#echo banner="" วรรณาโรหชาดก/

คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน

วรรณาโรหชาดก

ว่าด้วยผู้มีใจคอหนักแน่น

พระศาสดาเมื่ออาศัยพระนครสาวัตถีประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระเถระอัครสาวกทั้งสอง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง พระมหาเถระทั้งสองคิดกันว่า พวกเราจักอยู่ป่าตลอดพรรษานี้ จึงทูลลาพระศาสดา แล้วละหมู่คณะ ถือบาตรจีวรด้วยตนเอง ออกจากพระเชตวัน อาศัยปัจจันตคามแห่งหนึ่งอยู่ในป่า บุรุษขอทานคนหนึ่ง ทำการอุปัฏฐากพระเถระทั้งสองอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งในป่านั้นนั่นแหละ

บุรุษนั้นเห็นการอยู่อย่างพร้อมเพรียงของพระเถระทั้งสอง จึงคิดว่า พระเถระทั้งสองนี้อยู่พร้อมเพรียงกันเหลือเกิน เราอาจไหมหนอที่จะทำลายพระเถระเหล่านี้ให้แตกกันและกัน จึงเข้าไปหาพระสารีบุตรเถระแล้ว ถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านมีเวรอะไรๆ กับพระมหาโมคคัลลานเถระผู้เป็นเจ้าหรือหนอ ?

พระสารีบุตรเถระถามว่า ก็เวรอะไรเล่า ?

ผู้มีอายุบุรุษนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ในเวลาที่กระผมมา พระมหาโมคคัลลานเถระนี้ กล่าวแต่โทษของท่านเท่านั้นว่า ชื่อว่าพระสารีบุตร จะพออะไรกับเรา โดยชาติ โคตร ตระกูล และประเทศก็ตาม โดยสุตตะและคันถะก็ตาม หรือโดยปฏิเวธและอิทธิฤทธิ์ก็ตาม

พระเถระทำการแย้มหัวแล้วกล่าวว่า อาวุโส ท่านไปเสียเถอะ

ในวันอื่น บุรุษนั้นเข้าไปหาพระโมคคัลลานเถระบ้าง แล้วก็กล่าวเหมือนอย่างนั้นแหละ ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานเถระก็กระทำการแย้มหัว แล้วกล่าวกะบุรุษนั้นว่า ท่านไปเสียเถอะ ผู้มีอายุ

แล้วพระมหาโมคคัลลานเถระจึงเข้าไปหาพระสารีบุตรเถระถามว่า ท่านผู้มีอายุ บุรุษขอทานนั้นกล่าวอะไรๆ กับท่าน

พระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ เขากล่าวกับผม ควรนำบุรุษขอทานนั้นออกไปเสีย เมื่อพระมหาโมคคัลลานเถระกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้มีอายุ ท่านจงนำบุรุษขอทานนั้นออกไปเสีย พระเถระจึงดีดนิ้วมือ อันเป็นสัญญาณให้บุรุษขอทานนั้นรู้ว่า ท่านอย่าอยู่ที่นี้ แล้วนำเขาออกไป พระเถระทั้งสองนั้นอยู่อย่างสมัครสมานกัน แล้วไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมแล้วจึงนั่งอยู่ พระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถารแล้วตรัสถามว่า เธอทั้งสองอยู่ตลอดพรรษาโดยสบายหรือ ? เมื่อพระเถระทั้งสองกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษขอทานคนหนึ่งเป็นผู้ประสงค์จะทำลายพวกข้าพระองค์ เมื่อไม่อาจทำลาย จึงหนีไป พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร มิใช่บัดนี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจทำลาย แม้ในกาลก่อน บุรุษขอทานนี้ก็คิดว่า จักทำลายพวกเธอ เมื่อไม่อาจทำลายก็ได้หนีไปแล้ว ครั้นเมื่อพระเถระทั้งสองนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่า ครั้งนั้น ราชสีห์กับเสือโคร่งอยู่กันในถ้ำแห่งภูเขาในป่า สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอุปัฏฐากสัตว์ทั้งสองนั้น กินอาหารที่เหลือของสัตว์ทั้งสองนั้น จนมีร่างกายใหญ่โต วันหนึ่ง คิดว่า เราไม่เคยกินเนื้อของราชสีห์และเสือโคร่ง เราควรจะทำให้สัตว์ทั้งสองนี้ให้แตกกัน แต่นั้น เราจักกินเนื้อของสัตว์ทั้งสองนั้นที่ตายเพราะทะเลาะกัน

สุนัขจิ้งจอกนั้นจึงเข้าไปหาราชสีห์ แล้วถามว่า ข้าแต่นาย ท่านมีเวรอะไรๆ กับเสือโคร่งหรือ ?

ราชสีห์ กล่าวว่า เวรอะไรเล่าสหาย

สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ในตอนที่ข้าพเจ้ามา เสือโคร่งนั้นกล่าวแต่โทษของท่านเท่านั้นแหละว่า ขึ้นชื่อว่าราชสีห์ย่อมไม่ถึงส่วนแห่งเสี้ยวของเรา โดยผิวพรรณแห่งร่างกายก็ตาม โดยลักษณะสูงใหญ่ก็ตาม หรือโดยชาติกำลัง และความเพียรก็ตาม

ราชสีห์กล่าวว่า เจ้าจงไปเสียเถอะ เสือโคร่งนั้นคงจักไม่กล่าวอย่างนั้น

แม้เสือโคร่งสุนัขจิ้งจอกก็เข้าไปหาแล้วก็กล่าวโดยอุบายนั้นเหมือนกัน เสือโคร่งได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปหาราชสีห์แล้ว กล่าวว่า สหาย ได้ยินว่าท่านพูดอย่างนี้และอย่างนี้ เมื่อจะถามจึง กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :

[๗๕๓] ท่านผู้มีเขี้ยวงามกล่าวว่า เสือโคร่งชื่อสุพาหุนี้ มีลักษณะ วรรณะ

ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา.

ราชสีห์ได้ฟังดังนั้นจึงได้กล่าว ๔ คาถาที่เหลือว่า :

[๗๕๔] เสือโคร่งชื่อสุพาหุกล่าวว่า ราชสีห์ผู้มีเขี้ยวงาม มีลักษณะ วรรณะ

ชาติ กำลังกาย และกำลังความเพียร ไม่ประเสริฐไปกว่าเรา.

[๗๕๕] แน่ะเพื่อนสุพาหุ ถ้าท่านจะประทุษร้ายเราผู้อยู่กับท่านอย่างนี้ บัดนี้

เราก็ไม่พึงยินดีอยู่ร่วมกับท่านต่อไป.

[๗๕๖] ผู้ใดเชื่อฟังคำของคนอื่นตามที่เป็นจริง ผู้นั้นต้องพลันแตกจากมิตร

และต้องประสบเวรเป็นอันมาก.

[๗๕๗] ผู้ใดไม่ประมาททุกขณะ มุ่งความแตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้น

ไม่ชื่อว่าเป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่ได้ ไม่มีความรังเกียจ

มิตร นอนอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอกมารดา ฉะนั้น

ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.

เมื่อราชสีห์กล่าวคุณของมิตรด้วยคาถาทั้ง ๔ คาถานี้ด้วยประการฉะนี้ เสือโคร่งกล่าวว่า เป็นความผิดของข้าพเจ้า แล้วขอขมาราชสีห์ สัตว์ทั้งสองนั้นได้อยู่พร้อมเพรียงกันเหมือนอย่างเดิม ส่วนสุนัขจิ้งจอกได้หนีไปอยู่ที่อื่นแล.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า สุนัขจิ้งจอกในกาลนั้น ได้เป็นบุรุษขอทาน ราชสีห์ในกาลนั้น ได้เป็นพระสารีบุตร เสือโคร่งในกาลนั้น ได้เป็นพระโมคคัลลานะ ส่วนรุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ในป่านั้นเห็นเหตุการณ์นั้น โดยจัดแจ้ง ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ  วรรณาโรหชาดก