#echo banner="" ประวัติ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เกร็ดประวัติและธรรม

เกร็ดประวัติและธรรมของหลวงปู่ตื้อ  อจลธมฺโม

วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : วีระวงศ์ [ 29 ส.ค. 2542 ]       

( บัว  ปากช่อง : เขียน )

พระเกจิอาจารย์สายพระธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต  เห็นจะไม่มีใครไม่รู้จักหลวงปู่ตื้อ และในวงสนทนาของบรรดาพุทธบริษัทที่ศรัทธาพระธุดงค์สายนี้  เมื่อไม่มีการยกเอาปฎิปทาของหลวงปู่ตื้อขึ้นมาสนทนาแล้ว เมื่อไรก็เมื่อนั้น  เป็นให้พากันออกรสออกชาดในวงสนทนาถึงกับได้ฮากันตึง............

ปฎิปทาของหลวงปู่ตื้อนั้นไม่เหมือนกับองค์ไหนๆ  ในบรรดาพระอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ด้วยกัน  หลวงปู่ตื้อ  เป็นพระเกจิอาจารย์ที่คนศรัทธาทั้งไทยและเทศ  ที่รู้จักหลวงปู่ตื้อดีที่สุดก็จะเป็นคนภาคอิสานและภาคเหนือ

หลวงปู่ตื้อท่านเป็นชาวอิสานแต่ท่านไปอยู่ทางเหนือนานปี ท่านคุ้นเคยทางเหนือดีเหมือนกับทางอิสานบ้านเกิดท่าน บั้นปลายชีวิตท่านได้เดินทางกลับไปมรณภาพที่ จ.นครพนมบ้านเกิดของท่าน

งานศพของท่านนั้น พุทธบริษัททางเหนือได้พากันเดินทางไปร่วมงานเป็นหมื่นคน ที่ว่าจำนวนนับหมื่นคนนี้  เห็นทีจะเป็นตัวเลขที่เชื่อไม่ลง คงจะเป็นไปว่าผู้เขียนนี้  เขียนประเภทปลาตกน้ำตัวใหญ่

ขอให้เชื่อเถอะตรงนี้ ในจำนวนงานศพพระเกจิอาจารย์สายลวงปู่มั่น ผู้เขียนได้ได้เห็นมากับตาตัวเองตั้งหลายงาน ที่พาจะกล่าวขวัญอยู่ถึงทุกวันนี้  เห็นจะมีแต่งานศพของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ฝั้น

งานศพของหลวงปู่มั่น กับหลวงปู่ฝั้น นั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง ส่วนงานศพหลวงปู่ตื้อนั้น คณะกรรมการถึงกับจัดงานกันกลางทุ่งนา มีประชาชนทั่วทุกภาคมาร่วมงาน ทุ่งนาที่ว่าไกลลิบๆ  มองทางไหนมีแต่คน  ก็คิดดูเอาประชาชนศรัทธากันขนาดไหน  แม้ในทุกวันนี้ กิตติศัพท์ปฏิปทาของท่าน  ก็ยังมีผู้กล่าวขวัญถึงไม่จืด

ได้บอกแล้วนั้น ปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อนั้นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าในการเทศนาหรือประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม หลวงปู่ตื้อท่านอบรมสั่งสอนทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ก็ไม่เหมือนใคร

โดยเฉพาะเรื่องเทศนาของหลวงปู่ด้วยแล้ว สำหรับผู้ที่เคยฟังเทศนาจะไม่พากันค้านเลย หากจะกล่าวว่ามีองค์เดียวในเมืองไทย...........!

หลวงปู่ท่านเทศนาว่ากัน "ของจริงเจ๋งๆ" สารพัดในร่างกายสรีระในมนุษย์นี้ เมื่อใดที่หลวงปู่เทศนาอบรมกรรมฐาน ภาษาหลวงปู่จะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา  เพราะท่าน "ตีความ" สรีระมนุษย์ล้วนแต่อสุภะ  ไม่มีอะไรตรงไหนที่จะสวยงาม ไปตามกิเลสปรุงแต่งให้พากันยึดมั่นถือมั่น

เพราะว่าเป็นทวาร..........รูขี้รูเยี่ยว......!

นี่ถ้าผู้เขียนยังบันยังในการเขียน ถ้าจะให้เอาธรรมเทศนาของหลวงปู่ตื้อมาในการเขียนตรงนี้ คงได้สวัสดี พรบ.การพิมพ์

ถึงกับภรรยาของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับประเทศ ภายหลังได้ฟังหลวงปู่ตื้อเทศนาได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชวัดมงกุฎ  และกราบทูลว่า  หลวงปู่ตื้อเทศนาหยาบคาย......!

ครั้งนั้น  เมื่อหลวงปู่ถูกสมเด็จฯ ซักถามถึงกรณีที่มีผู้มาทูล ว่าจริงเท็จประการใด  ที่ท่านเทศนาหยาบคายนั้น หลวงปู่ก็ทูลไปทันทีว่าจริง ท่านเทศนาดังเช่นมีผู้มากราบทูลเช่นนั้นจริง เพราะว่ามันเป็นของจริง หลวงปู่ท่านไม่รู้จะเอาไปซุกซ่อนไว้ที่ไหนได้  และครั้งนั้นหลวงปู่ยังไม่ลืมที่จะกราบทูลถามต่อไปว่า

............สมเด็จอยากฟังไหมล่ะ เกล้าจะเทศน์ให้ฟัง................!

เอากับหลวงปู่ซิท่านไม่เหมือนใครตรงนี้ท่านอยู่ในวัยชราก็เป็นได้ ผู้นับถือไม่เสื่อคลาย

หลวงปู่ตื้อท่านทำได้ถึงขนาด "ผายลม" ก็ยังพากันอนุโมทนายกมือท่วมหัว จะมีพระภิกษุองค์ไหนที่ทำได้อย่างหลวงปู่ท่าน

ก็คิดดูเถอะ  ขณะที่หลวงปู่ท่านนั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ บรรดาที่สาละวนกับการอัดเทปก็ปานนั้น  ที่พากันฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์ในเนื้อหาที่หลวงปู่ท่านนั่งเทศนา ก็ปานนั้น ทำให้ปรากฏเสียงแทรกจอแจฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้หลวงปู่ท่านถึงกับหยุดลงกลางคัน ลืมตาขึ้นหันไปมองรอบๆ กับเสียงจอกแจกจอแจฟังไม่ได้ศัพท์นั้น หลวงปู่ท่านถึงกับอารมณ์เสีย

 .........เอ๊าพวกสู...เทศน์ให้บ่ฟัง.....เอ๊าฟังตดซะ......!

 แล้วในนาทีต่อมา  ก็ปรากฏ "เสียงประหลาด" ดังขึ้นจากลำโพงขยายเสียง

 ..........สาธุขอให้หลวงปู่มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์เถิด...!

เสียงสาธุนั้นเป็นเสียงอนุโมทนาของลูกศิษย์ลูกหา ทั้งๆ ที่เป็นเสียง "ผายลม" ของหลวงปู่......!

นี่แหละที่ว่า  สิ่งที่คนอื่นทำไม่ได ้หลวงปู่ทำได้  ก็ขอให้คิดดูเถิดว่า คนพากันเคารพนับถือท่านขนาดไหน

มีอยู่เรื่องหนึ่ง  ครั้งนี้เกิดขึ้นไม่ไกลจากกรุงเทพ หมายกำหนดการได้บอกกันต่อๆกันว่า หลวงปู่ตื้อจะมาเทศนาอบรมกรรมฐานที่วัดอโศการาม  สมุทรปราการ

วันนั้น  บรรดาสานุศิษย์ทั้งเก่าใหม่พอทราบข่าวพากันไปรับการอบรมจากหลวงปู่กันเนืองแน่น

บนธรรมาสน์หลวงปู่ท่านเทศน์ได้อย่างจับใจทั้งอรรถรสในเบื้องต้น ท่ามกลางและปริโยสานอะไรเป็นธรรมเป็นวินัย  เป็นตัวทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์  อะไรที่ควรมัน อะไรที่ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกู

หลวงปู่ได้แสดงธรรมให้ผู้ที่นั่งฟังอยู่นั้นทุกคน ตรองตามแล้วเห็นจริงได้  เสมือนหงายสิ่งที่คว่ำเสมือนจุดประทีปโคมไฟในที่มืด เสมือนชี้ทางให้ผู้หลงทาง  อุบาสกอุบาสิกาได้สดับเทศนาของหลวงปู่แล้ว นาทีนั้นให้รู้สึกปลอดโปร่ง  เบากายเบาใจ  จากที่ภายในจิตปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น

ถึงกับให้มีอุบาสิกาผู้หนึ่งคลานเข้ามาที่หน้าธรรมาสน์ ภายหลังที่หลวงปู่ยุติการเทศนาอบรมลงนาทีนั้น

 "........อุ้ยหลวงปู่เจ้าคะ  อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้วเบากาย เบาใจ อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค๊า........"

 "....อนุโมทนาด้วยนะคุณโยมเมื่อคุณโยมดวงตาเห็นธรรม....."

"....อุ๊ยหลวงปู่....อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค๊า..."

 ".....อีตอแหล.....!"

 "ว้ายตายแล้วทำไมหลวงปู่ด่าอีฉันหือ...!"

ปรากฏว่า ผู้ที่ดวงตาเห็นธรรม ปล่อยวางได้ไม่ยึดมั่นถือมั่นนาทีนั้น ยั้วะหลวงปู่เป็นฟืนเป็นไฟ

หลวงปู่ท่านได้แต่หัวเราะหึ...หึ ในลำคอ....

ขณะเดียวกันบนศาลาการเปรียญ  ให้เกิดเหตุมีเสียงฮากันครืน

มุมมองของหมาและหมูของท่านกระทั้งเห็นหมาและหมูดีกว่าคนเป็นสิ่งที่ใครต่อใครฟังแล้วก็เถียงท่านไม่ได้  จนเกิดเป็นคำเทศน์ที่ว่า "มงคลหมา มงคลหมู" ดั่งตัวอย่างก็คือ

หมาตื่นไวกว่าคน

มีอะไรผิดปกตินิดเดียวหมาจะตื่นขึ้นทันทีโดยไม่มีความง่วงงุนอาลัยต่อการนอน

หมาเป็นยอดกตัญญูรู้คุณต่อผู้ให้ข้าวน้ำอาศัยและตอบแทนด้วยการเฝ้าบ้านเห่าขโมยและข้อดีของหมายังมีอีกมากจำไม่ได้ ถ้าพูดจะแทงใจเปล่าๆ (ท่านผู้ใดพอจะรู้บ้างช่วยเผยแผ่หน่อยครับ) ( คลิกเพื่ออ่าน Ü  มงคลของหมา  โดยพระอาจารย์ตื้อ ) แล้วก็มีอีกคือ

ครั้งหนึ่งญาติโยมไม่พอใจต่อคำเทศน์กระทบกระแทกแสบใจของท่าน ถึงกับประท้วงไม่ยอมใส่บาตรท่าน ท่านก็เลยว่า

"ญาติโยมไม่ใส่บาตร อาตมาก็ไม่สนใจ อาตมาไปบิณฑบาตในเมืองก็ได้"

แต่พอเช้าขึ้นมา ก็ยังมีคนใส่บาตรท่านเหมือนเดิม  แล้วท่านก็บิณฑบาตเหมือนเดิม

เรียกว่าทั้งรักทั้งชังก็ว่าได้

ยกตัวอย่างเบาที่สุดก็คือ  ณ  วัดแห่งหนึ่งมีคนมาฟังธรรมเทศนาจากท่านท่านก็ว่า

"เอ๊า....โยมผู้หญิงก็มา โยมผู้ชายก็มา กะเทยไม่ต้องมา อีดอกทอง"

สะอึกไหม! กะเทยไม่ต้องเสียใจ ขอให้ระลึกได้ถึงกรรมที่ท่านได้เคยทำไว้แต่ชาติปางก่อนเพราะว่ากันว่าผู้ที่ลักลูกลักเมียชาวบ้าน  เมื่อตายไปลงนรกชดใช้กรรมแล้วเมื่อมาเกิดอีกก็ต้องมาเกิดเป็นกะเทยมิน่าท่านจึงว่า "อีดอกทอง"

หลวงปู่ตื้อท่านเบี้ยวเขาไปทั่ว "เบี้ยว" ของท่านมีธรรมะขั้นพิสดารสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอพฤติกรรมทางเบี้ยวของพระรูปหนึ่งปรากฏในประวัติของเจ้าคุณปู่  วัดศรีเทพประดิษฐาราม  ซึ่งเจ้าคุณปู่จันทร์นั้น ได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์จับหัวใจผู้ฟัง บางครั้งเทศน์จบแล้ว  คนยังไม่ยอมให้ท่านลงจากธรรมาสน์  ขอร้องให้ท่านเทศน์อีกกัณฑ์  เพราะติดใจติดหูจึงอยากฟังอีก

ครั้งหนึ่งในวัดศรีเทพมีงานบุญอะไรก็เลือนไปเสียแล้ว มีพระรูปหนึ่งเข้าไปร่วมด้วย หลังจากหลวงปู่จันทร์เทศน์เสร็จ พระรูปนั้นได้กล่าวว่า

"ฟังเทศน์หลวงปู่จันทร์ไปนิพพานไม่ได้หรอกโยม"

ญาติโยมที่ได้ยินหูผึ่งขนาดสองวา โกรธหน้าเขียวนึกอยากจะซัดท่าน  แต่กลับออกไปจากวัดศรีเทพเสียก่อน จึงผูกใจเจ็บไว้ถ้าเจอหน้าอีกจะซัดให้รู้เรื่อง

ต่อมาพระรูปนั้นได้กลับมาที่วัดศรีเทพอีก บรรดาผู้พกหัวใจก็กรูกันเข้าไปล้อมท่าน  และรุมซักว่า"คราวก่อนที่ท่านมาที่นี่ท่านว่าฟังเจ้าคุณปู่เทศน์แล้ว ไปนิพพานไม่ได้ใช่ไหม"

"ใช่"  ท่านตอบ

"ถ้าฟังเทศน์เจ้าคุณปู่แล้วไปนิพพานไม่ได้ ฟังเทศน์ใครหละไปได้.........ท่านรึ "

"ใช่"  ท่านตอบหน้าตาเฉยแล้วย้ำว่า  "ฟังฉันนี่แหละไปได้"

พวกนั้นเมาหมัดดองเหมือนโดนหมัดคริคคิด  โบว์ลเข้าเต็มเปา

"ทำไม"

"ก็แค่ฉันตั้งนโม คนก็ลุกออกไปนอกศาลาแล้ว 3 คน  พอลงมือเทศน์ก็หายหมดทั้งศาลา เพราะว่าฟังเทศน์ฉันแล้วเกิดนิพพิทา (เบื่อหน่าย) จึงจะไปนิพพานได้ แต่ฟังเทศน์หลวงปู่จันทร์มีแต่ติดอกติดใจไม่เกิดนิพพิทา จะไปนิพพานได้ไง"

เท่านั้นแหละยิ้มก็เปิดกว้างแก่มุมปากมุมใจของทุกคน

พฤติกรรมนี้ในประวัติไม่ยอมบอกชื่อไว้  ผมเชื่อว่าถ้าไม่ใช่หลวงปู่ตื้อแล้วก็ต้องเป็นท่านพระอาจารย์ทองรัตน์  เพราะมีแต่สองท่านที่มีพฤติกรรมเบี้ยวแสบไส้

วันหนึ่งผมและคุณปัญญา  โกวิทธวงศ์ ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่สิมที่ถ้ำผาปล่อง กราบเรียนถามท่านถึงความกระจ่างในเรื่องนี้  หลวงปู่สิมยิ้มๆ และบอกใบ้ชี้นำไปที่หลวงปู่ตื้ออย่างชัดเจนและบอกว่า

" ท่านอาจารย์ทองรัตน์  สู้หลวงปู่ตื้อไม่ได้หรอก"

พระนิรนามรูปนั้นต้องเป็นหลวงปู่ตื้ออย่างไม่ต้องสงสัย เพราะคำบอกใบ้นั้นชี้นำไปที่หลวงปู่ตื้อ อย่างชัดเจน หลวงปู่สิมตอกย้ำใส่ใจเราสองคนอีกว่า

"หลวงปู่ตื้อเก่งนะ"

รูปถ่ายของหลวงปู่ตื้อก็ติดอยู่ข้างผนังถ้ำผาปล่อง ใครไปที่นั้นจะเห็นกันทุกคน

ขอเสริมประวัติท่านหน่อยนะครับ ท่านได้สร้างและอยู่วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ มาก่อน แต่ตอนบั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านปรารถนาที่จะกลับไปมรณภาพที่บ้านเกิดคือวัดอรัญวิเวกที่นครพนม ตอนที่จะกลับชาวเชียงใหม่ก็พากันอาลัย ตามไปส่งท่านที่นครพนมกันมาก