#echo banner="" ประวัติหลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร

หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร ๒

วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

พอเข้าไปถึงหมู่บ้าน ก็เข้าไปสอบถามเส้นทางไปบ้านท่าข้าม (อ.พุนพิน สุราษฎร์ธานี ) ซึ่งก็ได้รับความสะดวกจากชาวบ้านเป็นอย่างดี มีผู้นำทางให้เป็นระยะ ๆ จนในที่สุดก็ถึงบ้านท่าข้าม จึงลงเรือล่องขึ้นไปฝั่งด้านเหนือของแม่น้ำตาปี เมื่อขึ้นฝั่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ไปพบชายผู้หนึ่งเดินแบกไม้สวนทางมา จึงเข้าไปถามเส้นทาง

“ แบกไม้ไปทำอะไรโยม ?”

“เอาไปทำเพิงให้พระเผื่อฝนมันตกจะได้ไม่เปียกพระคุณท่าน“

ตอนแรกตั้งใจจะทักทายเพื่อถามเส้นทางแต่พอได้ยินประโยคที่ชายแบกไม้ผู้นี้บอก ก็ทำให้ท่านเกิดความสนใจขึ้นมาทันที เพราะบริเวณบ้านท่าข้ามนี้ เป็นจุดสำคัญ ที่พระอาจารย์ได้บอกกล่าวไว้ จึงซักถามต่อ

“พระรุ่นไหนโยม ?“

“วัยกลางคนครับ “

“ห่มจีวรสีอย่างไรโยม?“ ถามต่อด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

“สีกรักออกดำครับ“

“ผิวสีอย่างไรโยม?”

“ผิวค่อนข้างขาวพระคุณท่าน “

“ลักษณะอื่นละโยม ?”

“อยู่ค่อนข้างเล็ก ปากล่างเป็นมอดพระคุณท่าน “ (มอดที่ว่า เป็นภาษาท้องถิ่น คงจะหมายถึง แผลเป็นอะไรทำนองนั้น )

พอท่านฟังเช่นนั้นก็คิดว่าคงใช่พระรูปที่เรากำลังตามหาอยู่เป็นแน่ จึงขอให้ชายผู้นั้นนำทางไป

ครั้นเมื่อท่านพบกับพระรูปนั้น ก็บังเกิดความรู้สึก เลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาทันที จึงเข้าทักทายปราศรัยกัน จึงทราบว่า พระรูปนี้มีนามว่าเวียน หรือ หลวงพ่อทวดเวียน

หลังจากที่ได้สนทนาไต่ถามถึงการปฏิบัติธรรม ทั้งการปฏิบัติกรรมฐานอยู่พอสมควรแล้ว ท่านพิจารณา เห็นว่า ตนมีความสมควรที่จะมอบตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาธรรมต่อไป คิดแล้วจึงเข้ากราบหลวงพ่อทวดเวียน เพื่อขอมอบตัวเป็นศิษย์ ซึ่งหลวงพ่อทวดเวียนเองก็เต็มใจที่จะรับเป็นศิษย์

ท่านปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อทวดเวียนได้สามวัน หลวงพ่อทวดเวียน ก็บอกลูกศิษย์ว่า ตนขอตัวไปทำธุระ โดยกล่าวว่า

“น้องเจ้ารออยู่ทีนี่ก่อนจะไปธุระสักพัก “

แล้วก็เดินทางออกไปโดยไม่ได้บอกจุดหมายปลายทางที่จะไปให้ลูกศิษย์ได้รู้ ท่านก็ไม่ได้ถาม ด้วยเห็นว่า เป็นการไม่เหมาะสม และคิดว่าตัวหลวงพ่อคงไปไม่นาน

หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร

แต่ปรากฏว่า หนึ่งเดือนผ่านไปหลวงพ่อทวดเวียนก็ยังไม่กลับมาตามที่บอกกล่าวไว้ ท่านได้พิจารณาแล้วเห็นว่า พระอาจารย์ตนคงจะไม่มาเป็นแน่แล้ว ควรที่เราจะตามหาเองดีกว่าหากมีบุญวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กันจริงคงได้ประสบพบกันอีก แล้วท่านก็เดินทางจากบ้านท่าข้าม เพื่อธุดงค์ตามหาพระอาจารย์ต่อไป

ท่านก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาพระอาจารย์ได้ที่ไหน จึงกำหนดทิศว่าจะขึ้นไปทางทิศเหนือ เรื่อย ๆ ไปก่อน ท่านธุดงค์ขึ้นมาทางเมืองชุมพร จากนั้นก็ขึ้นไปทางประจวบคีรีขันธ์ ด้วยตั้งใจว่าไหน ๆ ก็ออกธุดงค์แล้ว น่าจะขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่ภาคกลางสักครั้ง

การเดินทางของท่านนั้นค่อนข้างลำบากมาก ต้องเดินด้วยเท้าตลอด บางแห่งผ่านถนน บางแห่งต้องตัดผ่านป่าเขาทุรกันดาร ต้องเดินเป็นวัน ๆ กว่าจะข้ามเขาได้สักลูกหนึ่ง บางแห่งเป็นหุบเหวตัดขวางทาง ก็ไม่สามารถข้ามได้ก็ต้องเดินย้อนกลับไปตั้งหลักหาเส้นทาง เดินอ้อมกันใหม่ วกไปวนมาอยู่เช่นนี้ บางครั้งก็ได้พบกับฝูงสัตว์ป่า ทั้งที่ดุร้ายและไม่ดุร้ายทั้งหลาย ก็ต้องยอมหลบทางให้พวกเขาผ่านไปโดยสะดวก ไม่ไปขวางทางเดินของสัตว์เหล่านั้น บางแห่งเป็นป่ารกทึบ ต้องแหวกกิ่งไม้ใบหญ้าเป็นช่องทางพอผ่านได้

อันตรายจากสัตว์ป่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับผู้ที่เดินอยู่กลางป่าเขา โดยปราศจากอาวุธป้องกันตัวทั้งหลาย ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ต้องมีปืนผาหน้าไม้เป็นอาวุธ ช่วยอุ่นใจได้ แต่สำหรับภิกษุบรรพชิต ผู้ทรงศีลแล้ว จะมีอาวุธเหล่านั้นไว้กับกายได้อย่างไร หากแต่อาวุธของบรรพชิตก็คือธรรมะและเมตตาธรรม ที่อุทิศให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น ต่างกันเพียงแต่อาวุธของพราน ทำให้ผู้ได้รับเป็นทุกข์ แต่อาวุธของบรรพชิตเป็นเพียงเครื่องยึดเหนี่ยวและทำให้ผู้ได้รับเป็นสุข

ท่านก็เช่นกันเดินธุดงค์กลางป่าเขาโดยสองขาและบริขารที่จำเป็นสำหรับสงฆ์เท่านั้น แต่มีจิตใจที่เปี่ยมด้วยธรรมะและศรัทธาที่มุ่งมั่น และท่านมีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เป็นปกติสุขอยู่หลายข้อในการธุดงค์ในป่าเขานี้ อันได้แก่ สัจจะ คือความตั้งใจที่ท่านได้ปฏิญาณไว้ว่า เราประสงค์เพียงธรรมะ เราจะไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยกันเป็นอันขาด เราจะมีศีลแห่งพระสงฆ์ทั้ง ๒๒๗ ข้อ เป็นเครื่องปฏิบัติอาศัย

นอกจากนี้ท่านยังสมาทานธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อที่ปฏิบัติอยู่เป็นวัตร ตลอดการธุดงค์ โดยเลือกปฏิบัติในข้อที่เห็นว่าเหมาะสมกับภาวการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ก็มิได้ละเมิดข้ออื่นแต่อย่างใด

อันศีลสมาทาน ธุดงค์ ทั้ง ๑๓ ข้อ นั้นคือศีลที่ใช้ปฏิบัติการของภิกษุเวลาออกธุดงค์เลือกปฏิบัติ ตามสภาพแวดล้อม และความเหมาะสม

ศีลสมาทานธุดงค์ มี ๑๓ ข้อ ดังนี้

๑. ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร “คหปติจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, ปํสุกูลิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางด คหบดีจีวรเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือซึ่งผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

๒. ถือทรงเพียงไตรจีวรเป็นวัตร “จตุตฺถจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ, เตจีวริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดจีวรผืนที่สี่เสีย สมาทานองค์ของผู้ถือซึ่งไตรจีวรเป็นวัตร

๓. ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร “อติเรกลาภํ ปฏิกฺขิปามิ, ปิณฺฑปาติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดอติเรกลาภเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร

๔. ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร “โลลุปฺปจารํ ปฏิกฺขิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดการเที่ยวโลเลเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร

๕. ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดฉันต่างอาสนะเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร

๖. ถือฉันเฉพาะในบาตรเดียวเป็นวัตร “ทุติยภาชนํ ปฏิกฺขิปามิ, ปตฺตปิณฺฑิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดภาชนะที่สองเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือการฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร

๗. ถือห้ามภัต อันนำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร “อติริตฺตโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ, ขลุปจฺฉาภตฺติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดโภชนะอันเหลือเฟือเสีย สมาทานองค์แห่งผู้ห้ามภัตอันนำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร

๘. ถืออยู่ป่าเป็นวัตร “คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปามิ, อารญฺญิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดเสนาสนะชายบ้านเสีย สมาทานองค์แห่งผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร

๙. ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร “ฉนฺนํ ปฏิกฺขิปามิ, รุกฺขมูลิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดที่มุงที่บังเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร

๑๐. ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร “ฉนฺนญฺจ รุกฺขมูลญฺจ ปฏิกฺขิปามิ, อพฺโภกาสิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดที่มุงที่บังและโคนไม้เสีย สมาทานองค์ของผู้ถืออยู่ที่แจ้งเป็นวัตร

๑๑. ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดที่มิใช้ป่าช้าเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร

๑๒. ถือการอยู่ในเสนาสนะอันท่านจัดให้อย่างไรเป็นวัตร “เสนาสนโลลุปฺปํ ปฏิกฺขิปามิ, ยถาสนฺถติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดความโลเลในเสนาสนะเสีย สมาทานองค์ของผู้อยู่ในเสนาสนะอันท่านจัดให้อย่างไร

๑๓. ถือการนั่งเป็นวัตร “เสยฺยํ ปฏิกฺขิปามิ, เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า เรางดการนอนเสีย สมาทานองค์ของผู้ถือการนั่งเป็นวัตร

นอกจากศีลธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อ ที่ได้ปฏิบัติใช้อยู่ตามสภาพความเหมาะสมแล้ว พรหมวิหาร 4 คือสิ่งที่ท่านปฏิบัติยึดถืออยู่เสมอ เช่น

เมตตา ให้ความสนิทสนมรักใคร่แผ่ปรารถนาอันดีโดยผลแห่งธรรมสู่สัตว์และมนุษย์ด้วยกัน

กรุณา รู้จักเอ็นดู มีใจสงสารสรรพสัตว์และมนุษย์ ที่ได้รับทุกขเวทนา รู้จักมีใจปรารถนา หาทางช่วยเหลืออยู่เป็นนิจ

มุทิตา เมื่อรู้จักคิดและกระทำการช่วยเหลือ แล้วนั้น ครั้นสำเร็จผลเป็นที่น่ายินดี ก็จงยินดีต่อเขา และตัวเราผู้ประกอบกรรมและสิ่งดี

อุเบกขา หากสิ่งที่ทำไปนั้นไม่ส่งผลดีขึ้น สูญเปล่าไร้ค่าไป วิบัติมลายไปแล้ว ก็จงทำใจวางเฉยเป็นกลาง ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ทำใจภายในให้ว่าง ตั้งอยู่ใน สมถกัมมัฏฐานหากใจละวิตกและความปีติสุขเสียได้ ใจเราก็จะตั้งอยู่ในความเป็นหนึ่ง คืออุเบกขา ความวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง

หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร

การเดินทางธุดงค์อยู่ในป่านั้นเป็นสิ่งที่ทรมานกายทั้งทรมานใจ ต้องผจญทั้งความลำบากต่าง ๆ นานา ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยเท้าเปล่า ๆ เพียงคู่เดียวที่ติดตัวมา ก้าวย่ำลงบนกิ่งหนาม ดินโคลนเฉอะแฉะ บ้างก็เป็นหินกรวดขรุขระแหลมคม สร้างบาดแผลให้แก่เนื้อหนังที่ปราศจากเครื่องห่อหุ้มป้องกันรับรองเป็นยิ่งนัก เดินในป่าเขาไม่มีบ้านเรือน ไม่มีผู้คน ภัตตาหารที่น่าฉัน ให้พลังงานแก่ร่างกายก็ย่อมไม่มี สิ่งที่พอจะหาได้คือ ลูกไม้ ผลไม้ หากประสบพบเข้าก็ขอบิณฑบาตจากเจ้าของผู้เฝ้ารักษา แต่หากไม่พบเจ้าของก็ต้องอาศัยน้ำก้นลำธารเล็ก ๆ เป็นเครื่องช่วยดับกระหายได้บ้าง รวมทั้งอาศัยจิตภาวนาที่สงบเข้าช่วยระงับกิเลสที่เกิดขึ้น ตามสภาวะความต้องการของร่างกายดำรงคงอยู่ได้แม้ขาดภัตตาหารต่าง ๆ

การเดินทางธุดงค์ในป่านั้นนอกจากเหน็ดเหนื่อยกายแล้ว จากอุปสรรคภายนอกไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายและเส้นทางเดินที่อันตรายแล้ว ความทรมานจากภายในจิตใจก็มีมากมายเช่นกัน

อันว่าความทรมานเป็นผลพวงมาจากความทรมานภายนอกทางกาย ท่านเองต้องผจญกับความเหี้ยมเกรียมดุร้ายจากสิ่งต่าง ๆ สู่จิตใจเป็นอันมาก ความหิว ความเหนื่อย ความเงียบ ความน่ากลัวของอาถรรพ์ป่าต่าง ๆ

แรกเริ่มสมัยที่ท่านออกเดินทางจากวัด เพื่อควานหาพระอาจารย์เป็นครั้งแรกนั้น ท่านต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านี้มากมาย กว่าจะได้พบพระอาจารย์ที่ภูเก็ต แต่หลังที่ผจญภัยกับสิ่งเหล่านี้มามากมาย และได้รับคำสอนปฏิบัติจากพระอาจารย์มาพอสมควร ตอนนี้ตัวท่านสามารถระงับจิตให้วางเฉย ละจากความทรมานทั้งหลายที่ประดังเข้ามาหลายทางอันได้แก่ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

เพราะการเดินทางอยู่ในป่าเขา บางครั้งจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก่อให้เกิด อุปาทาน ในช่วงร่างกายต้องการอาหาร อุปาทานก็จะได้สัมผัสกลิ่นอาหาร เลิศรสต่างๆ ทำให้ผู้นั้นได้หลงกลตกลงไปตามกลิ่น อุปทานนั้นอันก่อเกิดกิเลสทั้งที่ไม่มีจริง สรรพเสียงต่าง า ก็คอยส่งเสียงรบกวนให้เกิดความเป็นกังวล ขาดสมาธิ เสียงสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ ที่คอยขู่กระตุ้นให้เกิดความขลาดกลัวขาดสมาธิอยู่ตลอด ต้องมีใจตั้งมั่น ไม่วอกแวก กระทำภาวนาให้จิตตั้งอยู่ วางอยู่ ในความสงบ ก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

ในช่วงที่ธุดงค์ขึ้นมาถึงเมืองประจวบคีรีขันธ์นี่เอง เมื่อเลยบ้านทับสะแกขึ้นมาได้ไม่มาก ได้มีเด็กชายผู้หนึ่งเดินตามท่านไปเรื่อย จนท่านแปลกใจต้องหันมาถามว่า “เดินตามทำไม จะไปที่ไหนรึ”

ข้างตัวเด็กหนุ่มนั้นก็ตอบว่า” ถ้ากระผมอยากไปด้วยกับท่าน ขอกระผมไปด้วยนะครับ “

แล้วก็อาสาสะพายบาตรให้ ท่านก็มิได้กล่าวอะไร ว่าแล้วส่งบาตรให้เด็กหนุ่มผู้นั้นสะพายแทน แล้วก็ออกเดิน ต่อไป โดยมีเด็กหนุ่มผู้นั้นสะพายบาตรเดินตามไป

เด็กหนุ่มผู้นั้นเดินตามหลังท่านอยู่เป็นเวลานานพอสมควร แต่ครั้นพอถึงทางสามแพร่งนั้นไปพอสมควรแล้วก็รู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงก้าวตามหลังมา ก็หันไปดู ก็พบว่าเด็กหนุ่มผู้อาสาสะพายบาตรแทนตนนั้นหายไปซะแล้ว พร้อมกับบาตรของตน แต่ด้วยอารมณ์แห่งจิตที่ละวางแล้วซึ่งอารมณ์ต่าง ๆ ก็เฉยเสีย ไม่ได้คิดจะตามหาเพื่อนำบาตรกลับคืนมาแต่อย่างใด ยังคงธุดงค์เดินข้างหน้าต่อไป

ได้พักใหญ่ก็เข้าเขตหมู่บ้าน พอชาวบ้านเห็นพระธุดงค์มาก็เข้านิมนต์ให้หยุดพักก่อน แต่ก็ต้องพากันแปลกใจที่พระธุดงค์รูปนี้ไม่มีบาตรติดกายมาด้วย ก็ถามท่าน

“ ไหนบาตรของท่านละพระคุณเจ้า“

ท่านก็ได้แต่บอกไปตามความจริงว่า

“ไม่รู้เด็กอะไรเดินตามมา ขอสะพายบาตรให้ พอถึงทางสามแพร่งตรงโน้น ก็วิ่งหายไป มันคงคิดว่าในบาตรมีของมีค่ากระมัง “

ฝ่ายชาวบ้านพอทราบดังนั้นก็รีบชวนกันไปตามดู เพราะจากทางสามแพร่งที่ว่ากับหมู่บ้านนั้นไม่ไกลเท่าใดเลย

ครั้นพอไปถึงทางสามแพร่ง ก็พบรอยเท้าบนพื้นดินมีทิศทางมุ่งไปที่หนองน้ำที่ห่างออกไป ครั้นพอชาวบ้านไปถึงหนองน้ำ ก็พบเด็กหนุ่มผู้หนึ่งอุ้มบาตรพระเดินวนไปวนมาอยู่ริมสระน้ำนั้น เป็นอาการเหมือนกับว่าหาทิศทางที่จะก้าวเดินต่อไปไม่ได้

ชาวบ้านชายผู้หนึ่งได้ร้องเรียกขึ้น

“เฮ้ยมึงจะเอาบาตรพระไปไหน ?“

พอสิ้นเสียงตะโกนถามของชาวบ้านผู้นั้น เด็กหนุ่มมีอาการตกใจคล้ายตื่นจากภวังค์ รีบวางบาตรลงบนโคลนริมหนองน้ำ แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในป่าละเมาะข้าง ๆ

ฝ่ายชาวบ้านเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นทิ้งบาตรพระไว้แล้วจึงไม่คิดที่จะตามจับตัว จึงนำเอาบาตรพระซึ่งเปื้อนด้วยดินโคลนเลอะเทอะนั้นมาถวายคืนท่านผู้เป็นเจ้าของบาตร

หลังจากได้พักและแสดงธรรมให้เหล่าชาวบ้านแล้ว ท่านก็ออกเดินทางธุดงค์ต่อไปจนเข้าเขตบ้านบางสะพาน ก็หยุดพักอีกครั้ง โดยเลือกเอาบริเวณซุ้มกอไผ่หลายกอเป็นที่กางกลด

ตกกลางคืน ในขณะที่ท่านนั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่นั้น ประสาทหูก็ได้ยินเสียงเหมือนมีสิ่งมีชีวิตที่มีเท้าวิ่งเตลิดห่างออกไปจากบริเวณที่กางกลด แต่ก็มิได้สนใจที่จะออกไปดู จวบจนรุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาตได้ภัตตาหารที่ชาวบ้านถวายพอสมควร

ขณะที่กลับมาฉันภัตตาหารที่กลดนั้น ได้มีสองตายายคู่หนึ่งนำภัตตาหารมาถวายถึงที่ปักกลดแล้วก็พูดว่า

“ท่านนี้คงมิให้พระธรรมดาแน่ ๆ เพราะเมื่อคืนนี้มีอ้ายพวกไม่ดีลอบเข้ามาคิดจะลองพระ พอมันเข้ามาใกล้ก็เห็นผีใหญ่ตาเท่ากระด้งโผล่ขึ้นมาจากหลังกลดของท่าน มันตกใจวิ่งหนีไปทั้งสองคน โดนหนามไผ่เกี่ยวเสื้อผ้าเนื้อหนังขาดวิ่นร้องครวญครางกันอยู่ เพ้อว่ามีแต่ผีใหญ่ “

ท่านฉันอาหารไปพร้อมกับฟังสองตายายพูด ก็ทราบทันทีว่า เสียงวิ่งเตลิดเมื่อคืนนั้นเป็นชาวบ้านผู้คิดลองของพระ และด้วยความเมตตาสงสารหลังจากฉันอาหารและให้ศีลให้พรสองตายายแล้ว ท่านก็ขอฝากน้ำล้างบาตรไปกับสองตายาย โดยบอกว่าให้เอาไปให้สองคนนั้นดื่มและชุบศีรษะแล้วอาการนั้นจะหายไปเอง

ต่อจากนั้นท่านก็ออกธุดงค์ต่อไป จนเข้าเขตเมืองเพชรบุรี ที่บ้านหนองไม้เหลืองนี้ยังมีกลุ่มโจรอยู่กลุ่มหนึ่งที่ซุ่มคอยดักปล้นชิงเอาทรัพย์สินเงินทองจากผู้สัญจรผ่านไปมา โดยเฉพาะผู้คนต่างถิ่นที่มิค่อยจะทราบกิตติศัพท์ของพวกโจรกลุ่มนี้

อันกลุ่มโจรกลุ่มนี้มักใช้วิธีการดักปล้นผู้คนด้วยวิธีการที่ค่อนข้างเหี้ยมโหดยิ่งนัก คือ การทำกับดักหลุมพรางต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำหนามขวาก

อันว่าเส้นทางสัญจรเมื่อก่อนนั้น หากอยู่ในเขตป่าห่างไกลบ้านเมือง โดยมากก็มักจะเป็นทางด่านเล็ก ๆ พอเดินได้เท่านั้น ริมทางก็เป็นป่าขึ้นรก พวกกลุ่มโจรเหล่านี้ก็จะทำการขุดหลุมวางกับดักไว้ หาเศษไม้มาพรางตาไว้เป็นที่ แนบเนียนยากแก่การสังเกต เมื่อมีผู้คนสัญจรผ่านไปมาในเส้นทางนั้นและเมื่อก้าวเข้าโดนหลุมพรางกับดักนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ชีวิต พวกโจรป่าเหล่านี้ก็จะเข้าชิงเอาทรัพย์สินเงินทองจากผู้เคราะห์ร้ายทันที โดยวิธีดังกล่าวถือเป็นการตัดกำลังของผู้เคราะห์ร้ายหรือเหยื่อไปในตัว ถือเป็นความโหดเหี้ยมยิ่งนัก

เหตุที่พวกโจรป่าเหล่านี้สามารถก่อกรรมทำทารุณอยู่เรื่อยมาก็เพราะว่าอยู่ห่างไกลบ้านเมืองความเจริญ รอดพ้นจากหูตาของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและเหยื่อหรือผู้เคราะห์ร้ายที่ผ่านมาโดยมากมักจะไม่รอดชีวิตออกไปรายงานต่อโลกภายนอก ทำให้พวกโจรเหล่านี้ยังก่อกรรมได้เรื่อยมา

คราวที่ท่านธุดงค์ผ่านมาคราวนี้ก็เช่นกันได้มีโจรผู้หนึ่งพบเห็นเขาพอดี ฝ่ายเจ้าโจรป่านั้น เมื่อเห็นว่ามีพระธุดงค์ผ่านมา ก็คิดว่าอันพระรูปนี้คงจะมีทรัพย์ปัจจัยหรือวัตถุมงคลของมีค่าติดกายมาด้วยเป็นแน่ จึงคิดหมายเข้าปล้นชิง แต่ติดด้วยว่าตัวนายโจรนั้นมาเพียงผู้เดียวไม่มีเพื่อนกลุ่มโจรด้วยกันมาด้วย ครั้นจะทำการปล้นชิงแต่เพียงผู้เดียวก็ไม่ค่อยเข้าท่าอยู่ เหตุเพราะรูปร่างของพระธุดงค์รูปนี้ค่อนข่างสูงใหญ่กำยำอยู่ หากเกิดขัดขืนต่อสู้ตนอาจเหนื่อยแรงอยู่ ครั้นจะวิ่งไปตามเพื่อน ๆ ชาวโจรด้วยกันก็ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร กลัวว่าเหยื่อที่หมายตาอันเป็นพระรูปนี้จะก้าวเดินหายไปเสียก่อน

ในที่สุดนายโจรก็คิดใช้แผนเดิม คือทำกับดักพรางไว้อย่างเช่นเคย ทำเพื่อเป็นการตัดกำลังเหยื่อ คิดแล้วจึงอ้อมไปดักทางเบื้องหน้าที่ท่านกำลังเดินไป วิธีทำกับดักของนายโจรผู้นี้คือ นำมีดและดาบที่นำติดตัวมารวมสี่เล่ม วางลงพื้นดินที่ปนทราย โดยหงายนำเอาด้านคมขึ้น และกะให้ระยะห่างแต่ละเล่มได้ขนาดหนึ่งก้าวย่างพอดีแล้วนำใบไม้แห้งพรางตาไว้บาง ๆ หลังจากทำกับดักที่ทำขึ้นง่าย ๆ นั้นเรียบร้อยแล้ว ก็ไปหลบซุ่มอยู่ในร่มไม้ข้างทาง คุมเชิงอยู่

ฝ่ายท่านที่เดินมาตามทางด่านแคบ ๆ นั้น เมื่อมาถึงกับดักที่นายโจรทำไว้ก็ก้าวเหยียบลงบนคมมีดดาบที่นายโจรทำไว้ตามคาด แต่กลับไม่ปรากฏอาการบาดเจ็บใด ๆ เลยซ้ำยังก้าวย่ำผ่านไปเหมือนกับไม่ทราบว่าตนเองได้เหยียบย่ำลงบนคมดาบคม ๆ เหล่านั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความประหลาดใจระคนกับความโมโหให้แก่นายโจรผู้นั้นเป็นอย่างยิ่งที่แผนการตนไม่สำเร็จจึงกระโดดออกจากที่ซ่อนตัวไปคว้าดาบแล้วปรี่เข้าหาท่านหลายจะสังหารให้จงได้

แต่ปรากฏว่าเงื้อดาบจะฟันท่าน นายโจรกลับมีอาการเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ท่านนั้นก็หันมาเห็นก็ไม่ได้กล่าวอะไรก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ ข้างนายโจรพอท่านหันหลังให้ก็กลับลุกขึ้นได้จึงตรงเข้าไปหมายจะฟันอีก แต่ก็เป็นต้องทรุดลงนั่งกับพื้นอีกครั้ง เช่นกัน เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดนายโจรนั้นต้องทิ้งดาบแล้ววิ่งไปดักข้างหน้าพร้อมกับถามว่า

“ท่านมีอะไรดีถึงผ่านคมดาบคมหอกมาได้ ?”

ท่านก็ตอบว่า “ดีที่ใจ“

นายโจรก็ถามต่อว่า “ทำไมดาบถึงไม่บาดเท้าท่าน ?“

ท่านก็ตอบ “เพราะดาบมันไม่ทำให้พระต้องลำบาก“

ข้างนายโจรนั้นเชื่อว่าท่านคงมีของขลังแน่ “ท่านต้องมีพระดีมีเครื่องรางของขลังดีแน่ “

ท่านตอบว่า “พระภายนอกฉันไม่มี มีแต่พระที่ใจเท่านั้น “

นายโจรนั้นยังสงสัย “พระที่ใจเป็นอย่างไร ?”

ท่านก็บอก “เมื่อใจถึงพระ พระก็อยู่ที่ใจ“

คราวนี้ท่านเป็นฝ่ายถามบ้าง “ทำไมถึงคิดปล้นพระ ?”

นายโจรป่าที่บัดนี้นั่งสงบอยู่ตอบว่า”ก่อนหน้านี้เคยจับตัวพระได้ค้นดูในบาตรพบทองคำเต็มบาตร คราวนี้ก็คงจะนึกว่ามีบ้างเหมือนกัน “

ท่านจึงเอาย่ามและบาตรให้นายโจรดูว่ามีเพียงเครื่องอัฐบริขารของภิกษุเท่านั้นหาได้มีของมีค่าใด ๆ ไม่

นายโจรป่าผู้นั้นก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นมาจึงนิมนต์ขอให้ไปพักที่หมู่บ้านอันเป็นชุมโจรที่ตนสังกัดอยู่เพื่อได้เทศนาสั่งสอนธรรมะและพวกตนจะได้ทำบุญด้วย

กุฏิของหลวงปู่สงฆ์

พอถึงหมู่บ้าน โจรป่าผู้นั้นก็พาไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่โจรทั้งหลายด้วยเช่นกัน แต่ปรากฏว่าตัวหัวหน้าหมู่บ้านนั้น พอเห็นลูกน้องตนพาพระภิกษุมาก็ดีใจ คิดว่าลูกน้องตนคงลวงมาเพื่อปล้นชิง

พอท่านขึ้นไปบนบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านนั้นก็ตรงเข้ากระชากย่ามและบาตรของท่านทันที แต่ก็ไม่สามารถจะชิงเอาย่ามและบาตรจากท่านดังที่ต้องการได้ ยังถูกท่านที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าจับโยนลงจากบ้านตกลงไปในกอพุ่มไม้หนามของบ้านนั้นอีกด้วย จนหัวหน้าหมู่บ้านนั้นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดและไม่สามารถออกจากพุ่มไม้หนามนั้นได้ แม้ว่าพวกลูกน้องทั้งหลายจะช่วยกันเพียงใดก็ตาม

สาเหตุที่พวกโจรคิดปล้นพระคงเป็นเพราะว่าหากมีผู้คนมีความจำเป็นต้องเดินทางไปทำธุรกิจต่างถิ่นอาจพกพาของมีค่าเงินทองเพื่อนำไปมอบให้ผู้ที่อยู่จุดหมายปลายทาง และเส้นทางที่ใช้สัญจรนั้นมีความเสี่ยงต่อการถูกปล้นจี้ได้ ดังนั้นจึงมีผู้มีหัวสมองใสปลอมตัวเป็นพระเป็นเจ้าเอาทรัพย์สินเงินทองพกซ่อนไว้ในบาตรหรือย่าม หวังตบตาเหล่าโจรมิจฉาชีพทั้งหลาย ด้วยหวังว่าพวกโจรคงไม่คิดจับปล้นพระเป็นแน่ ซึ่งถ้าหากเจอโจรที่มีมโนธรรมอยู่บ้างไม่คิดกล้าทำร้ายพระก็รอดไป แต่ถ้าเกิดโชคไม่ดี เจอพวกโจรที่ป่าเถื่อน ปล้นแม้แต่พระก็คงไม่รอด และเมื่อพวกโจรปล้นพระเทียมแล้วได้ทองได้เงินต่อไป ครั้งต่อ ๆ ไป พวกมันเห็นพระก็คงไม่สนใจแล้ว ปล้นตลอด มีหรือไม่มีค่อยว่ากัน

ท่านปล่อยให้หัวหน้าหมู่บ้านผู้กระทำตัวเป็นโจรนั้นติดอยู่ในพุ่มหนามเสียหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าจึงเข้าไปพาตัวออกมา ซึ่งหัวหน้าโจรผู้นั้นก็ยอมศิโรราบแต่โดยดี ท่านก็เทศนาสั่งสอนให้ละเลิกการเป็นโจรเสีย มิฉะนั้นจะโดนปลดและเล่นงานเหมือนกับที่เคยกระทำต่อผู้อื่น ซึ่งพวกโจรเหล่านั้นก็รับคำจะปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ

ท่านอยู่เทศนาสั่งสอนแก่พวกโจรป่าเหล่านั้นเป็นเวลาสี่วันก็ออกธุดงค์ต่อไป ผ่านราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี จนถึงสระบุรีเป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งล้วนแต่ประสบพบเหตุการณ์และความยากลำบากต่าง ๆ มากมาย ต้องเดินด้วยเท้ากลางป่ากลางเขา ตัดขึ้นเขาลงห้วย บ้างเจอหุบเหวก็ต้องย้อนกลับทางเก่า เจอลำธารไหลเชี่ยวก็ลุยน้ำลุยโคลนข้ามไป ซ้ำยังมีสัตว์ร้ายต่าง ๆ เช่น เสือ ช้างป่า งู หมีเป็นต้น ที่คอยส่งเสียงขู่คำรามรบกวนสมาธิอยู่ตลอดเวลา

โดยเฉพาะในเวลากลางคืนอันเป็นช่วงที่ท่านหยุดพักร่างกายและนั่งทำสมาธิเจริญภาวนาอยู่ภายในกลด พวกสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะส่งเสียงคำรามข่มขู่ดัง จ้องจะทำลายสมาธิของท่านให้จงได้ แต่ท่านก็ทำได้ จิตใจไม่วอกแวก นั่งภาวนาอยู่ ยังกับว่าเสียงคำรามเหล่านั้นไม่ได้ผ่านเข้าหูของตนเองเลย

เมื่อใช้เสียงคำรามขู่ไม่ได้ ก็เริ่มหนักข้อโดยเฉพาะเสือ ที่ว่ากันว่ามีตบะแก่กล้ามากกว่าสัตว์อื่นที่สุด จนเขาเรียกกันว่าเจ้าป่า บางคืนมันย่องลงมาเดินวนรอบ ๆ กลดของท่านเป็นเชิงข่มขวัญ ท่านเองก็ทราบเรื่องนี้ดี แต่ก็มิแสดงอาการตกใจแต่อย่างใด กลับเป็นว่า บางครั้งถึงกับรินน้ำใส่บาตรตั้งไว้หน้ากลด พอตกกลางคืนเสือตัวนั้น ก็มาเดินวนเวียนรอบ ๆ กลด แล้วกินน้ำในบาตรแล้วเดินกลับไปเป็นอยู่อย่างนี้หลายคืนจนในที่สุดมันก็ไม่มารบกวนอีก

แต่ต่างจากงู อันว่างูนั้นเป็นสัตว์เลือดเย็น ไม่ใช่เลือดอุ่นเช่นสัตว์สี่เท้าทั่วไป งูมีความเลือดเย็นอำมหิต มากกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วย การล่าเหยื่อมันจะแอบซุ่มด้วยความใจเย็น คอยจนได้จังหวะเหยื่อมาจึงจะเข้าจู่โจมโดยเฉพาะงูเหลือมทีมีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ ดูว่าอาจจะไม่ค่อยมีพิษสง แต่หาใช่ไม่ เมื่อถึงคราวล่าเหยื่อ มันจะพาตัวมันเองขึ้นไป อยู่บนต้นไม้ เบื้องล่างคือด่านสัตว์ เป็นทางสัญจรไปมาของสัตว์สี่เท้าทั้งหลายไม่ว่าเป็น หมูป่า เก้ง กวาง หรือ เสือ มันก็คอยอยู่บนต้นไม้เรียบร้อยแล้วคอยเวลาที่เหยื่อ

สัตว์สี่เท้าหรือแม้แต่มนุษย์เดินเคลื่อนกายตามทางด่านนั้นมา พอได้เวลาจู่โจมของมันมันจะทิ้งตัวหาเหยื่อโดยเร็วและโดยที่เหยื่อไม่ทันจะป้องกันตัว ร่างของเหยื่อก็ถูกรัดแน่นโดยงูเหลือมซะแล้วด้วยพละกำลังมหาศาล จนเหยื่อกระดูกแหลกและสิ้นลมอย่างช้า ๆ ด้วยความทรมาน

เมื่อเหยื่อตายสนิทแล้วมันจึงจะคลายการบีบรัดลง แล้วจัดการกินเหยื่อที่บางครั้งใหญ่กว่า แต่ด้วยปากกรรไกรที่เคลื่อนตัวได้อิสระและพังผืดที่ยืดตัวได้สุด ๆ มันจึงเขมือบเหยื่อขนาดต่าง ๆ ได้สบาย (โดยการกิน มันจะเขมือบทางหัวก่อนทุกครั้งก่อนไหลเข้าปากของมันจนเรียบร้อยไปย่อยกันในกระเพาะ เหยื่อตัวหนึ่งทำให้มันอยู่ได้เป็นเดือน)

ท่านเองก็เคยถูกงูเหลือมเล่นงานเอาเหมือนกันในระหว่างธุดงค์ คืนนั้นท่านปักกลดในป่าทึบ หลังจากไหว้พระ สวดมนต์ ระลึกถึง คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ บิดามารดร และครูอาจารย์ พอเข้าสมาธิ เจริญภาวนาได้พักหนึ่ง ท่านก็มีความรู้สึกว่ามีวัตถุค่อนข้างหนัก เคลื่อนทับขึ้นมาจากขาซ้าย แล้วเคลื่อนแผ่ไปยังขาขวา ท่านเองยังพอเพิ่งทำสมาธิ จิตยังตื่นอยู่ก็พอจะรู้จากสัมผัสดังกล่าวว่าของสิ่งนี้ต้องเป็นงูใหญ่แน่ แต่ก็ยังไม่ลืมตา ยังคงสงบจิตและสตินิ่งอยู่เช่นนั้น จากขามันค่อยเคลื่อนจากสะเอวไปด้านหลังแล้วหัวของมันก็ชนดันเข้าไปในสังฆาฏิที่บ่าซ้ายวนสังฆาฏิตกลงจากบ่าซ้าย หางงูนั้นพาดอยู่ที่บ่าซ้าย จมูกของงูอยู่ตรงกับหูของท่านพอดี

นาทีนั้นท่านก็แผ่กุศลทางจิตกำหนดภายในใจว่า

“หากเราเคยทำกรรมใดกับเจ้าไว้ เราก็ขอชดใช้ให้แก่เจ้า“

หลังจากนั้นท่านก็นั่งเฉยอยู่ นานชั่วหุงข้าวสุก ท่านเห็นว่า นานแล้วงูไม่ยอมขยับเขยื้อน จะมัดก็ไม่มัด จะคลายก็ไม่คลาย จึงกำหนดจิตบอกว่า

“ถ้าเราไม่เคยมีกรรมต่อกันก็อย่าได้สร้างเวรต่อกันอีกเลยเข้าอย่าทำลายพระเลย เพราะจะเป็นกรรมหนักแก่เจ้าเอง “

ปรากฏว่า เพียงครู่เดียวต่อจากนั้นงูเหลือมนั้นก็ค่อย ๆ ขยับคลายตัวลงทีละน้อย แล้วเคลื่อนตัวห่างออกไป คืนนั้นท่านนั่งภาวนาแผ่เมตตาให้งูเหลือมตัวนั้นทั้งคืน

เมื่อถึงสระบุรีแล้ว ก็ได้สักการะรอยพระพุทธบาท ดังที่ตั้งใจไว้แล้ว จึงย้อนเส้นทางกลับลงมาเมืองหลวงเพื่อตั้งใจจะนมัสการพระแก้วมรกต ด้วยว่าขึ้นมาแล้ว จะได้ไม่เสียเที่ยวเสียโอกาส และคิดว่าหลังจากนมัสการพระแก้วมรกตแล้วจะขึ้นเรือสำเภา กลับชุมพรทางทะเลเลย

เมื่อท่านเดินทางเข้าเขตจังหวัดพระนครหรือบางกอกท่านได้ไปปักกลดอยู่ริมสวนของตายายคู่หนึ่ง เมื่อสองตายายมาพบท่านมาปักกลดอยู่ริมสวนก็คอยจัดทำอาหารมาถวายในรุ่งเช้าต่อมา แล้วพูดคุยกับท่านถึงเรื่องต่าง ๆ พอได้จังหวะช่วงหนึ่ง ฝ่ายยายก็ถามว่า

“เมื่อคืนหลวงพ่อหลับฝันเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า”

เหตุที่ยายผู้นี้ถามท่าน ตั้งใจจะเอาความฝันของพระภิกษุไปตีเป็นหวย เนื่องจากสองตายายคู่นี้ชอบเสี่ยงโชคกับหวย ก ข ตามประสาผู้ไม่มีอันจะกินทั่วไปนั่นเอง อันหวย ก ข ยังเป็นการพนันที่ถูกกฎหมาย กติกาง่าย ๆ แค่ทายอักษรในไห ว่าจะออกเป็นตัวไหน ลงเงินพนันเป็นจำนวนเท่าใด หากหยิบตัวอักษรในไหขึ้นมา ได้ถูกตามที่แทงไว้ ก็ได้เงินกลับไป ถ้าผิดก็ถูกกินตามระเบียบ

เมื่อถูกถามเช่นนั้น ก็ตอบความจริงว่า

“ เมื่อคืนฝันเห็นเสือมันมาคายเขี้ยวไว้ให้สามเขี้ยว “

สองตายายได้ฟังดังนั้น ก็คิดว่าต้องเป็น “ส” แน่ ๆ ก็ดีใจรีบชวนกันกลับบ้าน นำเงินไปแทงหวย ก ข โดยเล่นตัว “ส” และผลปรากฏว่าออกมาเป็น “ส” จริง ๆ ทำให้สองตายาย ถูกรางวัลเต็ม ๆ ได้เงินกลับมาบ้านถึงสามขันเต็ม ๆ

เมื่อได้เงินมา ก็นำเงินส่วนหนึ่งไปถวายท่านๆ ไม่รับ ด้วยเห็นว่าเป็นเงินที่ได้มาจากอบายมุข และพระภิกษุเองก็ไม่ควรพกพาปัจจัยอันเป็นเงินเหล่านี้ติดตัว จึงบอกสองตายายให้ช่วยนำเงินนั้นไปจัดการเป็นค่าโดยสารเรือ กลับชุมพรแทน ซึ่งสองตายายก็จัดการให้เรียบร้อย โดยนำเงินส่วนนั้น ไปมอบให้นายเรือที่กำลังเดินเรือกลับชุมพร

และเมื่อได้นมัสการพระแก้วมรกตแล้ว ท่านได้เดินทางจากกรุงเทพ ฯ โดยเรือสำเภา บรรทุกสินค้า กลับสู่ชุมพรทันที ท่านเดินทางโดยเรือสำเภาลงมาจากกรุงเทพ ฯ มาเทียบท่าขึ้นฝั่งที่ปากน้ำชุมพร

เมื่อขึ้นฝั่งถึงชุมพรแล้ว ท่านตั้งใจว่าจะธุดงค์ไปแถบถิ่นเดิมที่วิสัยใต้อีกสักครั้ง เพื่อแวะเวียนดูถิ่นเดิมและญาติพี่น้อง