช่เจ ไม่เจ ไม่ให้ติด ทุกอย่างให้กินอาหารเป็นยารักษาโรคเท่านั้น"

"สึกทำไม"

พระภิกษุหนุ่มองค์หนึ่ง บวชเรียนธุดงค์กรรมฐานได้หลายพรรษาแล้ว เกิดร้อนผ้าเหลืองก็มีความปรารถนาอยากจะสึกมากเพราะต้องการที่จะไปแต่งงาน ก็มากราบลาหลวงปู่เพื่อขอพร บอกหลวงปู่ครับผมจะสึก หลวงปู่ก็ถามเหตุผล ภิกษุหนุ่มผู้นั้นก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา ตอนหนึ่งหลวงปู่ก็ให้โอวาทว่า "สึกทำไม? พระเณรสึกทำไม? เปลืองข้าววัดไม่แล้ว ยังจะเปลืองข้าวพ่อแม่อีก โอ่โธ่! นึกว่าจะไปช่วยทำงาน กลับไปช่วยให้เสียเงินเสียทองอีก พวกโกหกตัวเองนี่ โกหกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วย เพราะฉะนั้น อย่าหัดโกหกแลย ถ้าไม่รู้ว่าบวชเพื่ออะไรแล้ว จะบวชทำไม? บวชโง่ ๆ งั่ง ๆ บวชทำไมล่ะ! เกะกะบ้านเมืองเขา บวชแล้วต้องฉลาดซี่"

"ท ทหารอดทน"

หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่ท่านยังไม่ได้บวช ท่านเป็นทหารและก็ได้อยู่ในฝ่ายทำอาหาร มีผู้หญิงชอบมาแกล้งท่าน โดยเข้ามาจับท่าน ท่านจึงพูดว่า "อย่ามาจับนะ พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาต อย่ามาจับ อย่ามาต้อง บาปนะ"

"เราเคยทำเขาไว้"

ตอนเด็ก ๆ หลวงปู่เคยตกปลา ขณะปลาติดเบ็ด หลวงปู่สงสารจึงได้แกะปลาออกจากเบ็ดแล้วปล่อยมันทิ้งไป ต่อมาภายหลังเมื่อหลวงปู่บวชแล้ว ขณะที่นั่งอยู่ในศาลาเผอิญมีแมวตัวหนึ่งมองเห็นเงาของมันในตาของหลวงปู่ จึงใช้ขาของมันข่วนใต้ตาของหลวงปู่อย่างแรง เลือดไหลอาบหน้า แล้วแมวก็มาหลบอยู่ข้างหลังหลวงปู่ ทำให้ชาวบ้านหาแมวไม่เจอ หลวงปู่บอกว่า "ไม่เป็นไร เราเคยทำเขาไว้" แล้วให้ลูกศิษย์เอาน้ำนมแม่ลูกอ่อนมาหยอดตา และให้ชาวบ้านนำแมวกลับไปเลี้ยงที่บ้าน โดยสั่งกำชับไม่ให้ชาวบ้านรังแกมัน

"งานแต่งกับงานบวช"

หลวงปู่ได้มีกิจนิมนต์ไปบ้านโยมที่ศรัทธาท่านหนึ่ง เขาจัดงานแต่งงานให้กับลูกหลาน หลวงปู่ก็ไปงานนี้แล้วก็เทศน์ เทศน์ไปเทศน์มา คู่บ่าวสาวคู่นี้ก็เลยล้มเลิกที่จะแต่งงาน และขอจัดงานแต่งเป็นงานบวช ปู่กับย่า ตากับยายที่มาร่วมงานแต่ง ต่างซาบซึ่งในคำสอนของหลวงปู่ ก็เลยขอบวชตามหลานด้วย

"ขี้เกียจทำมาหากิน"

มีโยมผู้ชายคนหนึ่ง มีโอกาสได้กราบหลวงปู่ และถวายการนวดให้หลวงปู่ ตอนหนึ่งแกนวดไปแล้วก็พูดไปว่า "หลวงปู่ครับ ผมไม่อยากทำมาหากิน อยากอยู่เฉย ๆ จะให้นั่งภาวนาผมก็ไม่อยากนั่ง"

หลวงปู่ตอบว่า "คนไหนขยัน คนนั้นแหละ เป็นลูกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนไหนขี้เกียจ ขี้คร้าน เป็นลูกของกิเลส"

"ฟังธรรมะอย่างไรดี?"

ในตอนหนึ่ง หลวงปู่ท่านได้เทศน์โปรดญาติโยมจากกรุงเทพฯ ทุกคนนั่งสมาธิหลับตาฟังกันอย่างสงบ หลวงปู่ก็กวาดสายตาไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง แล้วก็เทศน์เป็นช่วง ๆ ก่อนจบหลวงปู่พูดว่า "ฟังธรรมะไม่ใช่ฟังเท ฟังทิ้งนะ ฟังธรรมต้องทำไปด้วยซี่"

"ขี้ของกู"

หลวงปู่ปรารภขึ้นลอย ๆ ในวันหนึ่งว่า "คนเรานี่มันบ้า ขี้ออกไปจากตูดแล้ว ก็ยังยึดว่าขี้ของกูอีก"

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีชาย ๒ คน คนแรกเดินไปในทุ่งแล้วขี้กองเอาไว้ อีกคนหนึ่งเดินมาเห็นขี้กองนั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ขี้ ชายคนที่สองก็บ่นว่า "ขี้ของใครวะ? เหม็นตายห่า" พอดีเจ้าของขี้ได้ยินเข้า โมโหใหญ่ พูดตอบว่า "มึงมาด่ากูขี้เหม็นทำไมวะ!" อีกคนก็ตอบว่า "กูไม่รู้นี่ ว่าขี้ของมึง" ทั้ง ๒ คน ก็เลยทะเลาะกัน หลวงปู่บอกว่า "ดูซี่ คนเราแม้แต่ขี้ของมันถ่ายออกไปแล้ว ใครมาว่ามันก็ยังโกรธ นั่นแหละความหลง"

"สังกัดวัดอะไร"

มีชายคนหนึ่งได้มีโอกาสเข้าพบหลวงปุ่ ในคราวที่หลวงปู่เดินทางไปกิจนิมนต์ ชายผู้นั้นถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่อยู่วัดอะไรครับ?" หลวงปู่ตอบว่า "อยู่วัดสองขา" (หมายความว่า อยู่ตรงไหน? ตรงนั้นก็เป็นวัด)

"บอดนอกสว่างใน"

มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ก็เล่าเรื่องหลวงพ่อสงฆ์ให้ฟัง (หลวงพ่อสงฆ์ เป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เคยปฏิบัติกับหลวงปู่ ในถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์) หลวงปู่บอกว่า "หลวงพ่อสงฆ์ท่านตาบอด ท่านบอดแต่ตา แต่ธรรมะท่านไม่บอดนะ"

"พระธุดงค์"

มีพระกลุ่มหนึ่งจะออกธุดงค์ ก็ได้มากราบขอพรหลวงปู่ และขอคำแนะนำก่อนที่จะไปธุดงค์ หลวงปู่ก็ให้โอวาทว่า "เข้าป่าก็ให้เข้าป่าเป็นปัญญา เข้าป่าโง่ ๆ ก็เป็นถูดงค์ ไม่ใช่ธุดงค์นะ"

"เป็นโสดทำไม"

กลุ่มสาวโสดสี่คนเป็นกลุ่มที่ผ่านการปฏิบัติมาไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี ได้มีศรัทธามากราบเยี่ยมหลวงปู่ ก่อนหน้าที่จะมากราบหลวงปู่ก็ได้วิจารณ์เรื่องทุกข์ของการแต่งงาน ในกลุ่มสาวโสดทั้ง ๔ คน บางคนก็มีชายหนุ่มมาหมายปอง แต่หญิงผู้นั้นก็พยายามที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย แต่ในใจก็ยังมีจิตที่พึงพอใจ ก็พากันมากราบหลวงปู่เพราะบังเอิญวันหยุดงานตรงกันพอดี หลวงปู่ก็ให้ธรรมะว่า "พวกโสดาโลกุตตระนี้ทำงานได้มากกว่าใคร ทำงานเท่าไรก็ไม่เก้อเขิน อนาคาโลกุตตระทำงานได้มาก เข้าบ้านเข้าวัดได้ แต่ไม่ยอมมีคู่ไง กายโสด จิตโสด โสดจากสังโยชน์ ๕ นี่ล่ะ"

"เข้าวัดเมื่อไรดี"

มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง มากราบหลวงปุ่ แล้วก็เลยขอโอกาสถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ค่ะ เมื่อไรลูกจะได้มาอยู่วัดซะที"

หลวงปู่ตอบว่า "หมดโกรธแล้วอยู่วัดดีนะ"

"เมื่อไรจะละสังขาร"

มีญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ ก็มักจะชื่นชมความอายุยืนของหลวงปู่ และก็อยากจะให้หลวงปู่มีอายุยืนนานไปมาก ๆ ก็พยายามขอให้หลวงปู่มีอายุยืนกว่าร้อยปี บางพวกก็สงสัยอยากทราบว่า หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร? ก็เลยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร? บอกได้ไหมครับ?" หลวงปู่ตอบว่า "ตายวันไหน ก็บอกวันนั้นซี่"

"เกิดบ่อย ๆ ตายบ่อย ๆ สนุกหรือ?"

มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งชอบติดตามฟังธรรมของหลวงปู่เสมอ วันหนึ่งหลวงปู่บอกว่า "ขอให้เป็นผู้ช่วยเหลือดำรงค์พุทธศาสนาเอาไว้ด้วยนะ ให้มีลมหายใจเป็นธรรมะ ยืน เดิน นั่ง นอนเป็นธรรมะ ลมหายใจเข้าออกอยู่กับธรรมะ เกิดบ่อย ๆ ตายบ่อย ๆ สนุกหรือ? อย่าตายนะ ! จะได้ไม่เกิด คนที่ไม่ตายคือคนที่ตัดอาสวะได้ ตัดกิเลสตัณหาได้ เราพ้นจากอาสวะเดี๋ยวนี้ก็สำเร็จตลอดไป ไม่มีเสื่อมนะ"

"เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเอง"

นักศึกษาท่านหนึ่ง ได้เรียนถามหลวงปู่ว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไรคะ"

หลวงปู่ตอบว่า" "เกิดมาเพื่อดับกิเลสตนเองซี่! ให้ละกามเด็ดขาดในภพนี้ ตัดให้ขาดจากการเป็นของคู่ ปุถุชนเต็มขั้นหนาด้วยกิเลส ได้แต่ศึกษาไม่นำมาปฏิบัติ แล้วจะรู้แจ้งได้อย่างไรเล่า ?

เกิดมาทำไมให้ต้องวนเวียน เกิดแล้วตายไม่สิ้นสุดจะเอาอีกหรือ? เราชาวพุทธให้เร่งเจริญอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ศาสนอยู่ที่ขันธ์ ๕ มิใช่อยู่ที่อื่นเลย

คนอื่นทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของเรา ทดสอบเราทั้งดีทั้งชั่ว เมื่อเรามีสังขารครบบริบูรณ์แล้ว อย่าได้ทับโลกุตตรธรรมเลย อย่ามัวแบกทุกข์อวิชชาอยู่เลย อย่าได้ประมาทนิ่งนอนใจนะ ขอให้สำรวมในกายวาจาใจ ให้เต็มตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ศรัทธามั่นในโลกุตตรธรรม จะได้รู้แจ้งธรรม พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย"

"เดินไม่ถูกทาง ไม่ถึงที่หมายได้นะ"

มีอุบาสิกานักคุยกลุ่มหนึ่ง มากราบหลวงปู่แล้วชอบนำเรื่องคนอื่นมาวิจารณ์ หลวงปู่เตือนว่า "พวกเราถูกความแก่ เจ็บ ตาย คาดโทษไว้แล้ว จงรีบแก้ไขตัวเองซี่! เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ จะเอาอีกหรือ? หือ? มัวแต่มองตาคนอื่นทำไม? ตาของเราก็มี มองผิวหนังคนอื่นทำไม? หนังของเราเองก็มีอยู่รอบ มองหน้าคนอื่นทำไม หน้าของเราก็มีอยู่แล้ว ระวัง ! อย่าคล้อยตามคน สัตว์ บุคคล จะหลงทาง เดินไม่ถูกทางไม่ถึงที่หมายได้นะ"

แสวงธรรม Sawaengthamma@hotmail.com