#echo banner="" อัตตประวัติ หลวงปู่หล้า เขมปัตโต 1

อัตตโนประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต

วัดบรรพตคีรี ( ภูจ้อก้อ ) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

 

คำนำ

หนังสือชีวประวัติเล่มนี้ แรกเริ่มคุณอินทร์ถวายมาร้องขอข้าพเจ้าหลาย ๆ ครั้ง (ดังรายละเอียดในรูปเล่ม) ครั้นต่อมา พวกอุบาสกอุบาสิกาของพระพุทธศาสนาทางพระนครหลวง กรุงเทพฯ ได้มาวิงวอนร้องขอข้าพเจ้าให้อนุญาตจัดพิมพ์

พระอาจารย์อินทร์ถวาย

สนฺตุสฺสโก

ข้าพเจ้าได้พิจารณาหลาย ๆ รอบ หลาย ๆ นัยก็เข้าใจได้ว่าคงเจตนาจะพิมพ์จริง ข้าพเจ้าจึงได้อนุญาตเพราะเห็นว่า จะเป็นประโยชน์ในทางธรรมะบ้างไม่มากก็น้อย ส่วนการติชมของชาวโลกนั้น เป็นธรรมประจำโลกอยู่แล้วไม่ขาดเลย แต่ก็มีหลักเกณฑ์อยู่ว่าไม่ให้ขี้ขลาดต่อความดีของตนอันจะพอทำได้ ให้ขี้ขลาดต่อความชั่วอย่าได้อาจหาญล่วงละเมิด เมื่อมานึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็เบาใจได้ปัญญาเกิดขึ้นมาที่ดวงใจให้คำนึง มีใจพอพึงอนุญาตให้ตีพิมพ์

บรรดาท่านผู้จะพิมพ์หนังสืออันเกี่ยวกับธรรมะฟรีไว้เพื่อเป็นคติมากเล่มน้อยเล่มก็ดี เป็นของหาได้ยาก เพราะเกี่ยวกับทรัพย์สินบ้าง เกี่ยวกับไม่มีศรัทธาบ้าง และก็เป็นของหาได้ยากอีกด้วย และอีกอย่างหนึ่งธรรมดาชีวประวัติชาวพุทธแล้ว จะทุกข์จนข้นแค้นในด้านอามิส ลาภยศ สรรเสริญ สุขสักเพียงใดก็ตามที แต่ถ้าหากว่ามีความประพฤติดีมาอาชีวะชอบ เป็นต้น ก็สมฐานะของชาวพุทธอยู่มีชีวประวัติคุณค่าสูง เสียชีพดีกว่าเสียสัตย์ เสียชีวประวัติก็เสียชีพดีกว่า

แท้จริงชีวประวัตินี้จะเขียนหรือไม่เขียน มันก็มีอยู่ในตัวทุก ๆ ท่าน เพราะความลับไม่มีในโลก นตฺถิ โลเก รโห นาม แต่เขียนไว้ดีกว่าไม่เขียน ท่านผู้ชอบอ่านก็จะได้อ่าน ผู้เขียนประวัติของตนเองยังไม่มรณภาพนั้นเองยิ่งดี เพราะมีโอกาสให้ผู้อื่นคัดค้านได้ทุกเมื่อ (สำหรับคำจริงแล้วไม่พูดอีกก็จริงอีก เมื่อยิ่งพูดก็ยิ่งจริง) ท้ายแห่งคำนำโดยย่อนี้ ด้วยเดชพระพุทธศาสนา จงเป็นสุขทุกถ้วนหน้าทั่วทั้งไตรโลกาอยู่ทุกเมื่อ เทอญ.

พระหล้า เขมปตฺโต

 

คำนำ (เพิ่มเติม)

ทุกวันนี้มีไสยศาสตร์ ต่าง ๆ เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเป็นต้นว่า พวกรูป เหรียญ ล็อคเก็ตแขวนคอ เหล่านี้เป็นต้น สำหรับตัวของข้าพเจ้าไม่ได้ยินดีด้วยมาแต่ไร ๆ แล้ว และองค์หลวงปู่มั่นก็ไม่ส่งเสริมด้วย ครูบาอาจารย์องค์หลวงปู่มหาบัวก็คือไม่ส่งเสริมและติเตียนฝ่ายที่เคยเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นที่เคยเอาหลวงปู่มั่นไปอ้างอิงว่าเป็นอาจารย์ของตน แล้วก็ทำรูปเหรียญขึ้น รุ่นนั้นรุ่นนี้ แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้มีกิเลสมาก ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายมากกว่าเม็ดหิน เม็ดทรายในท้องมหาสมุทร ๔ มหาสมุทรก็ตาม ย่อมไม่ยินดีด้วยทั้งนั้น

เมื่อเป็นดังนี้ เมื่อท่านผู้ใดทำรูป ทำเหรียญข้าพเจ้าไปขายก็ดี หรือเอาไปแจกฟรีก็ดี ข้าพเจ้าไม่ยอมอนุญาตเป็นอันขาด ถ้าใครฝืนก็จะขออารักขาต่อทางการ ถ้าไม่ฟังก็เอาเรื่องตามกฎหมายของบ้านเมือง เพราะทุกวันนี้ยุ่งเหยิ่งในเรื่องเหล่านี้มาก ข้าพเจ้าเข้าใจว่าผู้เล่นไสยศาสตร์มาเป็นพรรคพวกล้าน ๆ คน ไม่เท่าได้ผู้ถึงธรรมแท้มาเป็นพรรคคนเดียว

ปรารภน้อยไม่พออธิบาย ปรารภหลายหาว่าอวดดีจองหอง ถ้าความเห็นของข้าพเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็มอบให้ทุกข์กับสมุทัยซะ ถ้าหากว่าเป็นสัมมาทิฏฐิก็ทูลถวายต่อมรรคกับนิโรธ ส่วนตัวข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ถอนไม่ออกเสียแล้ว จะว่าอุปาทานก็ยอมรับ

ยุคสุดท้ายบ้านหนองผือ สกลนคร ข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมองค์หลวงปู่มั่น ๔ พรรษาติด ๆ กัน ๒๔๘๙, ๙๐, ๙๑, ๙๒, ๙๓ จนถึงฌาปนกิจองค์หลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อย ในพ.ศ. ๒๔๙๓ องค์หลวงปู่มั่นไม่มีปฏิปทาไสยศาสตร์ทำรูป ทำเหรียญ ล็อคเก็ต เครื่องลางของขลังอยู่ยงคงกระพัน และวิชาเสน่ห์ วิชาหุงปรอท เป็นต้น เหล่านี้ไม่มีในองค์ท่านเลย จึงลงไปปักษ์ใต้กับองค์หลวงปู่เทสก์ ๓ พรรษา แล้วกลับขึ้นมาจำพรรษากับองค์หลวงปู่มหาบัว ยุคบ้านห้วยทรายอีก ๓ พรรษา คราวอยู่กับองค์หลวงปู่มั่น ๔ พรรษา ติด ๆ กันนั้นจนถึงฌาปนกิจ ถ้าจะบวกกันเข้าก็คล้าย ๆ ๔ ปีกว่า มีองค์หลวงปู่มหาบัวเป็นมือขวาขององค์หลวงปู่มั่นควบอยู่ด้วย ให้เข้าใจว่ายุคบ้านหนองผือนั้น องค์หลวงปู่มั่นไปอยู่ก่อน ๑ พรรษาแล้ว คือ พ.ศ. ๒๔๘๙ ติดต่อกันจนถึงฌาปนกิจ ๒๔๙๓ ดังกล่าวแล้วนั้น มีองค์หลวงปู่มหาบัวเป็นพยานได้

เมื่อเป็นดังนี้ ถ้าข้าพเจ้าปีนเกลียวส่วนนี้ ก็เท่ากับว่าข้าพเจ้าเอาหัวองค์หลวงปู่มั่นมาเหยียบเล่นจริงไหม เทวดาเอ๋ย...

หลวงปู่ หล้า เขมปตฺโต

 

ข่าวอารมณ์

ข้าพเจ้าเป็นผู้มีกิเลสมากไม่พ้นทุกข์ง่ายเลย พอข้าพเจ้าเห็นรูป ๆ เหรียญ ของลางของขลังเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ซึ่งกำลังประชันขันแข่งกันในข่าวหนังสือต่าง ๆ ดังอย่างนั้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าอยากจะอาเจียนออก และหลงแลบลิ้นออก และก็ขออภัยต่อแดดต่อลมที่ใช้มารยาทอันไม่งามต่อดินฟ้าอากาศ คงจะเป็นเพราะเพ่งออกนอก ไม่ โอปันนยิโก น้อมสอนตน นานาจิตตัง นานาธัมมังในเพศผ้าเหลืองนี้มีมากมายแท้ ๆ ข้าพเจ้าเอาทิฏฐิของโลกมาป้อนทิฏฐิตนเองอย่างนี้ (คงเป็นคนพาลย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลัง) แต่ไม่ได้อ้างบาลีเลยนะ

และก็เมื่อพุทธาภิเษกกินขนมและเอาตังค์ และอ้างว่าสงเคราะห์ผู้ใหม่เพื่อได้ทำบุญบ้าง แต่เมื่อผู้ใหม่ติคนิสัยแล้วก็แกะไม่ออก เลยไม่รู้ว่าความหมายของพระพุทธศาสนานี้เป็นรสชาติอย่างไร เป็นเพียงลวงคนโงให้จมดิ่งลงไป หรือประการใดก็ทราบยากนัก แม้ตนเองก็จะพลอยจมดิ่งด้วย วัตถุนิยมที่ได้มาในทางปีนเกลียวของพุทธแท้ธรรมแท้ สงฆ์แท้นี้ ก็ส่อให้บรรดาปราชญ์ให้ธัมมวิจยะ สอดส่องว่า อ้า...พระพุทธศาสนาทรงศักดิ์ศรีสูงกว่าโลกเป็นไหน ๆ ทำไมบรรดาท่านผู้ปฏิบัติรักษาพระพุทธศาสนาใจจึงไม่รักษาเกียรติไว้บ้าง ยอมตัวต่ำช้าหาเลี้ยงชีวิตปีนเกลียวธรรมวินัยของพระองค์ที่ทรงบัญญัติไว้จนดูไม่ได้เล่า ขอให้แดดลมเอ๋ยตอบเถิด

ด้านมรรค ผล นิพพาน ก็คงจะทรงพระนิพพานอยู่ตามเคย หาได้ยอมสละลงมาเล่นกับสนามบ้ากิเลสไม่ บ้ากิเลสก็คงไม่มีวันจะรู้ตัวรู้ใจรู้ธรรมได้ง่าย เคยเดินวนเวียนอยู่หรือวิ่งอยู่ตามถนนสายโลภ สายโกรธ สายหลง สอบได้ปริญญาเอกแบบได้คะแนนเต็ม ชั้นที่ ๑ เสมอ กิเลสชวนเขียนก็เป็นบ้าเขียน เมื่อรู้เท่าบ้าแล้ว บ้าก็คงละอายบ้างกระมัง พระบรมศาสดาเมื่อรู้เท่ามารแล้ว มารก็หายวับไป ณ ที่นั้น แต่เรารู้เท่าสัญญาความจำ ความจำก็คงเบาจากอุปาทานแล้ว อุปาทานไม่มีในปัจจุบันแล้ว อุปาทานในอดีต อนาคตก็ต้องหายไป ณ ที่นั้นเอง ที่นี้เองละนะอนิจจา และก็ว่าตามเป็นจริงแล้วเราจะยึดถืออะไรก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่ามันล่วงไปเองไม่จำเป็นเราจะไปสมมุติให้มันเกิดดับ มันเกิดดับเอง แต่มีหน้าที่รู้ตามเป็นจริงเท่านั้นเอง...

หลวงปู่ หล้า เขมปตฺโต

 

นโม เม สัพพพุทธานัง

นโม เม สัพพสัจจธัมมานัง

นโม เม สัพพสังฆานัง

ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย พร้อมทั้งพระอริยสัจธรรม และพระอริยสงม์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ระลึกได้ไม่ระลึกได้ก็ดี ขอผูกขาดจองขาด เคารพนอบน้อมอยู่ในกาลทุกเมื่อ เอาเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่ปฏิบัติบูชา เพื่อดับทุกข์ทั้งปวงโดยไม่เหลือในปัจจุบันชาตินี้เทอญ

ดูก่อนท่านผู้ใจสูงธรรมสูงทุกถ้วนหน้า แมลงภู่แมลงผึ้งไม่เบื่อหน่าย ร่าเริงบันเทิงใจในเกสรดอกไม้ฉันใด บรรดาท่านผู้ใจสูงธรรมสูง ก็ไม่เบื่อไม่หน่าย ย่อมร่าเริงบันเทิงใจบันเทิงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ เปิดเผยไว้แล้ว

อนึ่ง อันว่า ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เลย เรื่องทุกข์จิตทุกข์ใจนานาอเนกเพิ่มเข้าอีกเล่า ก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นอีก หาประมาณไม่ได้

เมื่อยังไม่มีญาณอันถ่องแท้ว่าพ้นทุกข์ในสงสาร จะสำคัญตัวว่าเป็นสุขสักเพียงใดก็ตาม ก็เป็นเรื่องโกหกพกลมตนเองอยู่โดยตรง ๆ แบบไม่รู้ตัวอีกด้วย มิหนำซ้ำเป็นวิชาทำตัวให้เป็นหมันอีกด้วย เพราะวันเวลาชีวาล่วงไปไม่กลับหลัง กรรมนิยมกรรมบันดาลผูกมัดรัดไว้ ให้กลายเป็นธรรมเมาธรรมมัวไป พระอรหันต์จำพวกเดียวเท่านั้น จะอยู่เหนือธรรมและผลของกรรมไปได้ เหลือนอกนั้นยังเป็นทาส อยู่ได้อำนาจกรรมและผลของกรรมทั้งนั้น แต่กรรมและผลของกรรมนั้น ว่าโดยย่อจำแนกออกเป็นสอง เป็นโลกิยกรรมหนึ่ง เป็นโลกุตรกรรมหนึ่ง โลกิยกรรมนั้นแบ่งออกเป็นหลายจำพวก เป็นพวกมนุษย์ก็มี เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เป็นเปรตก็มี เป็นสัตว์นรกก็มี เป็นเทวดาก็มี เป็นพรหมก็มี สารพัดจะบรรยายให้จบได้เพราะมากมายนัก

ส่วนที่เป็นโลกุตรกรรมนั้น มีอยู่เจ็ดจำพวก นับแต่พระโสดาปัตติมรรคไป จนถึงพระอรหัตมรรค (เว้นพระอรหัตผลเสีย) เมื่ออยู่ใต้กรรมและผลของกรรมแล้ว ผู้ที่เชื่อกรรมและผลของกรรมลงได้สนิทแล้ว เรียกว่า ได้ทรัพย์ขุมต้น คือขุมศรัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และก็จะรู้จักเลือกเฟ้นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร เพราะได้ดวงตาดวงปัญญาดวงธรรมแล้ว ขุมทรัพย์ภายในขุมอื่น ๆ ก็เปิดประตูรับไปในตัว

ศรัทธาที่ประกอบกับปัญญาสมดุล จึงเป็นอริยศรัทธาเบื้องต้น พรหมจรรย์ของพระพุทธศาสนา เป็นศรัทธาปัญญาที่บรรจงก้าวหน้าด้วยศรัทธาและปัญญาที่สมดุลกัน เพื่อหลุดเพื่อพ้นจากปัญหาโลภ ปัญหาโกรธ ปัญหาหลงของตนที่ดองสันดานมานมนาน ศรัทธาและปัญญาชั้นนี้ เป็นอาวุธพอที่จะต่อสู้กับความหลงชั้นกลางได้บ้างแล้ว ต้องเอาออกให้เสมอ ๆ ไป ความหลงนับวันจะตั้งอยู่ไม่ได้แล้ว

มูลเหตุการเขียนประวัติ

ชีววิสัยที่นิยมใช้กันในโลก ๆ ว่าเรา ๆ ท่าน ๆ เขา ๆ เป็นต้น บัดนี้ได้ล่วงกาลผ่านเวลามาถึงเจ็ดสิบปีเข้าแล้ว ถอนตัวมาปฏิบัติฝ่ายธุดงควัตรตั้งแต่ ๒๔๘๘ จนถึงเวลาที่กำลังเขียนอยู่นี้ เป็นวันที่ลงมือเขียนวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ แล้ว พรรษา ๓๖ ย่าง ล่วงมาผ่านกองทุกข์มาน่าสังเวช เป็นเหตุให้นึกคำนึงถึงการเขียนชีวประวัติและก็มีพระภิกษุอินทร์ถวาย สนฺตุสฺสโก หาสมุดมาไว้ให้เขียนทั้งหลาย ๆ เล่ม พร้อมทั้งนิมนต์วิงวอนให้เขียนด้วย ที่เธอหาสมุดมาให้ ก็เป็นเวลาล่วงมาสองสามปีแล้ว และก็มีคุณเวินที่จำพรรษาอยู่ด้วยมาได้หลายปี ได้กล่าวว่า ท่านอาจารย์อินทรถวายมาเยี่ยมคราวใด ก็ได้ถามกระผมอยู่เสมอว่า องค์ท่านเขียนแล้วหรือยัง กระผมตอบว่ายังไม่ทันได้เอาใจใส่เขียน เมื่อเป็นดังนี้ เหตุผลในการเขียนก็จวนตัวผู้เขียนเข้ามา และคุณอินทรถวายเล่าก็ได้บวชอยู่กับเจ้าตัว ได้รับทุกข์ลำบากมาก ในยุคต้นของภูจ้อก้อมาติด ๆ กันเก้าพรรษา และโยมบิดาโยมมารดาของเธอพร้อมทั้งวงศ์ตระกูลของเธอด้วย ก็ปฏิบัติใกล้ชิดกับภิกษุสามเณรฝ่ายปฏิบัติมานมนานด้วย นับแต่ยุคห้วยทราย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาจนถึงปัจจุบันยุคภูจ้อก้อนี้ ถ้าไม่บรรยายมาบ้าง ก็คล้าย ๆ กับว่าจะแอบได้แอบเสียในประวัติของตน ยกหางตนเองขึ้น เหมือนโคและกระบือถ่ายอุจจาระออก แต่ก็ต้องยอมเสียสละการติชมก่อน จึงจะลงมือเขียนได้ ถ้าหวังจะแบกการติชมไปพระนิพพานด้วย หลังก็จะหักตายเกิดคาโลกอยู่ ไปไม่ได้

การเขียนประวัติของตนเอง พร้อมทั้งเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลของตนที่ผ่านมาในสงสารเฉพาะปัจจุบันชาติ นับแต่รู้เดียงสามาคงไม่เหลือวิสัยอะไรนัก ทั้งจะได้เพิ่มธรรมสังเวชเข็ดหลาบในชาติ ๆภพ ๆ เพิ่มขึ้น พระบรมศาสดาระลึกชาติได้โดยไม่ยากตั้งล้านอสงไขย พระอรหันต์สาวกสาวิกาจำพวกบุพเพนิวาสก็ดี ก็ระลึกได้หลาย ๆ กัปหลาย ๆ กัลป์ เราเพียงแต่จะระลึกแต่รู้เดียงสามาจนถึงแก่ลัก ๆ ลั่น ๆ บ้างก็ถือว่าเหลือวิสัยเสียแล้ว

อนึ่ง ท่านผู้อื่นเขียนประวัติของเรายอมถูกบ้างผิดบ้าง แต่ต้องผิดนั่นแหละเป็นส่วนมาก เพราะไม่ได้ติดตามกันอยู่ทุกอิริยาบถของกาย วาจา จิต เพราะสมัยนั้น ๆ ยุคนั้น ๆ เจตนาของจิตเจตสิกตั้งไว้อย่างไรบ้าง เป็นต้น ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของประวัติ เจ้าของประวัติเขียนเอง ก็รับผิดชอบได้สนิท มอบบาปบุญคุณโทษไว้กับเจ้าของประวัติชะ

วงศ์ตระกูลฝ่ายบิดา

หันมาปรารภวงศ์ตระกูลฝ่ายบิดา เป็นคนชาวนา ปู่ทวด ย่าทวด ได้มรณะเสียแล้ว ส่วนปู่นั้น ชื่อปู่นามฮุง นามสกุลเสวตร์วงศ์ อยู่บ้านงอย อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี มณฑลอุดร เพราะสมัยนั้นเป็นมณฑล แต่คุณปู่คงเกิดก่อนตั้งเมืองอุดรมานมนานแล้ว พี่ชายของคุณปู่ชื่อธรรมวงษ์ น้องชายของคุณปู่อีกคนชื่อ อั้ง น้องชายของคุณปู่อีกคนชื่อ เฒ่าขี้คุย แต่ชื่อจริงของท่านแท้ไม่รู้ได้ คุณย่าชื่ออะไรไม่ทราบได้ คุณย่ามรณะไป ข้าพเจ้ายังเล็กอยู่ วงศ์ตระกูลคุณย่าก็ไม่ชัดได้ และก็น่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนถามบิตามารดาไว้ และก็ต้องยอมรับว่า โง่ ๆ เง่า ๆ ที่ล่วงไปแล้ว

คุณปู่คุณย่ามีบุตรร่วมกันสิบคน ชายห้า หญิงห้า

คนที่หนึ่ง คือนางอ่อนศรี มีลูกสามคน คุณป้าอ่อนศรีมีอายุยืนแปดสิบปี

คนที่สอง ชื่อนางคำมี มีบุตรสี่คน

คนที่สาม ชื่อนางเป้ มีบุตรห้าคน

คนที่สี่เป็นโยมบิดาของข้าพเจ้า ชื่อว่า นายคูณ เสวตร์วงศ์ จารย์คูณก็ว่า ท่านมีบุตรแปดคน หญิงห้าคน ชายสามคน

คนที่หนึ่งชื่อว่า นายสิงห์ (ทิดสิงห์)

คนที่สองชื่อนางสีดา

คนที่สามชื่อนายทองดี (ทิดทองดี) ผู้ใหญ่บ้านทองดีก็ว่า

คนที่สี่ชื่อ นางบุญมี

คนที่ห้าชื่อ นางจันที

คนที่หกชื่อ นางแก้ว

คนที่เจ็ดชื่อ นางแหวน

คนที่แปดคือ ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้เอง

แปลว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้องของมารดา ให้เข้าใจว่าลูกทั้งแปดคนนี้สี่ปีเป็นระยะ ๆ จึงเกิดร่วมกันคราวหนึ่ง แต่ปัจจุบันที่เขียนนี้ ยังมีชีวิตอยู่เพียงพี่สาวสองคนเท่านั้น คือพี่แก้วกับพี่แหวน แต่ก็ต่างคนก็ต่างแก่ตามธรรมชาติของธรรมฝ่ายสังขาร อายุขัยเทียบได้กับเวลาสายัณห์ตะวันเย็นริบหรี่ ๆ ลงลับขอบภูเขาหรือขอบฟ้า ถ้าสติปัญญาไม่กล้าเหนือไปจากความที่ว่าหลง ๆ ไหล ๆ ต้องตายคาไตรเหตุแล

ลูกของคุณปู่ผู้อันดับห้าชื่อ นายบุญ กำนันบุญก็ว่า มีบุตรสี่คน

ลูกคุณปู่คนที่หกชื่อ นางลุน มีบุตรเจ็ดคน

ลูกของคุณปู่คนที่เจ็ดชื่อ นายปาน (กำนันปาน) มีลูกหนึ่งคน

ลูกของคุณปู่คนที่แปดชื่อ นายด้วง (ทิดด้วง) มีบุตรสามคน

ลูกของคุณปู่คนที่เก้าชื่อ นางแสง มีบุตรห้าคน

ลูกของคุณปู่คนที่สิบ คือ นายหล้า (ผู้ใหญ่บ้านหล้า) มีบุตรสี่คน

ที่ปรารภฝ่ายโยมของบิตามานี้ ถ้าจะบรรยายถึงลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ ของท่านให้ละเอียดแล้ว ก็จะไม่ได้จบสิ้นโดยง่าย แม้จะเป็นเชื้อสายวงศ์น้อย และวงศ์ใหญ่สักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่พ้นแตกสลายตายไป เมื่อไม่พ้นจากกรรม ก็ต้องอยู่ใต้กรรมและผลของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วทั้งนั้น เมื่อกิเลสยังไม่จบสิ้น ก็จะได้มาเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นญาติกัน ในทางกิเลสทั่วทั้งสรรพไตรโลกาอยู่นี้แล

ที่กล่าวมา ก็พอให้เป็นหลักสมดุลกับการเขียนประวัติบ้างเท่านั้น จะเอาอดีต อนาคต ปัจจุบันไปพระนิพพานด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้ ที่มักอ้าง มักอาศัยปัจจุบันเป็นมรรคภาวนาเอาเป็นตัวศีล สมาธิ ปัญญา กลมกลืนกันทันเวลา ก็เพื่อมิให้สงสัยภาวนาเรียงแบบอยู่หนังสือภายนอก จะกลายเป็นงมปลานอกแหนอกอวน ชวนให้ส่งส่ายไปทางนอก จะไม่รู้จักวิธีเดินทางแห่งมรรคจิตมรรคใจ มรรคสติมรรคปัญญา จึงได้เอาจิตเอาธรรมพร้อมทั้งสติปัญญาในปัจจุบัน เป็นเรือเป็นแพแจวข้ามฟากความหลง เมื่อข้ามได้แล้วย่อมไม่ติดผู้รู้อยู่ ทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันด้วย เพราะไม่ได้ไปปล้นจี้เอาอดีต เอาอนาคต เอาปัจจุบันมาเป็นตัวตนให้เป็นกังวล เพราะทอดอาลัยด้วยญาณอันถ่องแท้สลัดคืนแล้ว พร้อมทั้งถอนอาลัยอยู่ในตัว การทะเยอทะยานในอดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่เรียกว่าตัณหา ก็ดับลงไป ขณะเดียวพร้อม ๆ กันในตัว ไม่มีอันใดก่อนอันใดหลัง เหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงจ้า มืดนั้นแลนาก็หายไปพลันทันกาล

ถ้าจะปรารภแต่พงศาคณาญาติ ไม่มีธรรมเป็นบทบาทมาว่าบ้าง ก็ดูว่าไปหน้าเดียวเตลิดเปิดเปิง ใจไม่บันเทิงเพราะเป็นเรื่องโลก ๆ ท่านผู้มีปัญญามาอ่านพบเข้าก็จะหัวเราะเยาะ เรื่องการเขียนและการอ่านก็คงออกมาจากกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารทั้งนั้น พระนิพพานมิได้มาอ่านด้วย มิได้มาเขียนด้วยเพราะมิได้รับใช้สังขารใด ๆ

ขออภัยท่านผู้อ่านมาก ๆ เรื่องวงศ์ตระกูลฝ่ายบิดา สำหรับโยมบิดาของข้าพเจ้า ท่านมรณะก่อนโยมมารดา ๓ ปีท่านเป็นโรคชราอายุย่างเข้า ๘๐ ปี ท่านไม่กระวนกระวายตอนหัวค่ำ ในวันนั้นลูกทั้งหลายล้อมท่านที่นอนป่วยอยู่ ท่านสั่งว่า อะไร ๆ พ่อก็ได้สั่งไว้แล้ว ลูก ๆ อย่าได้ทะเลาะกัน วันนี้เองคืนนี้เองอย่าพากันมารบกวนให้พ่อกินน้ำ พากันอยู่นิ่ง ๆ พ่อจะนอนภาวนา แล้วทายไว้แต่หัวค่ำว่า ส่องแสงเงินแสงทองในตอนเช้านี้พ่อจะตาย นี้หมายความว่า ทายแต่หัวค่ำคืนนั้น เพราะเหตุว่าพ่อรู้ในตัวของพ่อแล้ว ธรรมดาคนเราเมื่อเสลดขึ้นพันคอแล้วไม่มีกำลังขากออกก็ต้องตาย ลูกเอ๋ย ที่นี้ส่วนลูกทั้งหลายมีข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสมัยนั้น ข้าพเจ้ายังไม่ทันบวชมีครอบครัวอยู่ และในคืนวันนั้นเอง บิดานอนตะแคงข้างขวาไม่กระดิกตัวเลยตลอดรุ่ง พอถึงเวลาที่ท่านนั้นหมายท่านก็เงียบไปเลย ไม่กระดิกให้ปรากฏในส่วนกายอันใดเลยแม้แต่นิดเดียว ลูกทั้งหลายที่จ้องดูอยู่จนไม่เห็นพิรุธคล้ายคนหลับไปเลย ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ท่านได้ทราบข่าว ว่าน่าอัศจรรย์นัก

ข้อที่ควรเขียนพิเศษ ข้าพเจ้าเป็นลูกคนสุดท้อง ไม่เคยเห็นบิดาดื่มสุรา ไม่เคยเห็นเครื่องดักสัตว์น้ำสัตว์บกไว้ในตัวท่าน แต่เป็นคนไม่รวยและไม่ยอมเป็นหนี้ใคร ผู้ที่ท่านรวย ๆ สมัยนั้น ธรรมดาคนบ้านนอกมีเงินเหรียญบาทในสมัยนั้นหนึ่งหมื่นบาท ก็เล่าลือว่าเป็นคนรวยที่สุดสมัยนั้น แต่สำหรับบิดาของข้าพเจ้ามีเงินเพียงร้อยบาทเท่านั้น แต่ชอบให้ทานที่สุด ผู้มีเงินหมื่นบริจาคทานห้าบาท บิดาของข้าพเจ้าขี้ทุกข์ ๆ ก็ได้ทานห้าบาทด้วยเหมือนกัน ในครอบครัวของบิดาข้าพเจ้า ถ้าไม่ได้ใส่บาตรวันหนึ่งก็ทะเลาะกัน

วงศ์ตระกูลฝ่ายมารดา

ย้อนมาปรารภเผ่าพงศ์วงศาของโยมมารดา ท่านเป็นคนอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา เป็นคนชาวนาโต้ง ๆ แม้วงศ์ของโยมบิดาก็ดี มารดาก็ดี เป็นลาวละว้าอย่างเต็มภูมิ พูด (คำว่า) ยี่สิบ ไม่เป็น พูดเป็นแต่ ซาว (หมายความว่าในการนับ) แต่ตาทวดยายทวดนั้น ไม่รู้ประวัติเสียแล้ว เพราะมิได้เรียนถามท่านไว้ รู้จักแต่ชื่อคุณตาและคุณยายเท่านั้น โยมคุณตาชื่อวิเศษ โยมคุณยายชื่อตุ้ม แต่ไม่รู้จักนามสกุล โยมคุณตา โยมคุณยายมีบุตรด้วยกันหกคน

คนที่หนึ่งชื่อ นางหนู

คนที่สองชื่อ นางคำ

คนที่สามชื่อ นางแพง คือ โยมมารดาของข้าพเจ้า

คนที่สี่ชื่อ นางงวก

คนที่ห้าชื่อ นางข่า

คนที่หกคือ นางหล้า พอนางหล้าโตมาพอคลานเป็น คุณโยมยายก็มรณะไปเสียแล้ว ในขณะนั้นโยมป้าหนูผู้เป็นลูกหัวปี ก็มีอายุราวสิบเก้าปี เมื่อโยมคุณตาทำฌาปนกิจ พร้อมทั้งทำบุญอุทิศถึงโยมคุณยายที่มรณะไป เสร็จสิ้นแล้ว จึงคำนึงว่าเราจะอยู่บ้านดู่โรงนานี้ต่อไป ก็ดูว่าอนาคตแผ่นดินจะดับแคบ และเวลานี้โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม ในอนาคตเล่าก็จะชุกชุมหนักขึ้นอีก เราทราบอยู่แล้วว่าทางเหนือบ้านหมากแข้ง คือค่ายมีที่ดินกว้างขวางว่างเวิ้งมากมายนัก เราขายไร่นาเรือกสวนบ้านช่อง แล้วพาลูกโยกย้ายขึ้นไปอยู่เห็นจะเป็นการไม่ฝืดเคืองในอนาคตมากกระมัง

เมื่อโยมคุณตาตกลงใจดังนี้แล้ว ก็ขายของทอดเทแบบลดราคา พาลูกสาวทั้งหกคน หาบเอาของที่พอหาบได้ เดินด้วยฝีเท้า บ้านแตกสาแหรกขาด ผู้มรณะไปก็ยังไม่ทันนาน อนิจจตาธรรมตามนำทำให้วิโยค จิตใจโศกติดคล้อยละห้อยหวน มีแต่ทุกข์ทั้งมวลในสรรพไตรโลกา ผู้กำลังเขียนอยู่นี้นาเป็นบุตรหลานของท่าน อารมณ์อันน่าสังเวชมาผ่าน ก็ยิ่งปรากฏคุณบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย มีพระคุณมากหลายอเนกอนันต์ เทียบกับพระคุณของพระอรหันต์ก็ได้ไม่ผิด พระบรมศาสดาเป็นพระมหาบัณฑิต ได้กล่าวไว้แล้ว ปลงใจเชื่อแล้ว พร้อมทั้งยกธงขาว ไม่มีวันจะกล่าวลบหลู่ดูแคลน ฝังใจลงแน่นเท่ากับภูเขาหลวง จนลุล่วงถึงซึ่งพระนิพพานไม่หวังเนิ่นนานในปัจจุบันชาติแล

หันมาต่อเรื่องโยมแม่กับโยมคุณตา พาครอบครัวโยกย้ายบ่ายหน้า ขึ้นมาทางเหนือด้วยฝีเท้า โยมป้าหนูผู้เกิดหัวปีหาบเอาของอันพอจะเอาได้ โยมป้าคำอุ้มเอาน้องผู้ชื่อว่าหล้าพอคลานเป็นนั้น ผลัดเปลี่ยนกันกับมารดาของข้าพเจ้าผู้ชื่อนางแพง ซึ่งขณะนั้นอายุราวสิบสองปีเท่านั้น สิบห้าคืนสิบห้าวันจึงถึงถิ่นอุดร ที่เรียกกันว่าค่ายหมากแข้ง (หมายเหตุ คำว่า ค่ายหมากแข้งนั้นเพราะสมัยนั้นยังไม่ทันใส่ชื่อจังหวัดอุดรธานี) ในสมัยนั้น อยู่ห่างจากอุดรปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ก็เลยตั้งบ้านอยู่ที่นั้น ได้ชื่อว่าบ้านกุดสระ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจนบัดนี้

โยมคุณตาได้สงวนที่ดินไว้หลายร้อยไร่ และสงวนเลี้ยงโคและกระบือไว้เป็นจำนวนร้อยกว่าตัว วัดบัวบาน บ้านกุดสระอันสืบมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นที่ดินของโยมคุณตาทั้งนั้น โยมคุณตาเข้าใกล้ชิดวัดอย่างโชกโชนตลอดเกี่ยวกับปัจจัยสี่ บ้านของวงศ์ตระกูลนี้ก็อยู่รอบวัดทางทิศใต้และทิศตะวันตกของวัดเป็นส่วนมาก พอบ้านกุดสระนั้นเจริญขึ้น เพราะทยอยกันมาจากโคราช อำเภอปักธงชัยอีกก็มาก มาจากที่อื่นก็มี กลายเป็นตำบลมีหลังคาเรือนประมาณสองร้อยหลัง เจ้าอาวาสได้เป็นอุปัชฌาย์มีผู้เคารพนับถือโด่งดังในสมัยนั้น เป็นมหานิกาย นิยมเรียนมูลเดิมและเทศน์ใบลาน

ปรารภเรื่องติดต่อไปอีกว่า ลูกสาวของโยมคุณตาทั้งหกนี้ สมควรแก่เวลาอายุแต่ละรายของลูกสาวแล้ว ก็แต่งงานมีครอบครัวขึ้นที่บ้านกุดสระทุก ๆ คน

เมื่อคิดดูแล้ววงศ์ตระกูลฝ่ายมารดาก็ดี ฝ่ายบิดาก็ดี ของข้าพเจ้าผู้เจ้าของประวัตินี้ ถ้านับทั้งลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ ของท่านทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันเข้า ทั้งผู้ตายและผู้เหลือที่สืบไปเป็นทอด ๆ แล้ว จะเป็นคนกี่ร้อยครอบครัว ถึงแม้ว่ามนุษย์ เทวดา มาร พรหม ตลอดถึงสิ่งที่เป็นรูปขันธ์ นามขันธ์ จะเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนและดับไป ในสรรพไตรโลกธาตุก็จริง ถึงกระนั้น ก็ยังยัดเยียดเบียดเสียดกันอยู่ พร้อมทั้งสรรพกองทุกข์ด้านกิเลสภายในด้วย และ (ในสมัย) รัชกาลที่หกก็มีพลเมืองในประเทศไทยเราสิบสี่ล้านเศษเท่านั้น แต่ปัจจุบันที่กำลังเขียนอยู่นี้ สี่สิบล้านแล้วหรือไฉน

สังขารทั้งปวงที่มีใจครองและไม่มีใจครองก็ดี เกิดขึ้นอยู่ทุกกาล แปรปรวนอยู่ทุกกาล ดับไปทุกกาล

นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะเกิดขึ้น นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะแปรปรวน นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะดับไป นอกจากสังขารไม่มีอันใดจะเป็นทุกข์

นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะแปรปรวน และดับไป นอกจากอนิจจังก็ไม่มีอันใดจะเกิดขึ้นตั้งอยู่แปรปรวน และดับไป นอกจากอนิจจังก็ไม่มีอันใดจะเป็นอนิจจัง และก็ไม่มีอันใดจะเป็นทุกขัง นอกจากทุกข์ไม่มีอันใดจะตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะแปรปรวน นอกจากทุกข์ก็ไม่มีอันใดจะดับไป ทุกข์เท่านั้นแหละเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นแหละแปรปรวน ทุกข์เท่านั้นแหละดับไป

ทุกข์ก็ดี อนิจจังก็ดี ก็มีความหมายอันเดียวกัน จะปรารภอนิจจังโยงมาหาทุกขัง จะโยงทุกขังมาหาอนิจจัง กลับไปกลับมาก็มีความหมายอันเดียวกัน ถ้าเข้าใจว่าเป็นความหมายคนละอันแล้ว เรียกว่า หลงบัญญัติและปัญญาก็ยังไม่ชัดแจ้ง ไม่พ้นความสงสัยในอนิจจังและทุกขัง

ส่วนอนัตตาเป็นธรรมอันลุ่มลึกในพระพุทธศาสนามากมายนัก ถ้าขาดปัญญาญาณอันถ่องแท้แล้ว ก็มักจะยืนยันว่าสูญจนเลยเขตเลยแดนเลยเถิดไป เมื่อไม่รู้แจ้งชัดในอนัตตาแล้ว ไฉนจะไม่ติดอยู่ในอัตตาด้วย ไฉนจะไม่ติดอยู่ในอนัตตาด้วย นักภาวนาเกิดทุ่มเถียงเกี่ยงงอนกันในเรื่องอนัตตาจนหน้าดำหน้าแดง จนกลายเป็นสงครามกิเลสอนัตตาเป็นส่วนมาก อัตตา อนัตตา ไม่ใช่ไฟกิเลส ไม่ใช่ไฟทุกข์ ไม่มีพิษสงอันใด จริงตามสมมติ จริงตามปรมัตถ์เท่านั้น เพราะปรมัตถ์เป็นธรรมฝ่ายลุ่มลึกของความเป็นจริงอันลึกซึ้ง มีทั้งเกิดทั้งดับ และมีทั้งไม่เกิดไม่ดับรวมกันอยู่ ถ้าเทียบกับอาหาร ก็มีทั้งก้างและเนื้อและกระดูก รวมอยู่ในถ้วยหรือในชามหรือในหม้ออันเดียวกัน นักวิจัยไม่พิสูจน์ให้ชัดในกรรมฐาน ปัจจุบันจิตปัจจุบันธรรมที่ตนตั้งไว้มั่นโดยเฉพาะ ย่อมถูกต้มโดยความหลงใหลของตนเองที่ดองอยู่ในขันธสันดานที่ล้อมรอบอยู่ในเมืองจิตใจ

มรดกที่อยากได้

พลิกจิตตสังขารมาปรารภประวัติต่อไป ข้าพเจ้าเกิดวันที่ ๑๙ ปีกุน เดือนกุมภาพันธ์ ขึ้น ๓ ค่ำ วันจันทร์ เวลาตอนเช้า พ.ศ. ๒๔๕๔ นี่เป็นโยมมารดาบอกอย่างชัดแจ้ง ธรรมชาติของโยมมารดาข้าพเจ้ามีนิสัยชอบจดจำ ลูกทั้งแปดคนเกิดออกจากอุทร ท่านจำวันเกิดข้างขึ้นหรือข้างแรม เดือนปีได้ทุก ๆ คน ไม่สุ่มเดาและไม่เก้อเขินเลย แปลกแต่ไม่รู้วันที่ คงจะเป็นเพราะท่านไม่รู้หนังสือ

ทีนี้บ้านที่ข้าพเจ้าเกิด บ้านกุดสระ หมู่ที่ ๒ ตำบลกุดสระ อำเภอหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี มณฑลอุดร (สมัยนั้นเป็นมณฑล) (แต่ไม่ตรงกับใบสุทธิเมื่ออุปสมบท เพราะเมื่ออุปสมบท เขียนหมู่ที่ตำบล อำเภอตามปัจจุบันที่อุปสมบท) แล้วก็วิทยฐานะ ป.๒ เท่านั้น อาชีพทำนาตลอดทั้งโคตร บิดานายคูณ นามสกุลเสวตร์วงศ์ มารดาชื่อนางแพง บ้าน อำเภอ จังหวัด มณฑล เขียนไว้แล้วในหน้านี้ เพราะเขียนลักลั่นสุ่มสี่สุ่มห้า นึกเห็นอันใดก็เขียนลงคดี ไม่เอาไปตรวจในสนามหลวง เอาคะแนนอันใดหรอก และคงไม่มีโทษ

ขณะที่มีอายุหกปี ได้ถามบิดาว่า “พ่อ บ้านของเรามีบุญหรือไม่”

พ่อตอบว่า “มี”

ถามต่อไปว่า “มันเป็นก้อนเหลือง ๆ หรือพ่อ”

พ่อตอบว่า “เออ มันเป็นก้อนเหลือง ๆ นั้นแหละลูก”

พ่อตอบลูกแล้วพ่อก็เลยยิ้มอยู่ และเวลาโอกาสได้ไปนา พี่สาวทั้งหลายก็ดำนาอยู่ ส่วนตนก็เล่นอยู่ตามนาที่คราดแล้วเตียน ๆ ใกล้ ๆ นั้น บิดาปรารภเย็น ๆ ขึ้นพร้อมทั้งชี้มือว่า “นาตอนนี้จะให้ลูกคนนั้น คนนี้ ส่วนบักหล้าจะให้แถวนี้ไป”

ตอบพี่สาวและบิดาว่า “ไม่เอาหรอก”

พี่สาวพูดต่อไปว่า “ไม่เอา มึงจะไปเอาที่ไหน”

ตอบพี่สาวว่า “นั่นวัดข้า นั่นนาข้า”

แล้วชี้มาทางวัด เพราะวัดก็อยู่ใกล้นาบ้าง เมื่อบิดาได้ยินแล้วก็ยิ้ม และก็ได้เคยไปเล่นในวัดเป็นนิจในฤดูแล้ง เพราะบ้านอยู่ใกล้วัด ภิกษุหนุ่มสามเณรหนุ่มท่านชอบพูด ชอบถามด้วย เมื่อได้ยินท่านท่องหนังสือก็ดี เทศน์ตามใบลานก็ดี เป็นสำเนียงอีสานฟังแล้วจับใจ เนื้อความในการเทศน์ดังนี้

“เม มะยา ตนผู้ข้าชื่อว่าอานนท์ สุตัง สุตตะวา อันว่าสูตรอันนี้ ได้ฟังแล้วจากพระพุทธเจ้าแห่งเรา แท้ดีหลีแลนา” ดังนี้ เป็นต้น

ความประทับใจในวัยเด็ก

พ.ศ. ๒๔๖๕ ก็ออกจากโรงเรียนได้เพียง ป.๒ เท่านั้น ในระหว่างอายุสิบสองปี ได้มีพระธุดงค์องค์หนึ่งได้มาพักอยู่ที่ตอนหัวนา บิดาก็ไปทำร้านถวายให้พัก ท่านจะพักที่นั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ พรรษาของท่านล่วงแล้ว ๗ พรรษา ชื่ออาจารย์คำภา อยู่บ้านโพนเลา อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี บิดาของท่านเคยเป็นสหายกับบิดาข้าพเจ้า และตัวของท่านก็เคยเป็นสหายกับพี่ชายของข้าพเจ้า ผู้ชื่อว่าทิดทองดี จึงเป็นที่คุ้นเคยเคารพนับถือกันมาแต่ยุคบิดาตลอดมาปัจจุบัน

เวลาที่พระธุดงค์พักอยู่ที่นั้น เมื่อเลิกจากโรงเรียนแล้ว บิดาข้าพเจ้าก็ให้ข้าพเจ้าไปรับต้มน้ำร้อนถวายท่าน ก่อนเก้านาฬิกาตอนเช้าก็เหมือนกัน ไปคอยรับให้ท่านเพื่อประเคนของ คนอายุ ๑๒ ปีรู้สึกสังเกตพระเป็นโดยไม่มีใครบอก เมื่อเห็นท่านมีอากัปกิริยาเรียบร้อย พร้อมทั้งฉันในบาตรรวมลงทั้งหมดทั้งหวานและคาว เอาข้าวและกับไว้ในบาตร พอดี เหลือไว้ในบาตรเพียงสองสามคำ แลไม่ฉันอืดอาดอยู่นานด้วย รีบล้างมือและปาก และล้างบาตรเช็ดเรียบเร็วพลันเรียบร้อยคล่องแคล่ว ไม่ปึงปังป๊กเป๊กอะไร ก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส เคารพรักองค์ท่านมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านก็ผ่องใสและเดี๋ยวนี้ก็ไม่จืดจางองค์ท่าน ระลึกเวลาใดก็ไม่จืดจาง คงไม่หนีจากรสเค็มคือเกลือ

บิดาของข้าพเจ้าย่อมไปนอนด้วยองค์ท่านทุกคืน ศึกษาธรรมะ ท่านเล่าให้บิดาฟังว่า เดินธุดงค์ไป ก้มหน้าทอดจักษุพอประมาณ ภาวนาพุทโธ ติดต่อไปพร้อมกับเดินไม่รู้ว่า ข้ามน้ำโขงแต่เมื่อไร เหลียวหลังคืนเห็นแม่น้ำโขงอยู่ข้างหลังข้ามมาแล้ว คำลับของท่านมิได้เล่าทั่วไป เล่าให้บิดาข้าพเจ้าฟังเท่านั้น

ท่านเล่าเรื่องถ้ำเอวมองที่ท่านไป ว่ามีสะพานหินข้ามเหวไปประมาณสองเส้น ส่วนเหวนั้นลึก มองลงไปใต้สะพาน เห็นซากพระและบาตรอยู่หลาย ๆ ซาก เพราะลื่นสะพานหินตกลง ส่วนท่านนั้นพลาดลงแบบเบา ๆ แต่ตะครุบทันบาตรบุบบ้าง ไปด้วยกันห้าองค์ ไปลงท้องมรณะกลางทางก็มี ไปพลาดสะพานหินตกลงมรณะก็มี เหลือแต่ท่านองค์เดียวได้เข้าถึงถ้ำนั้น ถ้ำนั้นมีประตูหินปิดเป็นห้อง ๆ ไปเป็นระยะ ๆ ไป ห้องทีแรกมืด ภาวนาติดต่อพุทโธอยู่ไม่ขาด ปรากฏได้ยินเสียงเปิดประตูดังอี๊ดอ๊าด ๆ ไม่ได้เดินเข้า นั่งขยับเข้าผ่านถ้ำ มืดแล้วก็สว่างตา มีเสือโคร่งอ้าปากใส่ เสือจริงไม่ใช่รูปหิน ทำท่าทางให้กลัวพิลึก พ้นห้องนั้นแล้ว ถึงห้องกองเงินกองทอง พ้นห้องนั้นไป ได้ยินแต่เสียงพูด ไม่เห็นตัว พูดเสียงเย็น ๆ ไพเราะว่า “ลาสิกขาเสียเน้อ ไปมีเมียเสียเน้อ” เสียงหนึ่งพูดขัดกันมาทันทีแบบไพเราะเย็น ๆ ว่า “ถ้าท่านลาสิกขา ก็เท่ากับว่าตายจากธรรมอันจะพึงได้พึงถึง ท่านอย่าลาเน้อ”

นี้แหละคนอายุสิบสองปีจำได้ เพราะบิดารับมาจากท่านแล้วเล่าให้ฟัง และท่านได้เล่าเรื่องท่านไปวิเวกดอยคิชฌกูฏอเนกปริยาย เพราะท่านไปถึง มูลค่าปัจจัยเงินเหรียญเขาถวายท่านหลายร้อยหลายพันระหว่างที่ท่านไปวิเวก แต่ท่านมิได้สะสม เกิดที่ใด สละไว้ที่นั้น

บรรพชาและอุปสมบทครั้งแรก

ครั้นอายุล่วงเข้าสิบแปดปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรในวัดบัวบานบ้านกุดสระนั้น มีพระอุปัชฌาย์หนู ติสสเถโร เป็นเจ้าอาวาส มีอายุพรรษามาก เพราะอายุขัยของท่านก็แก่กว่าบิดามารดาของข้าพเจ้า เพราะท่านก็บวชแต่ยังหนุ่มแน่น และบิดามารดาเล่า ก็ดำริอยากให้ข้าพเจ้าบวช พร้อมทั้งเจ้าตัวก็ดี พระอุปัชฌาย์ก็ดี มีความเห็นตรงกันก่อนจะปรารภกันอยู่แล้ว ไม่มีสิ่งกินแหนงแคลงใจอันใด และอุปัชฌาย์ก็เปิดประตูทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ปฏิบัติใกล้ชิด

พรรษาแรกเรียนหนังสือธรรมใบลาน พร้อมทั้งเรียนหนังสือสูตรสวดมนต์ไหว้พระเช้าเย็น เรียนสิบสองตำนานแบบพิสดาร พร้อมทั้งขัดตำนาน ธรรมจักร มหาสมัย อนัตตลักขณะ อาทิตตะ อนุโมทนาวิธี สวดแจง การเรียนก็ดี การท่องบ่นสาธยายก็ดี สมัยนั้นต่างก็ถือเอาเป็นจริงเป็นจังกันในสำนัก

พรรษาที่สองท่องนวโกวาทจบแต่ฤดูแล้ง แต่ที่จริงพรรษาที่สองแต่ฤดูฝนท่องหนังสือธรรมจักร มหาสมัย อนัตตะ อาทิตตะ จบแล้ว ครั้นถึงพรรษาที่สาม ออกพรรษาแล้วเดือนพฤศจิกายน ก็ลาสิกขาจากสามเณร คัดเลือกทหารเดือนเมษายน มารดาวิตกวิจารณ์เกรงจะถูกทหาร ก็พอดีคัดเลือกทหารได้ดีหนึ่ง แต่จับสลากไม่ถูก แปลว่าลาสิกขาจากสามเณรอยู่หกเดือนจึงคัดเลือกทหาร

พอเดือนพฤษภาคมในปีนั้นก็เข้าอุปสมบทเป็นพระในวัดเดิม อุปัชฌาย์เดิม สมัยนั้นใครลาสิกขาไปวันหนึ่งสองวันก็ตาม เมื่อกลับมาบวชใหม่ต้องได้เรียนนักธรรมชั้นเก่าของตน แม้จะสอบได้แล้วก็ตามให้สอบอีก ข้าพเจ้าก็สอบอีกได้คะแนนเทียบโท คราวนี้ได้สิบเอ็ด คำว่า แปลว่า ให้ถูก แปลว่าสอบนักธรรมตรีในสนามหลวงได้สองครั้ง ได้ใบประกาศสองใบ พอสอบนักธรรมแล้วไม่นาน ก็ได้ลาสิกขาจากพระภิกษุ

ห้วงทุกข์แห่งฆราวาส

การลาจากเพศพระภิกษุไม่อยากจะลาเท่าใด แต่หมู่เพื่อนพาคะนองก็ลาไปตามเพื่อน พอลาสิกขาจากพระภิกษุได้หกเดือน ก็แต่งงานอยู่ด้วยกัน ปีหนึ่งก็เลิกกัน ได้บุตรคนหนึ่งเป็นเพศหญิง ห่างจากนั้นหนึ่งปีก็แต่งงานอีก ที่เขตเทศบาลชานเมืองอุดร คือบ้านเดื่อ ต.หนองบัว สถานีรถไฟหนองบัว

ห่างจากแต่งงานเก้าปี มีบุตรสามคน ผู้หัวปีเป็นชาย ผู้ที่สองเป็นหญิง ผู้ที่สามเป็นชาย แต่ผู้ที่เป็นหญิงนั้นพอได้สามปีก็ถึงแก่กรรมไป

ในปีครบที่เก้านั้นเอง ภรรยาป่วยอยู่สิบห้าวันก็ถึงแก่กรรมไป เสร็จฌาปนกิจแล้วก็พักอยู่อีกปีหนึ่ง มารดาของข้าพเจ้าก็มรณะไป อายุของท่านล่วงไป ๘๐ ปี แล้วก็มอบหมายลูกให้ป้าแก่น สามีชื่อคำภา ฝ่ายชาวนา

ป้าแก่นนั้นเป็นพี่สาวภรรยาของข้าพเจ้า ท่านเป็นหมันไม่มีบุตร ได้ลูกข้าพเจ้าทั้งสองคน คือเด็กชายเสาร์อายุแปดปี เด็กชายหลุย อายุสามปี พร้อมทั้งเรือกสวนไร่นา เรือนชานบ้านช่อง กระบือสามตัว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นมรดกของผู้ตายคือภรรยา ได้แบ่งกรรมสิทธิ์กันก่อนตายแล้ว แปลว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขวนขวายทำอะไร ในด้านยุ้งข้าวและเรือนชาน ตลอดถึงที่ดิน โค กระบือ มีแต่ตั้งหน้าทำนากินเท่านั้น เพราะมรดกเป็นของภรรยา ส่วนป้าแก่นอันเป็นพี่สาวของภรรยาผู้เป็นหมันนั้น มรดกก็ปันไว้ส่วนหนึ่งต่างหากไว้ก่อนน้องสาวมรณะแล้ว ส่วนน้องชายป้าแก่นสามคน พี่ชายป้าแก่นคนหนึ่งนั้น เขาก็แบ่งคนละส่วน ๆ ไว้เรียบร้อยแต่ก่อนแล้ว ผู้ได้รับโชคก็ป้าแก่น คือได้หลานผู้ชายสองคน ทั้งมรดกของหลานก็ได้อยู่ในกำมือบริหารด้วย เพราะเป็นหมัน มีหน้าที่จะได้หาบุตรมาเลี้ยงอยู่ตรง ๆ

แต่ข้าพเจ้าก็มีโชคทางบวช ตั้งแต่ทิ้งภรรยาคนก่อนก็นึกจะบวชอยู่แล้ว แม้บิดาก็แนะนำให้บวชอยู่แล้ว แต่คนถือมานะว่า เขาจะเย้ยว่าหาเมียไม่ได้แล้วหนีไปบวช เสียเปรียบเมียเก่า บิดาได้ฟังแล้วหัวเราะ มิหนำซ้ำขณะที่เมียผู้ที่สองนี้ยังไม่มีท้อง บิดาก็พูดทางลับคุมให้หนีไปบวชอยู่ เพราะบิดารักบวชยิ่งกว่าจะแต่งงานให้ลูกชายอยู่แต่ไร ๆ มา และนิสัยของท่านไม่ยอมให้ท่านผู้อื่นบรรพชาหรืออุปสมบทให้ลูกของตนเลย คือฝ่ายบริขารจะบวช มิหนำซ้ำท่านคุยว่าลูกชายทั้งหมดจะพากันบวชจริง ปฏิบัติให้สมควรแก่พระจริงจะบวชจนวันตาย พ่อก็ยินดีส่งเสริมทุกเมื่อ ส่วนพวกเป็นเพศหญิงอันเป็นลูก ๆ พ่อรับอาสาเลี้ยงเขาจนกว่าจะมีครอบครัวได้ แม่ของสูจะตายก่อนหรือหลังกู ก็พอมีฟืนไว้ให้เผาได้ ฟืนคือสตางค์ พ่อแม่เผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลเป็นผู้มีสรณัง คัจฉามิ แห่งพุทธ ธรรม สงฆ์ เท่าที่ควร

คืนสู่เพศพรหมจรรย์

ปรารภในเรื่องบวชต่อไป การบวชต้องบวชมหานิกายก่อน พระอุปัชฌาย์ที่บวชนั้น คือพระครูคูณ บ้านท่าตูม ได้นิมนต์ท่านมาบวชที่บ้านยาง บ้านยางนั้นมีหลวงพ่อทอง สุวัณณสโร เป็นเจ้าอาวาส และก็เป็นลูกศิษย์ของอุปัชฌาย์หนู บ้านกุดสระด้วย พระครูคูณก็เช่นกัน ได้นิมนต์ท่านอาจารย์เสาร์ บ้านดงลิง มาเป็นอนุสาวนาจารย์ หลวงพ่อทอง สุวัณณสโร เป็นกรรมวาจาจารย์ พระครูคูณเป็นอุปัชฌาย์

ไฉนจึงไม่ไปบวชธรรมยุตเล่า

ตอบว่า มารดากำลังชราภาพหนักเข้า เพราะที่นั้นอยู่ใกล้มารดา ไกลกันเพียงสองกิโลเท่านั้น จะได้เยือนมารดาสะดวกในทางธรรมะ และอุปัชฌาย์และอาจารย์สวดเล่า ก็ได้เคารพนับถือกันมานมนานพร้อมทั้งวงศ์วานด้วย และเมื่อองค์ท่านได้รับทราบข่าวว่าจะบวช องค์ท่านก็เปิดประตูทางกาย วาจา ใจ ด้วย และข้ามกรายไม่ได้ เพราะเกรงกระทบกระเทือน และองค์ท่านเล่าก็มีนิสัยใจคอกว้างขวางมากทุก ๆ ด้าน

พ.ศ. ๒๔๘๖ นั้นเอง เป็นเดือนเมษายน พอบวชแล้วข้าพเจ้าก็ท่องหนังสือสูตรต่าง ๆ คืนมาได้หมดแต่พรรษาแรกตลอดทั้งนวโกวาทและธรรมวิภาค เล่ม ๑ เล่ม ๒ พร้อมทั้งเรียนนักธรรมโทต่อ ก็สอบนักธรรมโทได้ในปีนั้น

ครั้นพรรษาที่สอง ก็เรียนนักธรรมเอกต่อ สอบในสนามหลวงวัดโพธิสมภรณ์ อุดรฯ เพราะสมัยนั้น ทั้งธรรมยุต มหานิกายต้องไปสอบสนามหลวงวัดโพธิสมภรณ์แห่งเดียวกัน และข้าพเจ้าบวชมหานิกายคราวนี้ ได้ปฏิบัติข้อวัตรเคร่งขึ้นบ้างเฉพาะส่วนตัว พระอาจารย์เจ้าอาวาสก็ไม่ขัดข้อง คือฉันหนเดียว มื้อเดียว เอกาสนิกังคะ ไม่ฉันจิ๊บ ๆ แจ๊บ ๆ ตอนก่อนเที่ยงและเที่ยง เว้นไว้แต่เภสัชแก้โรค ฝ่ายขุดดินพรากของเขียวข้าพเจ้าก็งดเว้น มูลค่าข้าพเจ้าก็ไม่เก็บเองเพื่อสะสม มารดาก็มรณะในปีนั้น ท่านมีสติเงียบเรียบร้อย (คือตายคาภาวนาพุทโธ)

ไม่ไว้ใจในสังขารทั้งปวง

พระธรรมเจดีย์

(จูม พันธุโล)

ฌาปนกิจศพมารดาเสร็จแล้ว ก็กราบลาอุปัชฌาย์อาจารย์สวด ไปหาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) สมัยนั้นท่านเป็นพระเทพกวี ส่วนอุปัชฌาย์อาจารย์เดิมท่านก็ห้าม แสดงความอาลัยอเนกปริยาย จึงกราบเรียนท่านว่า

“กระผมบวชเมื่อแก่ อายุขั้นสามสิบ ลูกตายเสีย เมียตายจาก ถ้าอยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้ปฏิบัติสะดวก โลกจะกล่าวว่าบวชเลี้ยงชีวิต และการบวชคราวนี้ ก็เห็นภัยในสงสารอย่างเต็มที่ ไม่ไว้ใจในชีวิตเลย และไม่ไว้ใจในสังขารทั้งปวงด้วย อยากจะไปปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ในสงสารขอรับ”

ท่านฟังแล้วก็มีกิริยาสังเวช ก็เลยอนุญาต กราบลาท่านแล้ว ก็จัดแจงแต่งบริขารให้หลานชายคนหนึ่งชื่อบุญหลาย บุญมาตุ่น ซึ่งเป็นลูกชายของพี่สาวผู้ที่ชื่อว่านางแก้ว ตามไปส่งถึงวัดโพธิสมภรณ์ มหาสุพัฒน์ อันเป็นหลานของข้าพเจ้า ก็เป็นพระเลขาของท่านเจ้าคุณ พักอยู่ชั้นล่างกุฏิของท่านเจ้าคุณ แล้วก็ขึ้นไปกราบเท้าท่าน แล้วถวายหนังสือรับรองให้องค์ท่าน

หนังสือรับรองนั้น มหาเฉลิมหลานเขยที่เป็นครูสอนโรงเรียนอยู่บ้านยาง เขียนรับรองให้ และมหาเฉลิมก็เป็นพี่เขยมหาสุพัฒน์ เคยได้บวชกับท่านเจ้าคุณมานมนานในวัดโพธิสมภรณ์นั้นแล้ว ทั้งได้เป็นลูกศิษย์อยู่ใกล้ชิดท่านเจ้าคุณ ยุคก่อนมหาสุพัฒน์มา แล้วได้ลาสิกขา ไปสอนโรงเรียนฝ่ายโลก นับว่าเป็นโชคดีที่เหมาะสมทุกประการ แม้ท่านเจ้าคุณเทพกวีก็รู้จักเผ่าพงศ์วงศ์ตระกูลของข้าพเจ้าดีพอแล้ว เพราะเป็นตระกูลที่มีสัมมาอาชีพ องค์ท่านก็รับไว้แบบเบาใจเบาธรรม

เมื่อองค์ท่านเมตตารับแล้ว ก็ให้พักอยู่ชั้นล่างกับพระมหาสุพัฒน์นั้น ประมาณเจ็ดวัน องค์ท่านก็สั่งให้โยมวัดป่าหนองน้ำเค็มมารับเอาไปปฏิบัติ รอญัตติในวัดป่าโพธิ์ชัย บ้านหนองน้ำเค็มนั้น มีหลวงพ่อบุญมีเป็นเจ้าอาวาส ไกลจากวัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานีประมาณสิบสองกิโลเมตร เป็นตำบลเชียงยืน ขึ้นอำเภอเมืองอุดรฯ และวัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็มนั้น เป็นวัดที่เขาสร้างถวายพระอาจารย์ใหญ่มั่น ในคราวพระอาจารย์ใหญ่มั่นกลับจากเชียงใหม่มาอุดรฯ ที่ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นิมนต์มาพักฤดูแล้ง พอถึงฤดูฝนปีนั้น หลวงปู่มั่นก็จำพรรษาที่วัดป่าโนนนิเวศน์ ชานเมืองอุดรฯ ทางทิศเหนือของเมืองอุดรฯ เป็นมงคลดี

จะกล่าวถึงหลวงพ่อบุญมี วัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็ม อำเภอเมืองไว้บ้าง ในส่วนปฏิปทาของท่าน ท่านก็ได้ศึกษาเรียนกับหลวงปู่มั่น ในคราวหลวงปู่มั่นพักอยู่วัดป่าหนองน้ำเค็มนั้น เป็นอย่างจริงจัง รู้จักและอ่านออกข้อวัตรทุกประการบ้างพอควรในการปฏิบัติของหลวงปู่มั่น และท่านก็เคารพรักหลวงปู่มั่นแบบไม่จืดจางได้

หลวงพ่อบุญมีปฏิบัติเคร่งครัดพอควร อายุ ๗๒ ปี พรรษาย่างเข้า ๑๘ พรรษา ท่านมีอุบายสั่งสอนเยือกเย็นแยบคายพอควร ด้วยให้หนักไปในการหลุดพ้นโดยด่วนในสังสารทุกข์ ไม่พาทำงานจุก ๆ จิก ๆอะไร เพราะปัจจัยสี่ในสำนักพอเป็นพอไปได้แล้ว พาเร่งรัดความเพียรโชกโชน กลางวันไม่ให้หลับเคลิ้มเลย ทั้งตรงต่อเวลาด้วยตามกาลของข้อวัตร ตอนกลางคืนก็ให้หลับประมาณสามสี่ชั่วโมงเท่านั้น

ญัตติธรรมยุต

ครั้นถึงเดือนกุมภาพันธ์ในฤดูแล้งปีนั้นเอง ท่านเจ้าคุณเทพกวี (จูม พันธุโล) ก็สั่งให้เข้าไปญัตติ พอได้เวลาจัดแจงบริขารเพิ่มพอเพียงแล้ว พร้อมทั้งญาติโยมและพระที่ไปด้วยสององค์ ก็พากันเดินด้วยฝีเท้าไปถึงวัดโพธิสมภรณ์ เมืองอุดรธานี ไปหาท่านที่กุฏิ กราบเท้าถวายนมัสการท่านว่า

“เกล้าต้องทำพิธีลาสิกขาออกจากมหานิกายก่อนหรือประการใดหนอ”

องค์ท่านกรุณาว่า “ม่ต้องดอก เพราะเจ้าเป็นผู้ตั้งใจดูว่าดีแล้ว นุ่งเหลืองห่มเหลืองตามเดิมเข้าญัตติ มหาสุพัฒน์เอ๋ย เอามีดโกนมาเราจะโกนหัวให้เป็นพิธี ผมจะไม่ยาวพอโกนก็ตาม เราลงมือโกนให้เป็นสิริ”

เมื่อพิจารณาตามพระวินัยแล้ว องค์ท่านทำถูกมาก พระวินัยบอกไว้ว่า อุปัชฌาย์จะโกนหัวให้สัทธิวิหาริกก็ควร เพราะต่างฝ่ายจะได้เคารพรักกันเป็นอตีตารมณ์

ครั้นโกนผมแล้ว องค์ท่านก็ให้พระไปตีระฆังมารวมที่โบสถ์แล้วก็เข้าญัตติ มีพระครูธรรมธร เป็นกรรมวาจาจารย์ พอเสร็จแล้วองค์ท่านก็ออกใบสุทธิให้ เลขนับจำนวนใบสุทธิ ๑๓๑๘ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ เวลา ๑๓ นาฬิกา ๑๕ นาที ส่วนใบสุทธิเดิมใช้ไม่ได้เพราะคนละสังกัด

เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กราบเท้าลากลับวัดป่าโพธิ์ชัย หนองน้ำเค็มตามเดิม กลับถึงก็พอดีค่ำมืด แก้ปัญหาตอนนี้ได้แล้วรู้สึกเบาใจมากแล้วก็ต่อนิสัยกับหลวงพ่อบุญมีในวันนั้น ต่างก็ตั้งหน้าปฏิบัติไม่มีกังวลทางอื่นเลย

สมัยนั้นสถานที่วิเวกวังเวงดีนัก แต่มีงูกะปะมากเพราะเป็นดงป่าไม้ไร่บ้าง ต้นมะแหนบ้าง ต้นเอ็นหม่อนบ้าง พอถึงเวลาเข้าพรรษามีพระ ๕ รูป สามเณร ๓ รูปด้วยกัน มีการถือธุดงค์พอควร กลับถึงวัดแล้วไม่รับอาหารที่เป็นปัจฉาภัต หวานคาวรวมลงในบาตร องค์ไหนทำอาหารให้เหลือในบาตรในยามฉันอิ่มแล้วเท่าฟองไข่ไก่ ถือว่าไม่รู้จักประมาณในการเอาไว้ก่อนจะฉัน ไม่ถือว่าเป็นของลำบากด้วย ต่างก็รู้สึกสนุกใจด้วยการพอใจทำ เพราะมีแต่ท่านผู้ตั้งใจตามสมควรแท้

การภาวนาพรรษาแรก

การภาวนาเฉพาะส่วนตัว ก็ได้กำหนดลมหายใจออกเข้าเป็นหลักเป็นส่วนมาก แท้จริงได้หัดทำแต่ยังอยู่เป็นฆราวาส คราวภรรยาตายแล้วเป็นต้นมา นิมิตเห็นแสงดาวและนิมิตก้อนเมฆที่ไหลผ่านแล้วแตกสลาย ได้น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ เห็นประจักษ์แต่เป็นฆราวาสแล้ว

จิตที่รวมลงในอานาปาฯ ไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ตัดเสียงหมอลำที่เขาลำอยู่ในวัดที่กำลังเป็นพระมหานิกายอยู่ ก็ได้รู้จักรสชาติแล้วไม่สงสัย พอหมดกำลังก็ถอนออกมา ก็ได้คำนึงน้อมสู่ไตรลักษณ์แถมท้ายส่งเดช

ฉะนั้นการปฏิบัติมาแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ท่านผู้ใดเล่าเรื่องนิมิตต่าง ๆ นานาสารพัดให้ฟัง ก็ฟังได้ แต่ไม่ตื่นเลย เพราะนิมิตทั้งหลายไม่ใช่พระนิพพาน เกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนแตกสลายเท่านั้น เพราะไม่พ้นกองพลของไตรลักษณ์ เพราะนิมิตกับกิเลสมันเป็นคนละรสละชาติ กิเลสต่างจากนิมิตไกลกันริบหรี่เลย

อยู่กับหลวงพ่อบุญมีนิมิตไม่มาก แต่ถึงกระนั้น เตียงที่นอนอยู่พาเหาะลอยไปในอากาศก็มี บางทีเหาะขึ้นไปบนอากาศแล้วตีลังกาพลิกคว่ำพลิกหงายโลดโผน เดินจงกรมในอากาศ นอนกลางอากาศเข้าสมาธิก็มี และในเวลาที่นอนขวางอยู่บนอากาศเช่นนั้น ตอบตนเองว่า “นี้สิจึงเป็นสมาธิ” เมื่อหมดกำลังก็ถอนออกมา เห็นลมเข้าออกตามเดิม

อุปจารสมาธินี้เป็นไปโลดโผนต่าง ๆ นานา กุศลสมาธิชั้นนี้อยู่ใต้อำนาจอนิจจัง ผู้มีปัญญาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ได้เร็วพลันทันเวลา เป็นทาง(ป้อง)กันความสำคัญตัวว่าประเสริฐได้ เป็นทางไม่ให้นอนใจ ติดอยู่เพียงแค่นั้น ผู้ขาดการศึกษา มักพาให้เพิ่มบ้า ว่าตนภาวนาเก่ง ใครเทศน์ก็ไม่ลง เพราะขาดปัญญาปลงลงสู่อนิจจัง เพราะธรรมอนิจจังเป็นศาลยุติธรรมตัดสินฝ่ายสังขารธรรมไม่ลงบัลลังก์อยู่ทุกกาล ปัญญาญาณต้องรู้ตามเป็นจริงส่งคืน ไม่มีหน้าที่จะต้องไปปล้นไปจี้ว่าเป็น เรา เขา สัตว์ บุคคลอะไร จะกลายเป็นหักดอกไม้บูชาอวิชชา ความมัวความเมาให้บวกทวีคูณทวีขึ้น

นักภาวนาชอบมาติดอยู่ชั้นนี้ แกะยาก จนกว่าจะเห็นคุณและโทษในชั้นนี้ด้วยตนเองชัดเจน แล้วจึงจะข้ามพ้นจากความเข้าใจผิดไปได้สะดวก