#echo banner="" จอมคนของแผ่นดินทรงมีพระราชปุจฉาต่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

เทศนาพระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย)

วัดเขาสุกิม ตำบลเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี

คัดลอกจาก : http://watkhaosukim01.blogspot.com/2012/06/blog-post_5874.html

 

จอมคนของแผ่นดินทรงมีพระราชปุจฉา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปุจฉาว่า..พระคุณเจ้าโยมขอถามปัญหาธรรมบางประการ ?

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วิสัชนาว่า..ขอถวายพระพร พระมหาบพิตรราชสมภารเจ้า สิ่งใดที่ไม่เหลือสติ...ปัญญาของอาตมาภาพแล้ว ขอพระองค์ทรงพระราชปุจฉาได้ ขอถวายพระพร...

ในหลวง

ผู้คนเขามาวัดทำไมกัน ?...

หลวงปู่ฯ

ผู้มาวัด มาด้วยเหตุต่างๆ กัน บางคนเป็นคนดีอยู่แล้ว มาวัดด้วยการมุ่งทำความดีให้มากขึ้นด้วยการมาถือศีลภาวนา บางคนมาด้วยความอยากรู้ อยากเห็นว่าทางวัดเขาทำอะไรกันบ้าง บางคนก็มาด้วยความตั้งใจจริง ๆ ที่จะมาช่วยงานวัด เพราะเห็นว่าอยู่บ้านไม่มีธุระที่จะทำ บางคนก็มาด้วยเหตุที่เห็นว่าอยู่บ้านมีแต่ปัญหา ล้วนแต่น่าเบื่อหน่าย สู้มาวัดหาความสงบ ดีกว่า อย่างนี้ก็มี เรียกว่ามาวัดทำให้สบายใจ.ขอถวายพระพร....

ในหลวง

ที่พระคุณเจ้าว่าชาวบ้านเขาเบื่อหน่ายนั้น เขาเบื่ออะไรกัน ?...

หลวงปู่ฯ

การเบื่อหน่ายของชาวบ้านมีด้วยกันสองอย่าง บางคนเบื่อหน่ายต่อการงานที่ต้องทำอย่าง จำเจ ก็หาเวลามาวัดเพื่อพักผ่อนเป็นการเบื่ออย่างไม่จริงจัง บางคนมีความเบื่อจริงๆ โดยเห็นว่าการเป็นอยู่ทางโลกนั้น ถึงจะมั่งมีสามารถหาความสุขได้ทุกอย่างก็จริง ล้วนแต่เป็นความสุขชั่วคราว ไม่เป็นความสุขที่แท้จริงเหมือนอย่างความสุขทางธรรม บางคนเห็นไปว่าเกิดมาแล้วก็หนีความตายไม่พ้น ก่อนจะตายก็ควรจะได้ทำอะไรๆ ให้เป็นเหตุให้ตายดี มีความสุข อย่างนี้ก็มี ขอถวายพระพร...

ในหลวง

การที่พระคุณเจ้าสอนคนให้นึกถึงความตายนั้น ถ้าหากสอนไม่ดีแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้คนเกิดความเกียจคร้านในการแสวงหาเลี้ยงชีพ ทำให้เป็นคนจนเป็นภาระของสังคมก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น ต้องระวังในการสอน อย่าให้เกิดผลร้าย ?...

หลวงปู่ฯ

โดยปกติ พระจะสอนให้เห็นโทษของความมัวเมา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดความเห็นผิดเป็นชอบ มักจะสอนให้คิด ให้รู้เห็น ในทางถูกก่อน เช่น

ก. อย่ามัวเมาในวัย ว่ายังเป็นหนุ่ม เป็นสาวอยู่

ข. อย่ามัวเมาในความไม่มีโรคมาเบียดเบียน

ค. อย่ามัวเมาในชีวิตว่าเวลาของเรายังมีอยู่ ด้วยเหตุดังถวายพระพรมาแล้ว ทางพระจึงสอนให้ทุกคนนึกถึงความตาย ถ้าไม่สอนให้เขาเข้าใจในทางถูกก่อนแล้ว กลับจะเป็นผลร้ายดังพระราชปุจฉาโดยแท้ การเจริญมรณสตินั้น ชั้นต้นเพื่อให้รู้ว่า ทุกคนหนีความตายไม่พ้น ไม่ว่าจะเป็นคนมี คนจน มีความตายเหมือนกัน เท่ากันทั้งนั้น สำหรับผู้ทำการภาวนา การเจริญกรรมฐาน เพื่อให้นิวรณ์สงบ ก็จำเป็นต้องพิจารณากำหนดเป็นอย่างๆ ไป ความตาย คือนายเพชฌฆาต ความตาย คือ ต้องพลัดพรากจากสมบัติทุกอย่าง เขาตาย-เราก็ต้องตายเหมือนเขา ชีวิตเป็นของที่กำหนดเอาเองไม่ได้หรือจะกำหนดเอาว่าอายุเท่านั้นเท่านี้จะตาย ก็กำหนดไม่ได้ ทั้งนี้ เมื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า ชีวิตเป็นของน้อย จะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ได้ ขอถวายพระพร.

ในหลวง

โยมขอถามพระคุณเจ้าอีกสักข้อว่า "ปุถุชนคนธรรมดาบางคน ที่มีลักษณะเหมือนพระอรหันต์บางอย่าง นั้นในโลกนี้จะมีบ้างไหม?..." โยมอยากเทียบเพื่อวิเคราะห์ถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ที่แท้จริง?

หลวงปู่ฯ

ตามที่มหาบพิตรอยากทราบว่าปุถุชนคนธรรมดาที่ลักษณะคล้ายพระอรหันต์บางอย่าง ในโลกนี้มีแน่นอน แต่ในด้านคุณธรรมนั้นจะไม่เหมือนกัน ปุถุชนคนธรรมดายังละสังโยชน์ไม่ได้ สังโยชน์คือเครื่องผูกมัดใจสัตว์ พระอริยบุคคลชั้นต้น คือ พระโสดาบันบุคคล ชั้นกลางคือ พระสกทาคามีบุคคล และพระอนาคามีบุคคล ชั้นสูงคือ พระอรหันตบุคคล พระอริยบุคคลระดับพระโสดาบันบุคคลอย่างน้อยก็ต้องละสังโยชน์ ๓ ได้ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส นั่นเอง ขอถวายพระพร...

ในหลวงฯ

ในด้านคุณธรรมนั้นทราบแล้วย่อมแตกต่างไม่เหมือนกันแน่ ขอทราบลักษณะอาการบางอย่างที่ว่าเหมือนกันนั้นจะมีบ้างไหม?

หลวงปู่ฯ

พอมีอยู่บ้าง ขอถวายพระพร...

ในหลวง

ที่พระคุณเจ้าว่าพอมีนั้นปุถุชนคนนั้นคือใคร? ลักษณะที่เหมือนนั้นเหมือนอย่างไร?

หลวงปู่ฯ

ปุถุชนคนนั้น คือ นักโทษที่รอการประหารชีวิต ลักษณะที่เหมือนนั้นคือ จะนึกถึงความตายตลอดเวลา ขอถวายพระพร

ในหลวง

มีตัวอย่างบ้างไหม?

หลวงปู่ฯ

ขอถวายพระพร อาตมาภาพขอยกตัวอย่างเช่น นาย ก. ถูกพิพากษาความว่าอีก ๗ วันข้างหน้านี้ นาย ก.จะถูกประหารชีวิต ขณะนั้นนาย ก. ย่อมมีความรู้สึกบางอย่างเหมือนพระอริยบุคคล คือ รู้สึกว่าตัวเองจะต้องตายแน่ ภายใน ๗ วัน ขอถวายพระพร...

ในหลวง

เหมือนอย่างไร? ขอพระคุณเจ้าอธิบายด้วย ?

หลวงปู่ฯ

ขอถวายพระพร คืออย่างนี้ นาย ก. เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในอีก ๗ วันข้างหน้า นาย ก. จะมีความตายขึ้นสมอง คือ จะนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา จะทำอะไรก็สักแต่ว่าทำไปอย่างนั้น เดี๋ยวก็จะต้องตายแล้วอย่างนี้ เป็นต้น ใครจะเอาวัตถุสิ่งของ เงินทองหรือของมีค่าใดๆ มาให้ก็แล้วแต่ นาย ก.จะมีความรู้สึกว่าเราจะต้องตายจากในอีก ๗ วัน คำว่า "ตาย" จะมาตัด บทภายในดวงจิตของนาย ก.ทันที กิเลสตัวนี้จะไม่มี ความยินดีในข้าวของเงินทองสิ่งต่างๆ ที่คนนำมาให้นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร อีก ๗ วันก็จะตายอยู่แล้ว พระอริยเจ้าท่านก็นึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ใครจะเอาปัจจัยสี่อย่างดีแค่ไหนมาถวายท่านก็สักแต่ว่าเป็นของนั้นของนี้ ไม่ใยดี ปล่อยวาง เดี๋ยวก็จะต้องตายจากวัตถุเหล่านี้ไปแล้ว ขอถวายพระพร

อีกตัวอย่างหนึ่ง อาตมาภาพในเวลานี้เช่นกัน อาตมาภาพเคยสลบไปถึงสิบห้าชั่วโมง พอฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ยังนึกถึงอยู่เสมอว่าเทพเจ้าชาวโลกทิพย์ที่เขาอนุญาตให้อาตมาภาพกลับมายังโลกมนุษย์ได้เพียงชั่วคราวนั้น เมื่อไร เวลาไหนเขาจะมาเอาอาตมาภาพกลับไปอีก เขาไม่ได้บอกอาตมาภาพเลยว่า อีก ๗ วัน หรือ ๗ เดือน หรือ ๗ ปี ท่านจะต้องตาย ไม่บอกเลย นักโทษเสียยังดีกว่าเพราะรู้แน่ๆ ว่าจะต้องตายภายในวันนั้น วันนี้ เขารู้ว่าชีวิตของเขาเหลือน้อยแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ ๗ วัน เท่านั้น จะทำอะไรให้รีบทำเสีย! ส่วนของอาตมาภาพนี้ไม่มีกำหนดอะไรเลย แต่อาตมาภาพก็ไม่ประมาท พยายามนึกถึงความตายอยู่เสมอ รีบทำความดีตลอดเวลา กลัวว่าความตายจะมาถึงเดี๋ยวนี้ นับตั้งแต่อาตมาภาพฟื้นขึ้นมาแล้ว ใครจะเอาอะไรมาถวาย ไม่ว่าจะดีประณีตสักแค่ไหน ไม่ว่าปัจจัยสี่ชนิดใดก็แล้วแต่อาตมาภาพรับแล้วก็ทำให้นึกถึงว่า "เราจะต้องตายจากปัจจัยสี่เหล่านี้" นักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตก็เช่นกัน มหาบพิตร ลองให้ใครไปถามดูก็ได้ว่า "คุณกินอาหารมื้อนี้อร่อยไหม?" เขาจะตอบทันทีว่า"... อร่อย แต่ไม่ใยดีเลย เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องตายแล้ว ! ..พระอริยบุคคลก็เช่นกัน จะนำของบริโภคชั้นดีขนาดไหนมาให้ ท่านก็สักแต่ว่า เดี๋ยวก็จะต้องตายจาก.คำว่า..ตาย..ตาย..จะมีอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกของพระอริยบุคคล.. ท่านจะไม่มีความใยดีต่อสมบัติของชาวโลกที่สมมุติกันว่า สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี ทั้งสิ้น ! ท่านมีแต่ สักว่าสิ่งนั้น สักว่าสิ่งนี้ แล้วก็จะต้องตายจาก...

ยังมีชาดกอยู่เรื่องหนึ่ง ขอเล่าถวายมหาบพิตร เพื่อเปรียบเทียบว่าลักษณะของปุถุชนกับพระอริยบุคคลที่มีอะไรเหมือนกัน..สมัยพุทธกาลนั้น ยังมีพระราชาเมืองหนึ่ง องค์พี่เป็นพระราชา องค์น้องเป็นมหาอุปราช วันหนึ่งพระราชาเสด็จประพาสนอกเมือง มหาอุปราชผู้น้องอยู่ในพระนคร นึกขึ้นมาว่าเสด็จพี่ของเราเป็นพระราชามีความสุขอย่างไรหนอ? กว่าเราจะได้เป็นพระราชาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร?...อยากลองสวมชุดของพระราชาดูสักหน่อยว่าจะมีความสุขขนาดไหน?

ว่าแล้วก็แอบเข้าไปในห้องทรงของเสด็จพี่ ถือวิสาสะเอาชุดกษัตริย์ของเสด็จพี่มาลองสวมดู เอาพระขรรค์มากำไว้ในมือ แต่งองค์เสร็จแล้วก็ลองออกมาประทับบนพระแท่นที่ว่าราชการของกษัตริย์ เหล่าเสนาอำมาตย์มาพบเข้าก็พากันจับกุมส่งพระราชา ตั้งข้อหาว่าอุปราชก่อการกบฏแอบเอาเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์มาใส่ พระราชาเสด็จกลับจากประพาสนอกเมืองจึงสอบถามอุปราชผู้น้อง..

อุปราชผู้น้องรับสารภาพว่า มิได้คิดคดกบฏต่อเสด็จพี่แต่อย่างไร เพียงแค่อยากลองทรงเครื่องของกษัตริย์ดูแค่นั้นว่า มีความสุขอย่างไร?...

แต่กฎมณเฑียรบาล ถือว่ามีความผิดต้องโทษถึงประหารชีวิตทันที ...

แต่ด้วยมีความสงสารน้องชายจึงยืดเวลาให้น้องอยู่ต่อไปอีก ๗ วัน ก่อนประหารชีวิต ก็ต้องการให้น้องได้มีความสุขจึงสละราชสมบัติให้น้องได้สำเร็จราชการแทน ๗ วัน น้องจะทำอะไร ต้องการอะไร อย่างพระราชาให้ทำได้ทั้งหมดเพื่อความสุขของน้องก่อนตาย วันเวลาผ่านไป แต่และวันพระราชาตัวจริงก็ถามน้องชายอยู่ทุกวันว่า น้องเป็นอย่างไรบ้าง ที่เป็นพระราชาอยู่นี้มีความสุขบ้างไหม? เสวยอย่างพระราชา บรรทมอย่างพระราชา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพระราชาทุกอย่างมีความสุขบ้างไหม? ...

น้องชายตอบทันทีว่า "หาความสุขมิได้เลย เพราะวันหนึ่ง ๆ ก็นึกเพียงว่าเหลือเวลาอีก ๓ วันก็จะตาย เหลือเวลาอีก ๒ วัน เหลือเวลาเพียงพรุ่งนี้ก็ต้องตาย นึกแต่เพียงว่าความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ ใกล้เข้ามาทุกวัน จนเหลือเพียงพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ก็จะต้องตายแล้ว..เครื่องทรงและสิ่งทั้งหลายที่เสด็จพี่ประทานมาให้นั้นก็เพียงสักแต่ทรง เท่านั้นไม่ได้คิดเลยว่านี่คือเครื่องทรงของพระราชา..สักแต่ว่าปกปิดอวัยวะไม่ให้ละอายเท่านั้น...พระกระยาหารรสเลิศของเมืองนี้ที่เสด็จพี่ประทานให้เสวยแต่ละวัน ก็เพียงแค่กินรอวันตายเท่านั้น ไม่ได้ยินดีว่าอันนี้รสเลิศอร่อย ไม่มีโปรดอะไรเลย เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องตายอยู่แล้ว..จะนึกอยู่อย่างเดียวว่า ตาย..ตาย..ตาย ตลอดเวลา...

มหาบพิตร พระอริยบุคคลก็เช่นกันย่อมมีลักษณะที่เหมือนกับปุถุชนก็คืออย่างนี้ คือจะมีมรณานุสสติขึ้นสมองทุกขณะจิต สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสถามพระอานนท์ ว่า "อานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่หน"

พระอานนท์กราบทูลว่า "๑๐๐ หนพระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า "เธอทำไมประมาทนักเล่า ! อานนท์"

"เราตถาคต ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

มหาบพิตร ลักษณะของปุถุชน คนสามัญธรรมดา ส่วนที่เหมือนพระอริยบุคคลนั้นก็คือ นักโทษที่รู้ว่าจะต้องถูกประหารชีวิตในวันนั้นๆ คนๆ นั้นเมื่อรู้ว่าจะต้องตายในวันนั้นๆ จะต้องพลัดพรากจากพ่อ แม่ ลูก เมีย อันเป็นที่รักของตน ย่อมไม่มีความยินดีในเครื่องนุ่งห่มดีๆ อาหารดีๆ แม้แต่แก้วแหวนเงินทอง ใครจะเอาอะไรมาสวมใส่ให้แม้แต่เครื่องทรงของพระราชาก็ตาม เขาจะไม่มีความยินดีในสิ่งนั้นๆ เลย เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่า จะต้องตาย ความตายจะขึ้นสมอง หรือมีมรณสติทุกลมหายใจเข้า-ออกนั่นเอง...

ปุถุชนกับพระอริยบุคคลย่อมไม่เหมือนกันเพราะพระอริยบุคคลท่านมีมหาสติอยู่ตลอดเวลา มีอาการสำรวมอินทรีย์อยู่ตลอดเวลา ส่วนปุถุชนคนธรรมดาเป็นผู้ขาดสติ ขาดการสำรวมอินทรีย์ จึงทำให้ลักษณะของปุถุชนกับพระอริยบุคคลแตกต่างไม่เหมือนกัน แต่บางอย่างที่คล้ายกันนั้นก็คือพระอริยบุคคลท่านจะมีมรณสติอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก ปุถุชนทั่วไปที่จะนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลานั้นน้อยนัก ตลอดทั้งปีบางคนถามได้เลยว่า เคยนึกถึงความตายบ้างไหม? ไม่มีใครนึกถึงเลย จึงถือว่าประมาท แต่ยังมีปุถุชนอีกประเภทหนึ่ง

"...ได้แก่นักโทษประหารชีวิตที่รู้ว่าตนเองจะต้องตายในวันนั้นๆ นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะนึกถึงความตายไม่ได้ทุกลมหายใจเข้า-ออก แต่ก็บ่อยครั้งมากกว่าคนธรรมดา นักโทษนั้นเขาจะนึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ว่า..ตาย..ๆ..ๆ ...เราจะต้องตาย เราจะต้องพลัดพรากจากบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติพัสถาน เราจะต้องตายในอีกเท่านั้นวัน เท่านี้วัน คำว่าตายจะมีอยู่เกือบทุกลมหายใจทีเดียว"... นี่แหละที่มหาบพิตรอยากทราบว่าปุถุชนมีส่วนที่เหมือนกับพระอริยบุคลนั้นมีส่วนไหนบ้าง อาตมาภาพเห็นว่าระดับจิตของบุคคลทั้งสองย่อมแตกต่างในด้านคุณธรรม สูงต่ำต่างกันในด้านคุณธรรม จึงเหมือนกันไม่ได้เลย

แต่ลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันนั้นก็คือ การคิดถึงหรือนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ปุถุชนคนธรรมดาที่จะนึกถึงความตายได้ขนาดนั้นก็เห็นมีแต่นักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตเท่านั้น ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในวันนั้นๆ ก็จะคิดถึงหรือนึกถึงความตายของตัวเองอยู่เสมอๆ ลักษณะตรงนี้จึงเรียกว่าคล้ายกันกับพระอริยบุคคล เพราะว่าพระอริยบุคคลท่านจะมีมรณสติอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก..."

ขอถวายพระพร....