#echo banner="" วิวาทะ เรื่อง การปฏิบัติในแนวพองยุบ 4/

วิวาทะ เรื่อง การปฏิบัติในแนวพองยุบ 4

โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 006300 - โดยคุณ : แววตะวัน [ 7 ก.ย. 2545 ]

ความคิดเห็นที่ 27 : (โชติกะ)

คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

“จริง ๆ แล้วการปฏิบัติแบบพองยุบนั้นเป็นพื้นฐานที่ดีมาก แต่หลายสายของพองยุบ มักจะไม่ยอมให้ทิ้งองค์บริกรรม เพราะจะมีเหตุผลว่าถ้าไม่บริกรรมก็ไม่มีสติ ซึ่งก็เป็นอุบายเบื้องต้นที่ดี แต่ไม่ยอมละองค์บริกรรม จนญาณ 16 ซึ่งคงไม่ถูกต้องตามหลัก การจะให้คนที่ปฏิบัติสายพองยุบเข้าใจต่อการปฏิบัตินั้น ก็ต้องให้เขาศึกษามากขึ้นและยอมทิ้งองค์บริกรรมออก มิฉะนั้นก็จะติดอารมณ์บัญญัติไปตลอดการปฏิบัติ แต่พวกเขาจะไม่ยอมนำบริกรรมออกแน่นอน เพราะครูบาอาจารย์ไม่ให้นำออก ซึ่งก็คงเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำความเข้าใจในการสนทนาผ่าน internet”

ผมคิดว่าคุณคงยังไม่เข้าใจนะครับ ที่บอกว่าครูอาจารย์ไม่ให้ทิ้งคำบริกรรมนั้นไม่ถูกต้อง แสดงว่าคุณยังไม่มีความรู้จริงในการปฏิบัติสายนี้ อีกประการหนึ่ง แม้ครูอาจารย์ท่านไม่ได้แนะนำให้ทิ้งคำบริกรรม แต่คำบริกรรมก็จะหายไปเอง ตามหลักฐานที่ได้แสดงไว้แล้ว ดูเหมือนว่าคุณคงจะยังไม่เข้าใจหลักฐานนั้นจริง ๆ ครูอาจารย์ต่าง ๆ ท่านก็แนะนำเพียงบางส่วนเท่านั้น บางครั้งท่านไม่ได้บอกทั้งหมดเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การบอกสภาวะบางอย่าล่วงหน้าไปก่อนจะไม่เป็นผลดีต่อผู้ปฏิบัติมากนัก และเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนี้เอง เมื่ออธิบายแก่ผู้ที่ยังไม่พร้อม ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดได้มาก (เหมือนกับที่คุณไม่ควรได้รับฟังบางสิ่งที่อาจจะไม่ควรรับฟัง จึงได้เข้าใจผิดไปแบบนี้)

จากที่คุณโพสตมาทั้งหมดนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่ายังไม่มีความรู้ความเข้าใจอย่างเพียงพอต่อการปฏิบัติสายนี้ การที่คุณมีความรู้ให้ภาษาบาลีก็ไม่ได้แปลว่า การอ่านจากหลักฐานต่าง ๆ แล้ววิเคราะห์เอง จะทำให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องได้

คุณอย่าหาว่าผมตำหนิเลยนะครับ ขออภัยจริง ๆ ที่ต้องบอกกับคุณตรง ๆ ว่า ในเมื่อคุณเองก็ยังไม่รู้จริง การวิพากษ์วิจารณ์ไป ก็เป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนเป็นจำนวนมากได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไปตำหนิครูอาจารย์ที่สอนการปฏิบัติแบบนี้ ก็ยิ่งอันตรายมาก ถ้าหากเกิดคุณเข้าใจผิดไปจริง ๆ เกิดบุคคลที่คุณตำหนิเหล่านั้นปฏิบัติได้จนเป็นพระอริยบุคคลแล้ว คุณเองก็คงรู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร (ขออภัยจริง ๆ ถ้าหากพูดแรงไป) ในเมื่อคุณเองก็ยังรู้ไม่มากพอ เกี่ยวกับการปฏิบัติสายนี้ ผมคิดว่าคุณน่าจะทำใจให้กว้าง แล้วลองศึกษาดูอีกให้มาก ๆ นะครับ บางทีถ้าคุณได้ศึกษาให้รู้มากขึ้นแล้วคุณอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้

เหตุผลต่าง ๆ ที่คุณบอกว่าการปฏิบัติพองยุบไม่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่ว่าผมจะตอบหรือแก้ไขไม่ได้ดอก แต่ไม่ต้องการจะตอบ เพราะไม่อยากให้เกิดการโต้เถียงหรือขัดแย้ง เพราะว่าอย่างไรเสียก็ยังไม่ถึงกับทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดต่อหลักการของพระพุทธศาสนา คนในนี้ที่ได้อ่านก็ยังจะคงยึดถือพระบาลี อรรถกถา ฎีกาอยู่ คือยังยึดลักมหาปเทส ๔ อยู่ เพราะฉะนั้น ก็ยังจะเป็นเหตุให้ได้ศึกษาในเรื่องนี้ต่อไปได้ และถ้าผมชี้แจงเรื่องนี้แล้วนำไปสู้ความขัดแย้ง ก็จะกลายเป็นการแสดงธรรมที่ไม่ถูกกาลและสถานที่ขึ้นมาจริง ๆ อีกประการหนึ่ง คุณก็คงจะมีมานะต่อผมอยู่ ถึงแม้ผมจะอธิบายไปคุณก็คงจะไม่รับ เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่จะอธิบายเรื่องนี้ให้คุณฟัง

การที่ได้เตือนมานี้ก็ด้วยความหวังดีต่อคุณจริง ๆ หวังว่าคุณคงเข้าใจและไม่ถือโกรธ การที่คุณยังไม่รู้จริงแล้วพูดในเรื่องนี้ออกไป ผมเกรงแต่ว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการปฏิบัติสายนี้ต่อคนจำนวนมาก แต่ก็คงต้องวางอุเบกขา เพราะไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการเข้ามาในสถานที่นี้ ถ้าผมต้องการอธิบายในเรื่องเหล่านี้จริง ๆ (รวมทั้งเรื่องที่คุณบอกว่าการปฏิบัติแบบนี้ไม่ถูกต้องด้วย) ก็คงจะอธิบายไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอให้เกิดกระทู้นี้ก่อน

ต้องพูดอีกครั้งว่าขออภัยที่ได้ไปพูดตรง ๆ แต่ก็ด้วยความหวังดีจริง ๆ หวังว่าคุณคงเข้าใจนะครับ คุณเองก็บอกว่ารู้ว่าผมเป็นใคร เคยเห็นอยู่ ถ้าคุณเจอผมอีกก็ขอให้เข้ามาทักทายได้ตามอัธยาศรัย ยินดีที่จะได้สนทนากับคุณในฐานะกัลยาณมิตรที่ดีในพระศาสนานี้ (แต่ผมไม่ต้องการถกเถียงเรื่องการปฏิบัติ) ขอให้คุณจงมีความสุขความเจริญ รุ่งเรืองในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าครับ

จากคุณ : โชติกะ [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 28 : (ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม)

อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติแบบไหนก็ตาม จะเป็นสมถยานิกะก็ตาม วิปัสสนายานิกะก็ตาม จะต้องมีอารมณ์บัญญัติเป็นเบื้องแรกทั้งนั้น ไม่มีใครที่กำหนดรู้รูปนามแล้วเข้าถึงอารมณ์ปรมัตถ์ได้ในทันที ดังหลักฐานที่ยกมาแล้ว ต้องขออภัยที่ต้องพูดตรง ๆ ว่า การที่คุณพูดอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่รู้ไม่เข้าใจวิธีการปฏิบัติอย่างดีพอ และคงจะยังไม่เคยปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะปรมัตถ์แท้ ๆ โดยที่ไม่มีบัญญัติเลย ต้องขออภัยจริง ๆ ที่ต้องพูดตรง ๆ อย่างนี้ ไม่ต้องการจะถกเถียงด้วยเลย ด้วยความสัตย์จริง แต่ที่พูดไปแต่แรกดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจ ต้องขอให้ลองศึกษาดูเพิ่มขึ้นอีกนะครับ ที่พูดมานี้หวังว่าคงไม่โกรธกัน

ท่าทางคุณจะอ่านข้อความของผู้พิมพ์ไม่เข้าใจ ผู้พิมพ์มิได้กล่าวว่า ก่อนวิปัสสนาเกิด ห้ามมีอารมณ์เป็นบัญญัติ เพราะแน่นอนก่อนจะรู้ปรมัตถ์ต้องรู้เป็นบัญญัติทั้งนั้น แม้พระอรหันต์ยังรู้บัญญัตินับประสาอะไรกับก่อนการเจริญวิปัสสนา

แต่ขณะจิตที่เกิดวิปัสสนาต้องรู้ปรมัตถ์เท่านั้น จริง ๆ แล้วผู้ที่ไม่เข้าใจปรมัตถ์เลยน่าจะเป็นคุณมากกว่า ที่คุณจะมากล่าวว่าผู้พิมพ์คงจะไม่เข้าถึงปรมัตถ์ เพราะ คุณยังแยกไม่ได้เลยว่าผู้รู้นั้นเป็นคนละขณะกัน ขณะที่กำลังเพียรเดินจงกรมอยู่ แรก ๆ ก็อาจจะมีอารมณ์บัญญัติอยู่ (ในกรณีคนที่ไม่ชำนาญ)

ตอนนั้นไม่ใช่วิปัสสนา แต่ขณะจิตที่กำหนดรู้ความแข็งที่เท้ากระทบพื้นได้ โดยรู้ชัด แบบไม่ได้คิด ว่าอาการแข็งเป็นอาการของรูป ตัวรู้เป็นนาม และไม่มีความเป็นสัตว์บุคคล ว่าเป็นเราเดิน หรือเป็นขาเรา หรือเป็นเรารู้แข็ง เป็นต้นจึงเป็นวิปัสสนา

แต่ถ้าไปท่องว่าขวาย่างหนอ ก็เป็นบัญญัติแล้ว จะไปรู้ปรมัตถ์ตอนไหน ลำพังไม่บริกรรมเวลาเดินปกติ ก็เป็นบัญญัติ (แบบละเอียดหน่อย ) อยู่แล้วว่าเป็นขา เป็นหัว เป็นแขน หรือเป็นเรา ยิ่งไปบริกรรมซ้ำ ก็ยิ่งเป็นบัญญัติซ้อนบัญญัติ แล้วจะไปรู้ปรมัตถ์ได้อย่างไร (อาจจะมีบ้างตอนรู้ตึงที่ขาหรือแขน โดยไม่ใส่คำว่าตึงหนอ แล้วรู้ความตึงจริง ๆ โดยไม่มีสัญญาว่าเป็นขาเป็นแขน หรือเป็นเรารู้ตึง สักแต่ว่าเป็นนามรู้ ก็เป็นวิปัสสนาไป)

และอีกหน่อยถ้าคุณทิ้งบริกรรมได้ คุณจะเจอบัญญัติที่ละเอียดเข้าไปอีก ถ้าไม่ถอนบริกรรมออกคุณจะไม่มีวันเจอเลย เพราะแม้ผู้ปฏิบัติที่เจอปรมัตถ์ล้วน ๆ แล้ว กว่าจะถอนบัญญัติละเอียดได้นั้นก็ต้องใช้ชั่วโมงบินมากมายอาศัยความเพียรมาก

ถ้าไม่ถอนบัญญัติออกก็ไม่มีวันรู้ปรมัตถ์ แต่มิใช่ไม่ให้รู้บัญญัติเลย แต่ขณะจิตที่รู้ปรมัตถ์จึงเป็นวิปัสสนา ถ้ารู้บัญญัติก็ไม่ใช่วิปัสสนา หวังว่าคุณจะเข้าใจใหม่ได้ดีขึ้น และให้คุณไปศึกษาเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน และก็หวังว่าคงไม่โกรธเช่นกัน

จากคุณ : ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 29 : (โชติกะ)

คุณหนูนา

ต้องขออภัยคุณหนูนาจริง ๆ นะครับ ที่ทำอย่างที่ขอไว้ไม่ได้ ผมไม่ต้องการอธิบายเรื่องนี้ครับ แม้จะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ก็ตาม แต่ก็อยากจะบอกกับคุณหนูนาครับว่า การปฏิบัติกรรมฐานจะต้องอาศัยครูอาจารย์ที่มีคุณสมบัติของกัลยาณมิตรอย่างครบถ้วน หมายความว่า เรื่องที่คุณหนูนาถามมานั้น ถ้าหากว่าได้ปฏิบัติไปมากเข้าแล้วก็จะเข้าใจเอง ครูอาจารย์ก็จะบอกหรือแนะนำอธิบายในเรื่องนี้เองเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม และถึงแม้ท่านจะไม่ได้บอกตรง ๆ คุณหนูนาก็จะเข้าใจถึงสภาวะ เมื่อได้ศึกษาจากปริยัติ เทียบเคียงกันแล้ว ก็จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และจะเห็นว่าปริยัติกับปฏิบัติเข้ากันได้อย่างสนิท ไม่ขัดกันเลย

คุณหนูนาควรเข้าไปหาพระวิปัสสนาจารย์ที่มีความรู้จริง แล้วเรียนเอาพระกรรมฐาน เมื่อได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องมากเข้าแล้ว ก็จะเข้าใจเอง

ขอให้คุณหนูนาได้เจริญรุ่งเรืองในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าครับ

จากคุณ : โชติกะ [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 30 : (โชติกะ)

คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

“ถ้าไม่ถอนบัญญัติออกก็ไม่มีวันรู้ปรมัตถ์”

เรื่องการปฏิบัติวิปัสสนานั้น ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องพยายามถอนบัญญัติออก แต่บัญญัติจะหายไปเอง ผมยืนยันว่าจะหายไปเอง และพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายก็ยืนยันว่าหายไปเอง ซึ่งก็ตรงกับหลักฐานที่มีมาในวิสุทธิมรรคมหาฎีกา

หลังจากความคิดเห็นนี้แล้วผมจะไม่ชี้แจงหรืออธิบายในเรื่องนี้อีก จะวางอุเบกขาเท่านั้น

จากคุณ : โชติกะ [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 31 : (ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม)

คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนามบอกว่า ได้ปฏิบัติแบบพองยุบมามากแล้ว และหนักมากด้วย ผมคิดว่าระยะเวลาในการปฏิบัติคงไม่ใช่เครื่องตัดสิน คุณอาจจะยังปฏิบัติไม่ถูกต้องนักก็ได้ การปฏิบัติกรรมฐานเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะครับ บางครั้งเราคิดว่าปฏิบัติดีแล้ว ถูกแล้ว แต่ยังไม่ดี ยังไม่ถูกก็มี ยิ่งที่บอกว่าการปฏิบัติวิปัสสนาจะมีอารมณ์บัญญัติไม่ได้เลยนั้น ก็แสดงว่ายังไม่ได้ศึกษาการปฏิบัติแบบพองยุบมากพอ การปฏิบัติในเบื้องแรกอาจจะปฏิบัติรวมกันมาก ๆ ได้ ได้ผลและได้ประโยชน์มากเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วการปฏิบัติคนเดียวภายใต้คำแนะนำของพระวิปัสสนาจารย์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก

สายพองยุบนั้น ปฏิบัติมาตั้งแต่ สายวัดอัมพวัน สายยุวพุทธฯ ซึ่งก็มีครูบาอาจารย์หลายท่าน ทั้งจากพม่า มาจากพม่า ฯลฯ สายวัดดอนพุด สายวิเวกอาศรม ฯลฯ ครูบาอาจารย์ที่รู้จักก็รู้จักเกือบทุกท่านในสายพองยุบ แต่มิอยากจะเอ่ยนามท่านเพราะความเคารพ

แค่อยากจะบอกว่า ตนเองปฏิบัติมาจนครูบาอาจารย์ในสายพองยุบ พยากรณ์แล้วว่าได้ญาณ 16 แต่ตนเองรู้ว่าไม่ใช่ เพราะปริยัติที่เล่าเรียนมาหลังจากปฏิบัติได้ 6 เดือน ช่วยเตือนสติตนเองว่าไม่ใช่แล้ว

บวกกับตนเองได้เป็นวิทยากรสอนคนในสายนี้มามาก และเห็นความบกพร่องอีกมากมาย ที่ไม่อยากจะกล่าวให้เสื่อมเสียกันเปล่า ๆ เพราะตนเองก็เคยศรัทธาการปฏิบัติแบบนี้มามากชนิดคิดว่า วิปัสสนาต้องอย่างนี้เท่านั้น อย่างอื่นผิด อย่างที่คุณโชติกะคิดกับคนอื่นเช่นกัน

จึงบอกว่าเข้าใจและเห็นใจคุณโชติกะมาก ว่าจะรู้สึกเดือดร้อนปานใด ถ้ามีคนมากล่าวว่าสิ่งที่คุณปฏิบัติผิด ก็ไม่ต่างจากการที่คุณพยายามชี้แจงสิ่งที่ถูกให้คนที่คุณคิดว่าเขาผิดนั่นแหละ เขาก็ต่อต้านอย่างที่คุณพยายามแย้งผู้พิมพ์อยู่ในขณะนี้ ถ้าผู้พิมพ์สามารถแก้ความเข้าใจและความเชื่อของคุณ ด้วยการสนทนาทาง internet คุณก็คงฟังไปแล้วเช่นกัน ก็ไม่ต่างจากสิ่งที่คุณทำนั่นแหละ

ผู้พิมพ์ก็พยายามสะท้อนให้คุณรู้สึกการกระทำอย่างที่คุณทำกับคนอื่นบ้าง ให้คุณเห็น เพราะคุณมักจะทำอะไรโดยมองแต่ความรู้สึกตนเองเป็นใหญ่ จึงมักไม่รอบคอบที่จะพิจารณาเหตุปัจจัยรายล้อมให้รอบคอบกว่านี้

จากคุณ : ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 32 : (โชติกะ)

คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

“ผู้พิมพ์ก็พยายามสะท้อนให้คุณรู้สึกการกระทำอย่างที่คุณทำกับคนอื่นบ้าง ให้คุณเห็น เพราะคุณมักจะทำอะไรโดยมองแต่ความรู้สึกตนเองเป็นใหญ่ จึงมักไม่รอบคอบที่จะพิจารณาเหตุปัจจัยรายล้อมให้รอบคอบกว่านี้”

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการที่จะทำให้เข้าใจผิดต่อหลักฐานและหลักการ คุณควรพิจารณาดูให้ดีว่า การที่คุณทำเช่นนี้ถูกต้องตรงตามพระบาลีกินติสูตร ที่คุณยกมาให้ผมอ่านในความคิดเห็นที่ 2 ของกระทู้ที่ 6227 หรือไม่

และขอเรียนว่าผมไม่ได้รู้สึกเดือนร้อนในเรื่องนี้เลย ผมไม่ได้เสียประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ไม่เสียอะไร จะต้องเดือนร้อนด้วยเรื่องอะไร และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คนทั้งหลายเสื่อมจากพระศาสนาของพระพุทธเจ้า การที่คุณพูดไว้อย่างนั้น เป็นการพูดด้วยใจบริสุทธิ์มุ่งจะอนุเคราะห์ผมหรือไม่ หรือมีเจตนาจะข่มกัน คุณน่าจะลองพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนนะครับ

อนึ่ง ที่ได้พูดมานี้ ไม่ได้เสียสัจจะที่พูดไว้ในความคิดเห็นที่ 30 เพราะไม่ใช่เป็นการอธิบายชี้แจงในเรื่องการปฏิบัติพองยุบ

จากคุณ : โชติกะ [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 33 : (ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม)

“เรื่องที่คุณผู้ไม่ประสงค์ออกนามพูดถึงพระที่จบธัมมาจริยะที่ปฏิบัติแบบพองยุบนั้น ผมคิดว่าระมัดระวังไว้ก่อนน่าจะดีนะครับ คุณเองก็ยังไม่ได้ศึกษาการปฏิบัติแบบนี้อย่างเพียงพอ อย่าเพิ่งไปด่วนตัดสินเลยนะครับ ถ้าหากว่าการปฏิบัติแบบนี้เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องทำให้ผู้ปฏิบัติได้บรรลุมรรคผลขึ้นมาจริง ๆ แล้วคุณพูดแบบนี้ก็น่ากลัวอยู่นะครับ ระมัดระวังไว้ก่อนไม่ดีหรือครับ

เรื่องการปฏิบัติพองยุบถูกต้องตามหลักฐานหรือไม่อย่างไรนั้น ผมคงตอบไม่ได้ทั้งหมด และไม่ต้องการจะตอบ เพราะคุณเชื่อไปแล้วว่าไม่ถูกต้อง เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องโต้เถียงไป ทางที่ดีผมคิดว่าน่าจะทำใจให้เป็นกลางแล้วสอบถามกับครูอาจารย์ที่ปฏิบัติแบบนี้และมีความรู้ทางปริยัติมาก ๆ คุณน่าจะพอรู้จักหรือเคยเห็นพระคันธสาราภิวงศ์อยู่บ้าง น่าจะลองสอบถามกับท่านดู แต่ก็ต้องไม่อคติด้วย อย่าเพิ่งไปตัดสิน”

เรื่องพระธัมมาจริยะที่กล่าวนั้นก็มิได้กล่าวเลื่อนลอย ตนเองรู้จักกับพระธัมมาจริยะ อย่างน้อยก็ 4 รูปที่เคยสนทนากันด้วย ท่านที่คุณอ้างก็รู้จักอยู่ แต่ก็ไม่อยากวิจารณ์ไป เดี่ยวนี้ที่พม่า การปฏิบัติที่ถูกต้องตามพระพุทธพจน์ที่ไม่ใช่พองยุบก็มี มีสายหนึ่งที่พม่า แถวอมรปุระ หรือไงจำไม่ชัด ปฏิบัติตามพระไตรปิฎก อรรถกถา และฏีกา เลย

 ่ส่วนตัวก็จะเตือนคุณโชติกะบ้างว่า ถ้าคนที่คุณว่าเขาเกิดเป็นพระอริยะขึ้นมาบ้าง เหมือนกับที่คุณคิดว่า ครูบาอาจารย์บางท่านในสายพองยุบเป็นพระอริยะขึ้นมา บ้างล่ะ คุณจะรอบคอบขึ้นหรือไม่ในการโต้ตอบกับเขาเหล่านั้น

แต่ส่วนตัวผู้พิมพ์ไม่กลัวเลย เพราะไม่มีจิตที่จะคิดจาบจ้วงพระอริยะเจ้าเลย ก็คงมีจิตที่คิดแต่จะรักษาความบริสุทธิ์ของพระธรรมไว้ ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ

และการปฏิบัติพองยุบก็เพิ่งมีไม่ถึง 100 ปีดีนักกระมัง ก็ตั้งแต่สมัยท่านมหาสีสะยาดอนำมาเผยแผ่ แล้วท่านเจ้าคุณคณะ 5 วัดมหาธาตุก็มาขยายผลต่อที่เมืองไทย ก็คงไม่นานไปกว่า คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา ซึ่งเป็นหลักในพระศาสนา

แม้ท่านจะเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก แต่ความคิดของท่านก็เป็นอัตโนมติอยู่ดี ก็ต้องตรวจสอบตามหลักฐานอยู่ดี ดังที่คุณโชติกะก็นำไปตรวจสอบคนอื่นอยู่บ่อย ๆ ในลานธรรม แต่ไม่ค่อยตรวจสอบการปฏิบัติของตนเองเลย

ถ้าผู้พิมพ์ที่ตั้งใจจะรักษาหลักการในพระศาสนาในส่วนปฏิบัติ ให้ตรงกับปริยัติ ถ้าจะมีบาปก็ขอน้อมรับบาปนั้น แต่เจตนาที่ตั้งไว้ มีแต่จิตที่ไม่ใช่สัตว์บุคคลที่คิดจะดำรงความถูกต้องของพระสัทธรรมไม่ให้ใครกล่าวตู่เอาได้

ส่วนเรื่องส่วนตัวที่คุณจะกล่าวว่า ผู้พิมพ์ไม่เข้าใจการปฏิบัติสายนี้ หรืออะไรก็แล้วเช่นรู้บาลี หรือไม่ ก็เป็นแต่เพียงความคิดของคุณเอง หาใช่ข้อเท็จจริงไม่

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ คุณในตอนนี้ กับเมื่อสัก 3 ปีก่อนที่ได้เจอคุณ มานะของคุณไม่ได้จางไปเลย (คงไม่ต้องอ้างว่า มานะ ต้องรออรหัตตมรรคปหาน เพราะต้องเริ่มละตั้งแต่บัดนี้นั่นแหละ มิใช่ไปรอตอนนั้นแล้วละได้ทีเดียว ) นั่นก็คงแสดงผลการปฏิบัติของคุณได้ในระดับหนึ่งว่าเป็นอย่างไร

จากคุณ : ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม [ 9 ก.ย. 2545 ]

 

ความคิดเห็นที่ 34 : (Namiaki Ryu)

ไม่ทราบว่าถ้าพิจารณาจากข้อความทั้งหมดแล้ว จะกล่าวได้หรือไม่ว่าในสภาวะที่ยังมีองค์บริกรรมอยู่นั้นยังมิใช่ขั้นตอนที่ทำให้วิปัสสนาญาณที่แท้จริงเกิดขึ้น แต่เมื่อองค์บริกรรมหายไปจึงจะเป็นสภาวะที่เป็นวิปัสสนาอย่างแท้จริง คือทิฎฐิวิสุทธิตามนัยของนามรูปปริจเฉทญาณ

จากคุณ : Namiaki Ryu [ 9 ก.ย. 2545 ]

|ตอนที่ ๑| ตอนที่ ๒|ตอนที่ ๓|ตอนที่ ๔| ตอนที่ ๕|ตอนที่ ๖ |ตอนที่ ๗ |ตอนที่ ๘ |ตอนที่๙ |