#echo banner="" อัตตประวัติ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต 8

อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ๐๘

วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

วัดแตกสาแหรกขาด

แคร่คานหามพระอาจารย์มั่น
ภาพจาก www.luangpumun.org

เมื่อองค์ท่านพระเถระเหล่านี้ ต่างก็มีศรัทธามารวมกันในยามออกพรรษาแล้ว ที่วัดป่าบ้านหนองผือดังกล่าวแล้วในเรื่องหลวงปู่ องค์ท่านชราพาธเพิ่มทวีขึ้น ก็ประชุมปรึกษากัน ส่วนหลวงปู่กงมายืนยันทางเดียวด้วยน้ำใสใจจริงว่า ควรนิมนต์หลวงปู่พักวิเวกวัดป่าบ้านม่วงไข่ก่อน ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่เป็นหลายครั้ง

ส่วนองค์หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้น พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์มหาทองสุข พระอาจารย์มหาบัว พระอาจารย์กว่าเหล่านี้ ตามพฤติการณ์ไม่ได้จ้ำจี้จ้ำไชกราบเท้าเรียน แล้วแต่องค์หลวงปู่จะสะดวก แต่ก็ไม่ขัดขวางหลวงปู่กงมาด้วยประการใด ๆ อะไรนัก ตกลงองค์หลวงปู่มั่นก็รับไปแบบจำใจ

ตื่นขึ้นเป็นวันใหม่ ไปบิณฑบาตแต่เช้า ฉันเสร็จแล้วก็เตรียมตัวโกลาหล แล้วลูกศิษย์ที่ขอนิสัยด้วยประจำวัดหลวงปู่มั่น ก็แบ่งออกเป็นสองพวก พวกที่ไปก่อนให้ไปก่อนแต่เฉพาะผู้มีข้อวัตรจำเป็นอันเว้นไม่ได้ ซึ่งเกี่ยวกับองค์หลวงปู่ ให้ไปสามองค์ก่อนคือ ๑. ครูบาวัน ๒. ข้าพเจ้า ๓. พระสีหา เท่านั้น ในข้อนี้พระอาจารย์มหาบัวเป็นผู้แต่ง เพราะพระเถระนอกนั้นจำพรรษาอยู่ต่างถิ่น พระอาจารย์มหาบัวและหลวงตาทองอยู่ ให้ควบคุมหมู่ผู้อยู่ข้างหลังไปพลางก่อน เพราะการตัดเย็บจีวรก็ยังไม่เสร็จสิ้นเท่าไรนัก เพราะจุก ๆ จิก ๆ กับงานฉุกเฉินหลายด้าน วัดแตกสาแหรกขาด

ภาพการเชิญองค์หลวงปู่มั่นขึ้นคานหามจากวัดป่าบ้านหนองผือ
สู่วัดป่ากลางโนนภู่
ภาพจาก หนังสือบูรพาจารย์

ฝ่ายพระอาจารย์ต่าง ๆ ที่มาต่างทิศ ก็ยกทัพไปพร้อมกองหน้าหมด เงียบเหงาเย็นเงียบ ออกเดินทางสามโมงเช้า เอาแคร่มาหามหลวงปู่ทั้งพระทั้งโยมประมาณสองร้อยคน หามไปตามทางเกวียนผ่านบ้านหนองผือไปทางทิศตะวันตก ค่อยเดินไปเท้าต่อเท้า แล้วเลี้ยวขวาโค้งตรงไป อ.พรรณานิคม

อนิจจาเอ๋ย บ้านหนองผือเศร้าโศกโศกาน้ำตาหลั่งไหล เพราะเอาองค์มิ่งขวัญเขาหนีไกลไปจากถิ่นบ้านเขา สารพัดผู้จะคร่ำครวญรำพันพิไร เสมือนพากันตายไปเงียบไปทั้งบ้าน

พอผ่านบ้านหนองผือไปประมาณ ๒ กิโลเมตร องค์หลวงปู่พูดเย็น ๆ ขึ้นว่า “พากันหามไปปิ้งไปเผาที่ไหนหนอ”

ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ไม่หนีจากคานหามทางปลายเท้าขององค์หลวงปู่ ปะปนแทรกโยมไปไม่วาง พอได้ยินเสียงองค์หลวงปู่บ่นเย็น ๆ และนอนหลับตาปรารภเช่นนั้น อ้ายกิเลสมันสังเวชและโศกขึ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้ม โยมตั้งร้อย สองร้อยทั้งพระ ไม่นึกละอายเลย มีปัญหาว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายและอาจารย์วันและคุณสีหาไปไหนขณะนั้น

ตอบว่า ครูบาวันและคุณสีหาได้กระติกน้ำองค์ละลูก สะพาย ออก(ไป)ก่อน(พวก)ที่หามแคร่ ไปไกลกันกว่า ๑๐ วา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็เดินออกหน้า(พวก)ที่หามแคร่ ไปไกลกว่านั้นเป็นลำดับ ส่วน(พวก)ตามหลังแคร่ไปก็เป็นระยะ ๆ เป็นทิวแถว ส่วนพวกเกวียนที่ขนของก็ตามหลัง บาตรบริขารโยมสะพายเอาหมดแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้แทรกเเซงโยมเข้าใกล้ที่หามได้

ข้าพเจ้าไม่ได้หามใส่บ่าหรอก เป็นเพียงเอามือขวาจับชูเอียงตัวซิกแซ็กเดินไป โยมเขาหาม เขาเอาผ้าผูกเป็นงวงสะพาย บ้างเอามือจับคนละมือบ้าง เพราะมากคน บางแห่งก็หย่อนลง บางแห่งก็ยกขึ้นเพราะดินสูงต่ำ ที่ไหนหญ้ารกปกคลุมทางเพียงเข่าและแข้งขาก็เรียบร้อยไปหมด เพราะคนนั้นเหยียบบ้าง คนนี้เหยียบบ้าง

ผู้เขียนมันเป็นเจ้ากิเลสมันเป็นเจ้าน้ำตาไปสุดทาง ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่รองเท้าเลย เพราะมีความเห็นว่าเข้าใกล้องค์หลวงปู่ไม่สมควร โยมเขาจะใส่ก็ตาม มอบให้เป็นเรื่องของเขา แต่เขาก็ใส่บ้างไม่ใส่บ้างและบางแห่งก็มีหนาม ตาใครตามัน รักษาเอาเท้าของตัวที่จะเหยียบไป

ได้ทางพอควรก็พักดื่มน้ำ องค์หลวงปู่ดื่มสองสามจิ๊บ แล้วนอนตะแคงข้างขวาอยู่บนแคร่ที่ปลงวางไว้ ประทับจิตประทับใจว้าเหว่เต็มตื้นมาก

พักประมาณสิบหรือสิบห้านาทีโดยคาดคะเน ก็เดินทางต่อ พอถึงทุ่งนาแห่งหนึ่ง เป็นหนทางมีตมโคลนเลอะเทอะ และจวนแจจะค่ำมืด ไม่มีทางเว้นแต่ที่นาเขา ข้าวเขากำลังจะพอเกี่ยว เขามีศรัทธาไขรั้วรื้อรั้วออก ให้ฝ่าเหยียบข้าวไป

คนทั้งสองร้อยกว่าฝ่าตะลุยข้าวไปจนสุดทุ่งนาเขา จึงได้ลัดใส่หนทางอันพ้นโคลนตม ข้าวก็ล้มไปเรียบร้อย พร้อมทั้งหล่น พร้อมทั้งขาด นับว่าศรัทธาเขาเกิดขึ้นสด ๆ แก้ปัญหาซึ่งหน้าได้โดยสุจริตใจ จะหาได้ยากในสมัยนี้ และเป็นข้าวที่กอโต และเป็นรวงโต เมล็ดโตด้วย การเสียทายอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหกร้อยกิโลกรัม เรียกว่าบุญองค์หลวงปู่เป็นปาฏิหาริย์อยู่ในตัวแล้ว จะอัศจรรย์แต่การดำดินบินบนได้จึงจะว่าเก่ง ถ้าอย่างนั้นนกมันก็มีปาฏิหาริย์อยู่ทุกวัน เก่งอยู่ทุกวัน ไส้เดือนก็ดี ปลาไหลก็ดีเป็นต้น มันก็ดำดินอยู่ทุกวัน มีปาฏิหาริย์อยู่ทุกวัน เก่งอยู่ทุกวัน แต่ไม่ถือเอาเป็น สรณัง คัจฉามิ เพราะไม่สำคัญในสิ่งเหล่านี้ สำคัญอยู่แต่กิเลสน้อยเบาบางและเหือดแห้งไปเท่านั้น พร้อมทั้งข้อวัตรปฏิบัติอันชอบที่ถูกต้องเท่านั้น

คนโดยมากมักตื่นปาฏิหาริย์ทางดำดิน บินบน แต่ผู้เขียนลงเอยมากที่สุดก็คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนของพระองค์เป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่จืดจาง และมีอยู่ทุกกาลของแต่ละตัวสัตว์ บุคคล เทวดา มาร พรหมด้วย ประจำกองรูปขันธ์ นามขันธ์อยู่ ไม่ลบเลือนไปทางใด คือกรรมและผลของกรรม เป็นปาฏิหาริย์อยู่ทุกอิริยาบถของจิตใจอยู่แล้ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วอยู่แล้ว จะไปหาปาฏิหาริย์ที่ไหนอีก จับไฟก็ร้อน ไม่จับไฟก็ไม่ร้อนเป็นปาฏิหาริย์ทั้งนั้น และก็มีความหมายอันเดียวกันกับกรรม และผลของกรรม คนเชื่อกรรมและผลของกรรม ก็คือเชื่อปาฏิหาริย์ ก็คือเชื่อพุทธ ธรรม สงฆ์ด้วยนั้นละ

ปรารภเรื่องหลวงปู่ต่อไป ขณะที่กำลังจะแวะผ่านข้าวเขานั้นพระมหาเถระได้พูดกันว่า “ไม่ควรเอาองค์หลวงปู่ไปพักม่วงไข่ เพราะเป็นวัดร้างมาหลายปี มีต้นไม้ทึบมาก อากาศไม่โปร่งและเดี๋ยวนี้ก็ค่ำแล้ว และองค์หลวงปู่เล่าอาการก็หนักเข้า เพราะจะอ่อนเพลียในการหามมา ข้ามป่าโคกดง ก๊อกแก๊ก ๆ”

วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ (วัดป่ากุดก้อม)
ภาพจาก www.luangpumun.org

จึงตกลงแวะบ้านกุดก้อม (ดงภู่ก็ว่า) เป็นวัดป่าพระอาจารย์กู่ พอถึงที่นั้นก็หนึ่งทุ่มกว่า ๆ โดยประมาณ อาการหลวงปู่ก็หนักขึ้นทวีมาก ต่อรุ่งเช้าจึงเบาลงบ้าง

ในวันนั้นฉันจังหันแล้วมีพระองค์หนึ่งจะไปตัดช่องกระดานศาลาใกล้ที่พักป่วยขององค์หลวงปู่ เพื่อให้เป็นช่องขององค์หลวงปู่ถ่ายอาจม

องค์หลวงปู่ปรารภดัง ๆ ขึ้นว่า “อย่ามาทำเลย ท่านหล้าเธอกำกับของเธอประจำอยู่ มาทำแล้ว ก็ไม่ถูกความประสงค์ของเธอดอก” ดังนี้

ข้าพเจ้าได้ยินแล้ว อ้ายกิเลสน้ำตามาอีกละ ไหลลงเลยมันไม่ละอายใครเพราะสำเหนียกในใจว่า เราปฏิบัติองค์หลวงปู่มาด้วยประการใด ๆ ตามประสาเราเป็นเวลา ๔ ปีล่วงเข้า หลวงปู่คงไม่หนักธรรมหนักใจว่าเราปฏิบัติเพื่อเอาหน้าเอาตา และไม่สงสัยว่าเราปฏิบัติไม่เคารพและก็ตรงกับเจตนาของเราด้วย องค์หลวงปู่ดักใจทายใจเราถูกได้ไม่ผิด คิดดังนี้ได้กะทันหันอ้ายน้ำตาพลันไหลลงอีก

ศาลาพักอาพาธพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ (วัดป่ากุดก้อม)
ภาพจาก www.luangpumun.org

ห่างจากเรื่องนี้ไปประมาณหนึ่งชั่วโมง จึงละโอกาสไปขอยืมเลื่อยปลาตองและสิ่วมา กราบเท้าเรียนองค์หลวงปู่ขอโอกาสทำถวาย ไม่ให้กระทบกระเทือน เอาไม้หนุนทางใต้ให้ตึง สิ่วเจาะลงพอหลวมปลายเลื่อย เอาเลื่อยเล่มที่คมประมาณห้านาทีก็เสร็จ ส่วนทางใต้นั้นหาภาชนะรองใบโต ๆ แล้วเอาขี้เถ้ารองหนา ๆ เวลาไปเก็บสะอาดเอามือกอบใส่อันอื่นไปเทในหลุม แล้วล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำมันก๊าดและขี้เถ้าโดยเร็ว ไม่อดแต่ผู้จะแห่ถือกระบวยให้ เพราะได้เคยเอาเป็นข้อวัตรมาหลายปีแล้ว คราวอยู่หนองผือมีผู้แย่งจะทำ แต่หลวงปู่มหาไม่ให้ทำ เพราะเกรงองค์หลวงปู่มั่นจะไม่พอใจ ไม่ไว้ใจ เพราะเกรงว่าหลวงปู่มั่นจะวิจัยว่าปฏิบัติไม่ถึงพริกถึงขิง ระอาแล้วก็มอบให้องค์อื่น มันเป็นภาพพจน์เหลาะแหละ เว้นไว้แต่เจ็บป่วยนอนคาที่ไปไม่ได้ เมื่อได้พูดก็พูดไปซ้ำซะ

คราวพักรักษาองค์หลวงปู่อยู่วัดป่ากุดก้อม ข้าพเจ้าและครูบาวันมิได้ไปบิณฑบาตเลย เพราะคณะพระเถรานุเถระไม่ให้ไป ให้รีบเอาบาตรลงไปตั้งไว้ศาลาฉันเท่านั้น พระสงฆ์กลับมาจากบิณฑบาตจะใส่ให้ และก็ได้ฉันทีหลังหมู่อีกซ้ำ ส่วนครูบาวันนั้นได้ลงไปฉันพร้อมหมู่ เป็นเพียงไม่ได้ไปบิณฑบาต ครูบาวันฉันเสร็จแล้วจึงได้ขึ้นมาเปลี่ยนข้าพเจ้าลงไปฉัน แต่ก็พอใจอยู่ ไม่ห่วง เพราะพ่อของเรา ปู่ของเรา มีคุณค่ากว่าอาหารในท้องเราแต่ละวันแล้ว

ในระหว่างพักอยู่วัดป่ากุดก้อมคือบ้านภู่ หรือว่าดงบ้านภู่ ก็เรียกกันหลายอย่าง มีพระเถระมาเพิ่มขึ้นอีกคือ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ จ.อุดรฯ พระอาจารย์สีลา วัดป่าบ้านวา อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร รวมพระเณรทั้งหมด ๔๐ รูปและมาพักได้ ๓ คืน พระอาจารย์มหาบัวก็ทิ้งบ้านหนองผือมาและหมู่ทั้งหลายก็ทยอยมาจากบ้านหนองผือได้ ๑๑ วัน ครูบาทองคำก็มากับหมู่อีก เหลือแต่หลวงตาทองอยู่องค์เดียว ส่วนองค์หลวงปู่มั่นก็ป่วยหนักเข้า ๆ

พักอยู่ที่นั้นได้ ๑๑ คืน ตื่นเช้าชาวสกลนครตลอดถึงคุณหมอ แพทย์ใหญ่ในสกลนครก็มาถึงแต่เช้าตรู่

ชาวสกลนครกราบเท้าเรียนถวายวิงวอนว่า “ขอนิมนต์ให้ไปพักวัดป่าสุทธาวาส”

นิมนต์วิงวอนถึง ๓-๔ ครั้งติด ๆ กัน

องค์หลวงปู่ปรารภว่า “เออ หามศพตกป่าช้าหนอ ไม่มีวันได้หามคืน บัดนี้มาถูกเราแล้ว”

องค์หลวงปู่กล่าวต่อไปว่า “ถ้าไปก็ลำบากอีกละ” เพราะลูกศิษย์ก็มาต่างทิศ มากเข้าสี่สิบองค์ รวมทั้งเก่าใหม่

เขากราบเรียนว่า “มากน้อยเท่าไรก็ตามขอรับ จะเอารถขนวันยังค่ำนั้นแหละ”

แท้จริงสมัยนั้นมีรถวิ่งไปมาจากสกลนคร อุดรธานี ๒-๓ คัน กับรถกรมทางคันหนึ่ง หนทางก็เป็นหินลูกรังปูถี่ ๆ ห่าง ๆ ลัก ๆ ลั่น ๆ ยังไม่เรียบร้อยได้

แล้วก็กราบเท้าเรียนถวายให้องค์หลวงปู่ฉันอาหาร องค์หลวงปู่ก็นั่งฉันได้อยู่ ไม่ได้พยุงชู ฉันประมาณห้าหกคำเล็กแห่งอาหารเหลว ๆ ที่ซดด้วยช้อน ครั้นเสร็จแล้วคุณหมอใหญ่ จ.สกลนครก็ฉีดยานอนหลับให้ ด้วยการขออนุญาต ๔-๕ ครั้ง องค์หลวงปู่ก็ยอมให้ฉีดแบบฝืน ๆ

แล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางโกลาหล

อ้ายใจกิเลส อ้ายน้ำตากิเลส มันก็ไหลลงอีกละ

แล้วเอาแคร่มาหามองค์หลวงปู่ข้ามทุ่ง องค์หลวงปู่นอนตะแคงข้างขวาซ้อนเท้าเหลื่อมกัน หามข้ามทุ่งไปสู่ถนน ไกลประมาณเกือบกิโลเมตรจึงถึงถนน แล้วเอาองค์หลวงปู่ขึ้นรถกรมทาง เอานอนด้านหน้า

ครูบาวัน อาจารย์วิริยังค์ ข้าพเจ้า คุณสีหาก็ไปขบวนกองหน้าส่วนหลวงปู่ก็นอนนิ่งไม่กระดิกพลิกไหวตัวอะไรเลย ปรากฏแต่ลมเข้าออกแบบเบา ๆ

พอถึงวัดป่าสุทธาวาสแล้วก็หามองค์หลวงปู่ขึ้นกุฏิพิเศษหลังหนึ่ง อันมีระเบียงรอบทั้งที่ด้าน มุงกระดานกั้นฝา มีประตูเข้าห้องนอนสองทาง มีหน้าต่างบริบูรณ์ รอบระเบียงนอกมีลูกกรง ห้องนอนนั้นกว้างประมาณ ๓ เมตร ปริมณฑลระเบียงโดยรอบสามด้านนั้นกว้างประมาณ ๒.๕๐ เมตร ส่วนด้านหน้านั้นกว้างประมาณ ๔ เมตรหรือ ๕ เมตรนี้แหละ เพราะเป็นกุฏิ ๒ ห้อง แล้วก็มีระเบียงรอบสี่ด้าน แล้วกั้นห้องหนึ่งเป็นห้องนอน

แล้วครูบาอาจารย์ต่างทิศก็แตกตื่นกันมาเป็นระยะ ๆ องค์หลวงปู่สิงห์ โคราช หลวงปู่บุญหลาย หลวงปู่สาร พระอาจารย์เกิ่ง พระอาจารย์สิม ตลอดพระหนุ่มเณรน้อยฝ่ายปฏิบัติหลั่งไหลเข้ามาเป็นลำดับ ไม่สามารถจะบอกชื่อลือนามได้

สิ้นแล้วร่มโพธิ์แก้ว

พระอุโบสถวัดป่าสุทธาวาส

แล้วก็เอาองค์หลวงปู่เข้าห้องนอนตะแคงข้างขวา พอตกเวลาประมาณ ๖ โมงเย็น หลวงปู่กงมาบอกว่า

“ท่านทองคำ ท่านหล้า ท่านสีหา พากันบอบโบยหิวนอนมานานแล้ว จงพากันรีบนอนอยู่ระเบียงนี้แต่หัวค่ำเสีย พระอาจารย์ฝั้นกับผมจะช่วยเฝ้าในห้ององค์หลวงปู่ ส่วนท่านวันเขาพักกุฏิหนึ่งกับวิริยังค์กับท่านเนตรแล้ว ส่วนท่านมหาบัวพักรุกขมูลร่มไม้ในวัด เธอเร่งความเพียร เกรงหลวงปู่จะสิ้นลมก่อน”

พอจบคำแล้วต่างก็ปูผ้าลงกระดานพื้นระเบียง กราบพระองค์ละ ๓ ที คว้าเอาห่อผ้าสังฆาฏิมาหนุนหัว กำหนดลมหายใจเข้าออกไป ตาใสแจ๋ว ไม่หลับ เพราะมันเคยชินในการไม่หลับมานานบ้างแล้ว อาหารฉันหมดวันละเท่าไข่เป็ดก็ทั้งยาก จืดชืดไปหมด อายุขั้นสามสิบกว่า ๆ อนิจจาเอ๋ย

ประมาณตีหนึ่งกว่า ๆ หลวงปู่กงมา มาดึงแขนกระซิบบอกว่า “พากันลุก พากันลุก พระอาจารย์ใหญ่ใกล้จะสิ้นลมแล้ว”

กระซิบตอบองค์ท่านว่า “ข้าน้อยยังไม่หลับดอก”

แล้วองค์ท่านบอกให้รีบด่วนไปนิมนต์ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์มหาและครูบาวัน

ข้าพเจ้ารีบไปกุฏิท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก่อน ไปถึงแล้วกล่าวว่า “ขอกราบเท้าเรียนถวายพระเดชพระคุณ องค์หลวงปู่หนักมาก”

“เออ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

แล้วไปปลุกพระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์เทสก์

“ขอโอกาสพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ องค์พระอาจารย์ใหญ่หนักเต็มทน”

“เออ เราก็ไม่ค่อยหลับสนิทดอก”

แล้วไปปลุกพระอาจารย์มหาบัว พอเดินไปที่ใกล้ใต้ร่มไม้ องค์ท่านถามก่อนแล้วว่า “ใคร ๆ”

ตอบว่า “กระผม พระอาจารย์ใหญ่เป็นมาก”

แล้วผ่านไปหาอาจารย์วัน พระสีหาไปบอกก่อน ท่านไปแล้ว แล้วก็รีบขึ้นไป เกรงไม่ทันเห็นใจหลวงปู่ แล้วท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ปรารภว่า

“พวกเราต้องอยู่ระเบียงนอกห้อง ปล่อยให้ลูกศิษย์องค์ท่านผู้โชกโชนปฏิบัติมีสิทธิปลงธรรมสังเวชอาจารย์ใหญ่เพราะห้องก็แคบ ถ้าพวกเราชิงเข้าไปก็ไม่เป็นธรรม”

ตกลงอยู่ในห้องคอยจ้องดูลมออกเข้าของหลวงปู่ ๖ องค์ ๗ กับหลวงปู่ฝั้น

หลวงปู่ฝั้นนั่งห่างองค์หลวงปู่มั่นประมาณวาหนึ่งต่างหาก ผินหน้ามาทางองค์หลวงปู่ใหญ่ อยู่ข้างหลังพระอาจารย์กงมา หลวงปู่ฝั้นนั้นองค์ท่านนั่งขัดสมาธิภาวนาอยู่นิ่ง ๆ พวกที่เข้าคิวนั่งรอบกายขององค์หลวงปู่มั่น ห่างจากกายขององค์หลวงปู่มั่น ก็ประมาณฝ่ามือ พระอาจารย์กงมานั่งอยู่ทางขวาขององค์หลวงปู่ที่นอนคะแคงขวานิดหน่อย เพียงไหล่ขององค์หลวงปู่ พระอาจารย์มหาบัวนั่งอยู่เพียงบั้นเอวขององค์หลวงปู่ ข้าพเจ้านั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้ากับท่านสีหา ครูบาทองคำนั่งอยู่เพียงหัวเข่าด้านหลังขององค์หลวงปู่ ครูบาวันนั่งอยู่เพียงบั้นเอวขึ้นไปหาอกขององค์หลวงปู่

ต่างก็นิ่งจ้องดูลมขององค์ท่านอยู่ ประมาณสัก ๒๐ นาที องค์ท่านก็สิ้นลมปราณไปเงียบ ๆ

ทีนี้อ้ายใจผีบ้าน้ำตากิเลสมันก็ไหลออกมาตามอำเภอใจมันอีก คงจะเป็นเวลาตีสองกว่า ที่ทางในเมืองเขาได้รับข่าว เขาก็มาถึงประมาณตีสามกว่า ๆ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็เลยบอกว่า

“พวกพระเราออกจากห้อง ปล่อยให้ญาติโยมเขาปลงธรรมสังเวช ชมดูศพพระอาจารย์บ้าง”

ข้าพเจ้าลงล้าหลัง เห็นนาฬิกาอยู่ใกล้ศีรษะองค์หลวงปู่ เป็นนาฬิกาขององค์หลวงปู่ คิดขึ้นได้รวดเร็วว่า ถ้านาฬิกาอันนี้หาย ก็จะเป็นปัญหาอีก เพราะเราลงหนีทีหลัง นึกแล้วก็เอาไว้ใส่ย่าม แต่ยกมือขึ้นใส่หัวเสียก่อน แล้วก็รีบเอาไปถวายพระอาจารย์สิงห์ (หลวงปู่สิงห์ก็เรียก) ว่าแล้วองค์ท่านก็เก็บไว้

อา... ปรารภผ่านไป พอองค์ท่านสิ้นลมปราณก็ขอโอกาสพระอาจารย์มหา แล้วยกมือใส่หัวอีก เอามือสองมือชูคางขององค์หลวงปู่ไว้ให้สนิท ชูไว้ประมาณ ๒-๓ นาทีก็เลยจับสนิทเพราะเกรงว่าเมื่อเย็นแล้วตัวแข็งแล้วจะไม่สนิทเข้า

มีปัญหาว่า ไฉนจึงเขียนเรื่องก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แท้ จะเอาไปพระนิพพานด้วยดอกหรือ หลับตาตอบว่า เรื่องของเจ้าตัวที่ได้ผ่านทุกข์มาในสงสารปัจจุบันชาติ พระบรมศาสดาและพระอริยสาวกที่ทรงปุพเพนิวาสยิ่งระลึกได้กว่าเราหาประมาณมิได้ เราเพียงแต่นี้จะประสาอะไรกัน เท่าน้ำลายขององค์ท่านบ้วนทิ้งก็ไม่ได้

คราวบ้าเขียนก็ต้องยอมไปตามบ้าก่อน เมื่อเห็นโทษในบ้า ก็จะหายจากบ้าดอก และก็ได้คำนึงว่าเป็นยุคสำคัญของผู้เขียนในชาตินี้ด้วย คงจะดีกว่าเขียนกลอนเพลงกลอนลาทางโลกสงสารโต้ง ๆ ถ้าไม่เป็นคติแก่ท่านผู้อ่านแก่ท่านผู้ฟังแล้ว เป็นคติแก่คนเองก็เอา เห็นว่าไม่ขาดทุนสูญกำไรไปไหน เพราะจิตใจยังหนักแน่นใน พุทธ ธรรม สงฆ์ อยู่ไม่สงสัยลังเล เมื่อปรารภมากก็รู้จักว่าปรารภมาก เมื่อปรารภน้อยก็รู้จักว่าปรารภน้อย เเล้วหัดมิให้ติดอยู่ในเงื่อนทั้งสอง ก็ต้องเป็นภาวนาวิปัสสนาอยู่ในตัวแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับสติปัญญาเป็นเกณฑ์กันอยู่ดี ๆ นี้เอง รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ จะเอาเป็นประมาณไม่ได้เพราะกลอนพาไป พระองค์เจ้ารู้มากมิได้เห็นยากนาน พระอริยสาวก พระอริยสาวิกาก็เหมือนกัน เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานไปก่อนท่านผู้อ่านท่านผู้ฟัง ไปก่อนแล้วแต่ปางไหน ๆ

ใจใดเห็นภัยในรสใจอันเดือดร้อน ใจนั้นจะรู้จักการลดผ่อนในเรื่องร้อนของใจ

ใจใดไม่รู้จักรสของใจ ใจนั้นไม่รู้จักรสของธรรม

ใจใดไม่รู้จักทางใจ ใจนั้นไม่รู้จักทางธรรม

ใจใดไม่รู้จักพึ่งใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักพึ่งธรรม

ใจใดไม่รู้จักเหตุแห่งใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักเหตุแห่งธรรม

ใจใดไม่รู้จักดับเหตุแห่งใจ ใจนั้นไม่รู้จักดับเหตุแห่งธรรม

ใจใดไม่รู้จักหลุดพ้น ใจนั้นก็ไม่รู้จักธรรมอันหลุดพ้น

ใจใดไม่เคารพใจ ใจนั้นก็ไม่เคารพธรรม

ใจใดไม่รู้จักใจที่ควรปฏิบัติเคารพ ใจนั้นก็ไม่รู้จักธรรมที่ควรปฏิบัติเคารพ

ใจใดที่ไม่รู้จักสรรพใจ ใจนั้นก็ไม่รู้จักสรรพธรรม

ใจใดไม่รู้จักเอกใจในปัจจุบัน ใจนั้นก็ไม่รู้จักเอกธรรมในปัจจุบัน

นิจจาเอ๋ย อนิจจาเอ๋ย...

ต่อไปเรื่องศพขององค์หลวงปู่ ครั้นถึงเวลาเย็นในวันนั้น ก็กราบศพเอาเข้าหีบไม้ที่เห็นว่าเป็นหีบชั้นที่หนึ่งในสมัยนั้น แล้วก็เอาไว้ที่ศาลาโรงฉัน แล้ว ๓ ทุ่มตอนกลางคืนมีการสวดมนต์ ธรรมจักรบ้าง อนัตตลักขณสูตรบ้าง อาทิตตปริยายสูตรบ้าง ธรรมนิยามบ้าง อภิธรรมบ้าง วนไปวนมา และมีการฟังเทศน์ทั้งโยมทั้งพระรวมกันตอนกลางคืนด้วยทุกคืน

ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เป็นประธาน แต่งพระเถระทั้งหลายเปลี่ยนวาระกันเทศน์เข้าคิว สมัยนั้นพระอาจารย์มหายังมิได้เข้าคิวเทศน์ดอก องค์ท่านกำลังเร่งความเพียร ออกไปวิเวกองค์เดียว ๗ วันจึงเข้ามาเยือนหนหนึ่งเป็นระยะ ๆ

พระมาต่างทิศ บางวันถึง ๘๐๐ ก็มี บางวัน ๔๐๐ ขึ้นไป ๕๐๐ ๖๐๐ ๗๐๐ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ ตลอด ๓ เดือน การขบฉันก็เหลือแหล่ ไม่มีโจรผู้ร้ายพอที่จะว่าเดือดร้อน

๗ วันที่เรียกว่าสัตตมวาร ในสมัยนั้น ทำบุญครั้งหนึ่ง แต่ก็เท่ากับว่าทำทุกวันอยู่ในตัวเพราะพระมาก ถ้าคิดเฉลี่ยแล้วเอา ๖๐๐ มาคูณ ๙๐ แล้วจะเป็นพระกี่องค์เล่า ก็เป็นพระ ๕๔,๐๐๐ องค์ทีเดียวละ

พระมหาเถระ พระราชาคณะทางกรุงเทพมหานครก็มาหลายองค์อยู่ สมัยนั้นวัดป่าสุทธาวาสเป็นวัดกว้างขวางวังเวงเพราะยังไม่มีสวน ไม่มีบ้านท่านผู้ใด เป็นดงบ้าง เป็นป่าบ้าง กางกลดกางมุ้งอยู่ไหน ๆ ก็ได้ไม่คับแคบ

ให้เข้าใจว่าองค์หลวงปู่มั่นสิ้นลมปราณล่วงไป ๓๐ ปีกว่าเท่านั้น บ้านเมืองงอกมาหาวัดจนกลายเป็นวัดในเมืองไปแล้ว

ครั้งพุทธกาลล่วงมา ๒๕๒๔ ปีแล้ว วัดเชตวัน วัดบุพพาราม วัดเวฬุวัน วัดนิโครธาราม กุฏาคารป่ามหาวัน เหล่านี้เป็นต้นครั้งพุทธกาลเป็นวัดป่าเป็นสวนมากทั้งนั้น มิหนำซ้ำที่ประสูคิ ตรัสรู้ ที่ทรงแสดงธรรมจักร ที่ปรินิพพานเหล่านี้เป็นต้น ย่อมเป็นป่าเต็มภูมิทั้งนั้น เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธศาสนาเกี่ยวกับป่า ๆ ดง ๆ ภู ๆ เขา ๆ ตลอดพระวินัยอนุศาสน์และพระสูตรต่าง ๆ แทบทุกสูตรที่เกี่ยวกับป่า ถ้าพวกเขาจะรังเกียจวัดป่าวัดภู ในพระไตรปิฎกเรื่องพระเมฆิยะเขาก็สร้างวัดบนหลังภูเขา ถวายพระครั้งพุทธกาลก็หลาย ๆ แห่ง ถ้าหากว่าพวกเราตัดป่าตัดภูเขาออกแล้ว พระไตรปิฎกก็ไม่ครบ เราวิ่งไปหน้าเดียวไม่มองคืนหลังเสียเลย ก็จะเลยเถิดแผนที่ ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยแก่ท่านผู้รู้ทุกถ้วนหน้าและขอรับฟังพิจารณาคำตักเดือนโดยเคารพด้วยอยู่โดยทุกเมื่อ เพราะหวังดีผูกขาดแล้ว