#echo banner="" ทิ้งโลก พระโพธิญาณเถร

ทิ้งโลก

จากหนังสือ บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร

หลวงพ่อชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง

อำพล เจน บรรณาธิการ

กุฏิหลังใหม่ เป็นที่พักรักษาตัวของหลวงพ่อในตอนปลายชีวิตของท่านขณะอาพาธ เป็นเวลานับ 10 ปี

เย็นวันที่ 13 มกราคม ปีนี้ผมพาแม่ไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อชา ซึ่งอาพาธมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี แต่คลาดกันแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

พระที่เฝ้าอุปัฏฐากท่านบอกว่า หลวงพ่อหายใจไม่สะดวก ได้นำท่านส่งโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ไปแล้ว

ผมก็ไม่ว่าอะไร ไม่รู้สึกอะไร เพราะว่าเรื่องเข้าออกโรงพยาบาลของหลวงพ่อนั้นดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดา ตลอดเวลาที่อาพาธมา 10 กว่าปี

วันที่ 14 ผมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อส่งคนสนิทที่สุดในชีวิตไปอเมริกา หลังส่งขึ้นเครื่องบินในเช้าวันที่ 16 แล้ว ก็แวะศรีย่านเพื่อเยี่ยมเยียนผู้ใหญ่หลายท่านที่ผมเคารพนับถือ ซึ่งท่านทั้งหลายอันมี อาจารย์อนันต์ กรมศิลป์, อาจารย์ประโยชน์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ธรรมศาสตร์, อาจารย์พจมาน วิทยาลัยนาฏศิลป์ และอาจารย์เบิ้ม ได้หมายเอาสถานที่แห่งหนึ่งในศรีย่านเป็นที่ชุมนุมประชุมกันทุกวัน

เรียกว่าที่ตั้งก๊วนก็ได้

อาจารย์ประโยชน์ได้รายงานข่าวที่ท่านเองไม่ค่อยจะแน่ใจว่า หลวงพ่อชามรณภาพแล้ว

อาจารย์เบิ้มและผมก็ซึมกันไปก่อนคนอื่น เพราะว่าต่างมีความเคารพ และมีความสัมพันธ์กับหลวงพ่อชามากกว่าใครอื่น

มีคนหนึ่งบอกกับผมว่า

“พ่อของเอ็งไปแล้ว”

หลวงพ่อชาเป็นเสมือนพ่อของผมจริง ๆ

อาจกล่าวได้ว่าหลวงพ่อนั้น เป็นพระองค์แรกในชีวิตของผม ที่กราบท่านแล้วสบายใจจริง ๆ และเป็นพระองค์เดียว ที่ผมมีวาสนาได้ติดสอยห้อยตามท่านไปไหนต่อไหนมากที่สุด

ครั้งหนึ่งท่านเอาตัวผมติดตามท่านไปอำเภอเดชอุดม เพื่อไปรับมอบวัดแห่งหนึ่งให้เป็นสาขาของวัดหนองป่าพง ผมยังเด็ก ดูเหมือนจะเพิ่งเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หรือไม่ก็กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และวัดที่ท่านไปรับมอบก็จำไม่ได้ว่าเป็นวัดอะไร เพราะว่าเด็กมาก

วันนั้นเป็นวันพระ พี่สาวผมก็ไปด้วย และได้บอกผมว่าต้องหาอะไรกินมื้อเย็นเอง เพราะไม่มีใครกินมื้อเย็น เขาถือศีลแปดกัน ผมก็ถามว่าศีลแปด ถือแล้วได้อะไร พี่สาวบอกว่าได้กุศลเหมือนถวายกฐินกองหนึ่ง ผมก็ถามว่าศีลแปดมีอะไรบ้าง พี่สาวก็อธิบายให้ฟัง

“ผมจะเอากองกฐิน” ผมบอกพี่สาวอย่างนั้น

ตกลงผมก็ได้รักษาศีลแปดเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยที่ไม่เคยรักษาศีลห้ามาก่อนด้วยซ้ำ

แหมหิวขาดใจเลยครับ

กลางคืนหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์เทศน์จนดึกดื่นเลยเที่ยงคืน ผมไม่หนีไปไหน นั่งอยู่ตรงหน้าธรรมาสน์นั่น ทั้งสัปหงกและก็หิวแสบไส้ไปด้วย ฟังเทศน์ก็ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่เป็น รู้แต่ว่าต้องอยู่ตรงนี้ อยู่ใกล้ ๆ หลวงพ่อ เพราะว่าท่านเอาผมมาด้วย และคอยเวลาที่ท่านจะเรียกให้ไปถือย่าม ถ้าหากท่านจะไปที่ไหน

หลวงพ่อเทศน์ไปก็ชำเลืองดูผมแล้วก็เรียกให้เข้าไปหา ตอนนั้นคนอยู่กันเต็มศาลา ทุกคนก็มองมาที่ผมเป็นจุดเดียว ผมไม่ชอบเลยที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคนมากมาย รู้สึกอายเหมือนกับที่ขึ้นไปปราศรัยต่อหน้าคนในที่ประชุมเป็นครั้งแรกนั่นแหละครับ

หลวงพ่อส่งขวดเป๊ปซี่ให้ผมขวดหนึ่ง

เป๊ปซี่ขวดนั้นเขาถวายท่าน แต่ท่านไม่ฉัน กลับส่งให้ผม

เมื่อกลับมานั่งลงที่เก่า ผมก็วางขวดเป๊ปซี่ไว้ตรงหน้า ไม่รู้จะจัดการอย่างไร จะกินเดี๋ยวนั้นก็อายคนกำลังมอง จะไม่กินก็หิวเหลือกำลัง ก็เลยนั่งมองขวดเป๊ปซี่แบบทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง

พระภาวนาญาณวิมล (เที่ยง โชติธมฺโม) วัดป่าอรัญวาสี วารินชำราบ อุบลราชธานี

ทีนี้ก็มีมือมาสะกิดข้างหลัง ผมหันไปก็พบว่ามีคนที่เรียกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วคือมีอายุราวสี่สิบกว่าปี ชี้นิ้วมาที่ขวดเป๊ปซี่ของผม ผมก็เข้าใจได้ว่าผู้ใหญ่ท่านนั้นต้องการจะกินเป๊ปซี่ เลยส่งให้

เขาดูดจ๊วบเดียวเกลี้ยงขวด

หลวงพ่อก็มองดูเฉยอยู่

หลวงพ่อเที่ยง ลูกศิษย์หลวงพ่อซึ่งเวลานั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าอรัญวาสี สาขาที่ 1 ของวัดหนองป่าพงแล้ว ก็มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ท่านก็เรียกผมให้เข้าไปหา ผมก็คลานเข้าไปตรงหน้าท่าน และท่านก็ส่งขวดเป๊ปซี่ของท่านให้ผมอีกขวดหนึ่ง แล้วสั่งให้ผมนั่งกินตรงนี้

ผมก็เลยได้กินเป๊ปซี่ดับหิว

ศีลแปดของผมก็ไม่ขาด

หลวงพ่อก็มองดูเฉยอยู่

ครั้นพิธีกรรมทางสงฆ์หรือวัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อก็เรียกผมเข้าไปถือย่ามอย่างที่หวัง แล้วลงจากธรรมาสน์ เดินลงศาลามีพระตามท่านไปหลายองค์ มีผมเป็นฆราวาสเด็กคนเดียว ท่านก็เดินไปดูหอระฆัง ซึ่งมีรอยงูเหลือมขนาดใหญ่เลื้อยอยู่แถวนั้นปรากฏอยู่ พระทั้งหมดคุยกันเรื่องงูเหลือม และหลวงพ่อก็บอกว่าที่ถ้ำแสงเพชรก็มีตัวหนึ่งใหญ่มาก มีคนเห็นขี้ของมันแต่ไม่เห็นตัว

ศพหลวงพ่อชา ตั้งบำเพ็ญกุศลในศาลาหลังใหม่ วัดหนองป่าพง

ผมก็เดินง่วงไป ไม่รู้เรื่องอะไร มากไปกว่านี้

ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะพาไปไหน

จนกระทั่งถึงกุฏิหลังหนึ่ง พระทั้งหมดกลับ เหลือผมกับหลวงพ่อตามลำพังสองคน ท่านเดินขึ้นไปบนกุฏินั้นและเรียกผมตามขึ้นไป ข้างต้นเป็นห้องโล่งห้องเดียว ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย นอกจากพื้นกับฝา 4 ด้านเท่านั้น หลวงพ่อเดินเข้าไปข้างฝาด้านในสุด เอาหมอนวางลง แล้วโยนหมอนใบหนึ่งมาที่ผมแล้วบอกให้นอนอีกมุมหนึ่ง คะเนแล้วผมนอน ห่างหลวงพ่อราว 10 เมตรเห็นจะได้

ตอนนี้จึงรู้ว่าถึงเวลาจะได้นอนแล้ว

พอนอนลงก็กลัวผี กลัวจับใจ แต่อาศัยว่า มองเห็นหลวงพ่อนอนตะคุ่มอยู่ใกล้ ๆ ก็อุ่นใจและยึดเอาท่านเป็นที่พึ่งจนหลับไป

พอตื่นขึ้นสายโด่ง ไม่เห็นหลวงพ่อแล้ว ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองอยู่คนเดียว ไม่เห็นหลวงพ่อนอนอยู่ที่เก่านั้นเป็นความรู้ ฝึกที่ยากบรรยาย มันว้าเหว่ ตกใจ และหวาดหวั่นอะไรก็ไม่ทราบอยู่ อย่างนั้น นอนนิ่งซึมเซา ไม่ลุกได้ในทันทีอยู่เป็นเวลานาน

เหมือนหลวงพ่อมาทิ้งไปเสียเฉย ๆ ทำไมไม่ปลุกผมให้ไปกับท่านด้วย

เดี๋ยวนี้ความรู้สึกเดียวกันก็มาเกิดขึ้นกับผมอีกแล้ว

หลวงพ่อทิ้งผมไปแล้วจริง ๆ