ขอถวายพระพร คืออย่างนี้ นาย ก. เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในอีก ๗ วันข้างหน้า นาย ก. จะมีความตายขึ้นสมอง คือ จะนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา จะทำอะไรก็สักแต่ว่าทำไปอย่างนั้น เดี๋ยวก็จะต้องตายแล้วอย่างนี้ เป็นต้น ใครจะเอาวัตถุสิ่งของ เงินทองหรือของมีค่าใดๆ
มาให้ก็แล้วแต่ นาย ก.จะมีความรู้สึกว่าเราจะต้องตายจากในอีก ๗ วัน คำว่า "ตาย" จะมาตัด
บทภายในดวงจิตของนาย ก.ทันที กิเลสตัวนี้จะไม่มี ความยินดีในข้าวของเงินทองสิ่งต่างๆ ที่คนนำมาให้นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร อีก ๗ วันก็จะตายอยู่แล้ว พระอริยเจ้าท่านก็นึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ใครจะเอาปัจจัยสี่อย่างดีแค่ไหนมาถวายท่านก็สักแต่ว่าเป็นของนั้นของนี้ ไม่ใยดี ปล่อยวาง เดี๋ยวก็จะต้องตายจากวัตถุเหล่านี้ไปแล้ว
ขอถวายพระพร
อีกตัวอย่างหนึ่ง อาตมาภาพในเวลานี้เช่นกัน อาตมาภาพเคยสลบไปถึงสิบห้าชั่วโมง พอฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ยังนึกถึงอยู่เสมอว่าเทพเจ้าชาวโลกทิพย์ที่เขาอนุญาตให้อาตมาภาพกลับมายังโลกมนุษย์ได้เพียงชั่วคราวนั้น เมื่อไร เวลาไหนเขาจะมาเอาอาตมาภาพกลับไปอีก
เขาไม่ได้บอกอาตมาภาพเลยว่า อีก ๗ วัน หรือ ๗ เดือน หรือ ๗ ปี ท่านจะต้องตาย ไม่บอกเลย นักโทษเสียยังดีกว่าเพราะรู้แน่ๆ ว่าจะต้องตายภายในวันนั้น วันนี้ เขารู้ว่าชีวิตของเขาเหลือน้อยแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ ๗ วัน เท่านั้น จะทำอะไรให้รีบทำเสีย! ส่วนของอาตมาภาพนี้ไม่มีกำหนดอะไรเลย แต่อาตมาภาพก็ไม่ประมาท พยายามนึกถึงความตายอยู่เสมอ รีบทำความดีตลอดเวลา กลัวว่าความตายจะมาถึงเดี๋ยวนี้ นับตั้งแต่อาตมาภาพฟื้นขึ้นมาแล้ว ใครจะเอาอะไรมาถวาย ไม่ว่าจะดีประณีตสักแค่ไหน ไม่ว่าปัจจัยสี่ชนิดใดก็แล้วแต่อาตมาภาพรับแล้วก็ทำให้นึกถึงว่า "เราจะต้องตายจากปัจจัยสี่เหล่านี้" นักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตก็เช่นกัน มหาบพิตร ลองให้ใครไปถามดูก็ได้ว่า "คุณกินอาหารมื้อนี้อร่อยไหม?" เขาจะตอบทันทีว่า"... อร่อย แต่ไม่ใยดีเลย เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องตายแล้ว ! ..พระอริยบุคคลก็เช่นกัน จะนำของบริโภคชั้นดีขนาดไหนมาให้ ท่านก็สักแต่ว่า เดี๋ยวก็จะต้องตายจาก.คำว่า..ตาย..ตาย..จะมีอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกของพระอริยบุคคล..
ท่านจะไม่มีความใยดีต่อสมบัติของชาวโลกที่สมมุติกันว่า สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี ทั้งสิ้น ! ท่านมีแต่ สักว่าสิ่งนั้น สักว่าสิ่งนี้ แล้วก็จะต้องตายจาก...
ยังมีชาดกอยู่เรื่องหนึ่ง ขอเล่าถวายมหาบพิตร เพื่อเปรียบเทียบว่าลักษณะของปุถุชนกับพระอริยบุคคลที่มีอะไรเหมือนกัน..สมัยพุทธกาลนั้น ยังมีพระราชาเมืองหนึ่ง องค์พี่เป็นพระราชา องค์น้องเป็นมหาอุปราช
วันหนึ่งพระราชาเสด็จประพาสนอกเมือง มหาอุปราชผู้น้องอยู่ในพระนคร
นึกขึ้นมาว่าเสด็จพี่ของเราเป็นพระราชามีความสุขอย่างไรหนอ?
กว่าเราจะได้เป็นพระราชาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร?...อยากลองสวมชุดของพระราชาดูสักหน่อยว่าจะมีความสุขขนาดไหน?
ว่าแล้วก็แอบเข้าไปในห้องทรงของเสด็จพี่ ถือวิสาสะเอาชุดกษัตริย์ของเสด็จพี่มาลองสวมดู เอาพระขรรค์มากำไว้ในมือ
แต่งองค์เสร็จแล้วก็ลองออกมาประทับบนพระแท่นที่ว่าราชการของกษัตริย์ เหล่าเสนาอำมาตย์มาพบเข้าก็พากันจับกุมส่งพระราชา
ตั้งข้อหาว่าอุปราชก่อการกบฏแอบเอาเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์มาใส่
พระราชาเสด็จกลับจากประพาสนอกเมืองจึงสอบถามอุปราชผู้น้อง..
อุปราชผู้น้องรับสารภาพว่า มิได้คิดคดกบฏต่อเสด็จพี่แต่อย่างไร
เพียงแค่อยากลองทรงเครื่องของกษัตริย์ดูแค่นั้นว่า มีความสุขอย่างไร?...
แต่กฎมณเฑียรบาล
ถือว่ามีความผิดต้องโทษถึงประหารชีวิตทันที ...
แต่ด้วยมีความสงสารน้องชายจึงยืดเวลาให้น้องอยู่ต่อไปอีก ๗ วัน
ก่อนประหารชีวิต ก็ต้องการให้น้องได้มีความสุขจึงสละราชสมบัติให้น้องได้สำเร็จราชการแทน ๗ วัน น้องจะทำอะไร ต้องการอะไร
อย่างพระราชาให้ทำได้ทั้งหมดเพื่อความสุขของน้องก่อนตาย วันเวลาผ่านไป แต่และวันพระราชาตัวจริงก็ถามน้องชายอยู่ทุกวันว่า
น้องเป็นอย่างไรบ้าง ที่เป็นพระราชาอยู่นี้มีความสุขบ้างไหม? เสวยอย่างพระราชา บรรทมอย่างพระราชา
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพระราชาทุกอย่างมีความสุขบ้างไหม? ...
น้องชายตอบทันทีว่า "หาความสุขมิได้เลย
เพราะวันหนึ่ง ๆ ก็นึกเพียงว่าเหลือเวลาอีก ๓ วันก็จะตาย เหลือเวลาอีก ๒ วัน เหลือเวลาเพียงพรุ่งนี้ก็ต้องตาย
นึกแต่เพียงว่าความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ ใกล้เข้ามาทุกวัน
จนเหลือเพียงพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ก็จะต้องตายแล้ว..เครื่องทรงและสิ่งทั้งหลายที่เสด็จพี่ประทานมาให้นั้นก็เพียงสักแต่ทรง
เท่านั้นไม่ได้คิดเลยว่านี่คือเครื่องทรงของพระราชา..สักแต่ว่าปกปิดอวัยวะไม่ให้ละอายเท่านั้น...พระกระยาหารรสเลิศของเมืองนี้ที่เสด็จพี่ประทานให้เสวยแต่ละวัน
ก็เพียงแค่กินรอวันตายเท่านั้น ไม่ได้ยินดีว่าอันนี้รสเลิศอร่อย ไม่มีโปรดอะไรเลย
เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องตายอยู่แล้ว..จะนึกอยู่อย่างเดียวว่า ตาย..ตาย..ตาย ตลอดเวลา...
มหาบพิตร พระอริยบุคคลก็เช่นกันย่อมมีลักษณะที่เหมือนกับปุถุชนก็คืออย่างนี้ คือจะมีมรณานุสสติขึ้นสมองทุกขณะจิต
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสถามพระอานนท์ ว่า "อานนท์
เธอนึกถึงความตายวันละกี่หน"
พระอานนท์กราบทูลว่า "๑๐๐
หนพระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ทรงเตือนว่า "เธอทำไมประมาทนักเล่า
! อานนท์"
"เราตถาคต
ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"
มหาบพิตร ลักษณะของปุถุชน คนสามัญธรรมดา
ส่วนที่เหมือนพระอริยบุคคลนั้นก็คือ นักโทษที่รู้ว่าจะต้องถูกประหารชีวิตในวันนั้นๆ คนๆ นั้นเมื่อรู้ว่าจะต้องตายในวันนั้นๆ
จะต้องพลัดพรากจากพ่อ แม่ ลูก เมีย อันเป็นที่รักของตน ย่อมไม่มีความยินดีในเครื่องนุ่งห่มดีๆ อาหารดีๆ
แม้แต่แก้วแหวนเงินทอง ใครจะเอาอะไรมาสวมใส่ให้แม้แต่เครื่องทรงของพระราชาก็ตาม เขาจะไม่มีความยินดีในสิ่งนั้นๆ เลย
เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่า จะต้องตาย ความตายจะขึ้นสมอง หรือมีมรณสติทุกลมหายใจเข้า-ออกนั่นเอง...
ปุถุชนกับพระอริยบุคคลย่อมไม่เหมือนกันเพราะพระอริยบุคคลท่านมีมหาสติอยู่ตลอดเวลา มีอาการสำรวมอินทรีย์อยู่ตลอดเวลา
ส่วนปุถุชนคนธรรมดาเป็นผู้ขาดสติ ขาดการสำรวมอินทรีย์ จึงทำให้ลักษณะของปุถุชนกับพระอริยบุคคลแตกต่างไม่เหมือนกัน
แต่บางอย่างที่คล้ายกันนั้นก็คือพระอริยบุคคลท่านจะมีมรณสติอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก ปุถุชนทั่วไปที่จะนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลานั้นน้อยนัก
ตลอดทั้งปีบางคนถามได้เลยว่า เคยนึกถึงความตายบ้างไหม? ไม่มีใครนึกถึงเลย จึงถือว่าประมาท แต่ยังมีปุถุชนอีกประเภทหนึ่ง
"...ได้แก่นักโทษประหารชีวิตที่รู้ว่าตนเองจะต้องตายในวันนั้นๆ นั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะนึกถึงความตายไม่ได้ทุกลมหายใจเข้า-ออก
แต่ก็บ่อยครั้งมากกว่าคนธรรมดา นักโทษนั้นเขาจะนึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ ว่า..ตาย..ๆ..ๆ ...เราจะต้องตาย
เราจะต้องพลัดพรากจากบุตรภรรยา ทรัพย์สมบัติพัสถาน เราจะต้องตายในอีกเท่านั้นวัน เท่านี้วัน
คำว่าตายจะมีอยู่เกือบทุกลมหายใจทีเดียว"...
นี่แหละที่มหาบพิตรอยากทราบว่าปุถุชนมีส่วนที่เหมือนกับพระอริยบุคลนั้นมีส่วนไหนบ้าง
อาตมาภาพเห็นว่าระดับจิตของบุคคลทั้งสองย่อมแตกต่างในด้านคุณธรรม สูงต่ำต่างกันในด้านคุณธรรม จึงเหมือนกันไม่ได้เลย
แต่ลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันนั้นก็คือ การคิดถึงหรือนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา
ปุถุชนคนธรรมดาที่จะนึกถึงความตายได้ขนาดนั้นก็เห็นมีแต่นักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตเท่านั้น ที่รู้ว่าตัวเองจะต้องตายภายในวันนั้นๆ
ก็จะคิดถึงหรือนึกถึงความตายของตัวเองอยู่เสมอๆ ลักษณะตรงนี้จึงเรียกว่าคล้ายกันกับพระอริยบุคคล
เพราะว่าพระอริยบุคคลท่านจะมีมรณสติอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก..."
ขอถวายพระพร....
|