#echo banner="" พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ 08/

พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ (ตอน ๘)

คัดลอกบางส่วนจาก :พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ (ฉบับสมบูรณ์)

รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 004051 – โดยคุณ : mayrin [ 10 ม.ค. 2545 ]

สนิมของจิต

ปัญหา ธรรมที่เป็นสนิมของจิตทำให้จิตเสียไปคืออะไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งเศร้าหมองของทองคำ ๕ อย่างนี้ เป็นเครื่องทำทองไม่ให้อ่อน ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้มีสีสุก ให้เปราะ ให้ใช้การไม่ได้ดี สิ่งเศร้าหมอง ๕ อย่างคืออะไรบ้าง ?

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล็ก ...ดีบุก...ตะกั่ว...เงิน เป็นเครื่องเศร้าหมองของทองคำ ทำทองคำไม่ให้อ่อน...ให้ใช้การไม่ได้ดี

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องเศร้าหมองของจิต ๕ อย่างนี้ เป็นเครื่องทำจิตไม่ให้นิ่มนวล ไม่ให้ควรแก่การงาน ไม่ให้ผุดผ่อง ให้เสียไป และไม่ให้ตั้งมั่นด้วยดี เพื่อความสิ้นอาสวะ เครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ๕ อย่างคืออะไรบ้าง ?

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามฉันทะ...พยาบาท...ถีนมิทธะ...อุทธัจจะ กุกกุจจะ...วิจิกิจฉาเป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต ทำจิตไม่ให้นิ่มนวล...

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แลไม่เป็นธรรมกั้น ไม่เป็นธรรมห้าม ไม่เป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตอันบุคคลเจริญแล้ว...ย่อมเป็นไปเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลคือวิชชาและวิมุติ"

อุปกิเลสสูตร

นิวรณ์ ๕ ระงับเมื่อใด

ปัญหา ทำอย่างไรนิวรณ์ ๕ จึงระงับ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด อริยสาวกมุ่งต่อพระธรรม ใส่ใจ พิจารณาด้วยใจทั้งหมด เงี่ยโสตลงฟังธรรม สมัยนั้น นิวรณ์ ๕ ย่อมไม่มีแก่เธอ โพชฌงค์ ๗ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์"

อาวรณานีวรณสูตร

อาหารของโพชฌงค์ ๗

ปัญหา อะไรเป็นอาหารเครื่องบำรุงเลี้ยงโพชฌงค์ ๗ ให้เจริญ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งแห่งสติสัมโพชฌงค์มีอยู่ การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้นเป็นอาหารให้สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น...

"ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล ที่มีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นฝ่ายดำและฝ่ายขาวมีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้นเป็นอาหารแห่งธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์

"ความริเริ่มความพยายาม ความบากบั่นมีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านี้ เป็นอาหารแห่งวิริยสัมโพชฌงค์

"ธรรมทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งแห่งปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งปีติสัมโพชฌงค์

"ความสงบกาย ความสงบจิตมีอยู่ การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

"สมาธินิมิตและอัพยัคคนิมิต (นิมิตแห่งจิตที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน) มีอยู่การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในนิมิตเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งสมาธิสัมโพชฌงค์

"ธรรมทั้งหลายที่เป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ การเพิ่มพูนโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น เป็นอาหารแห่งอุเบกขาสัมโพชฌงค์..."

กายสูตร

อานิสงส์โพชฌงค์ ๗

ปัญหา เมื่อเจริญโพชฌงค์ ๗ ประการบริบูรณ์และจะเกิดอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อโพชฌงค์ ๗ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้..ผลานิสงส์ ๗ ประการ อันเธอพึงหวังได้ คือ

(๑) จะได้บรรลุอรหัตตผลโดยพลัน ในปัจจุบัน

(๒) ถ้าไม่ได้บรรลุในปัจจุบัน จะได้บรรลุอรหัตตผลในเวลาใกล้ตาย

(๓) ถ้าไม่ได้บรรลุในปัจจุบันในเวลาใกล้ตายจะได้เป็นพระอนาคามี ประเภทอันตราปรินิพพายี เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป

(๔) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุและไม่ได้เป็นพระอนาคามีประเภทอันตราปรินิพพายี...จะได้เป็น พระอนาคามีประเภทอุปหัจจปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป

(๕) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุในเวลาใกล้ตายก็ไม่ได้บรรลุและไม่ได้เป็นพระอนาคามีประเภทอันตราปรินิพพายี ทั้งประเภทอุปหัจจปรินิพพายี จะได้เป็นพระอนาคามีประเภทอสังขารปรินิพพายีเพราะสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำสิ้นไป

(๖) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ฯลฯ และไม่ได้เป็นพระอนาคามีมีผู้อสังขารปรินิพพายี...จะได้เป็นพระอนาคามีประเภทสสังขารปรินิพพายีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป

(๗) ถ้าในปัจจุบันก็ไม่ได้บรรลุ ฯลฯ และไม่ได้เป็นพระอนาคามีมีผู้สสังขารปรินิพพายีจะได้เป็นพระอนาคามีประเภทอุทธังโสโตอกนิฏฐคามีเพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป..."

สีลสูตร

พระพุทธเจ้าอยู่ด้วยวิชชาและวิมุติ

ปัญหา กุณฑลิยปริพพาชกทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระสมณโคดมทรงมีอะไรเป็นอานิสงส์ดำรงชีวิตอยู่ ?

พุทธดำรัสตอบ " ดูก่อนกุณฑลิยะตถาคตมีวิชชาและวิมุติเป็นผลานิสงส์อยู่...

โพชฌงค์ ๗ อันบุคคลเจริญแล้ว เพิ่มพูนแล้ว ย่อมยังวิชชาและวิมุติให้บริบูรณ์...

สติปัฏฐาน ๔ อันบุคคลเจริญแล้วย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์...

สุจริต ๓อันบุคคลเจริญแล้วย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์...

อินทรีย์สังวร อันบุคคลเจริญแล้ว...ย่อมยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์...

กุณฑลิยสูตร

พระพุทธองค์ไม่มีคำสอนพิเศษเพื่อใคร

ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงมีคำสอนพิเศษที่สงวนไว้สำหรับ พระสาวกบางประเภทหรือไม่ ? และทรงมีคำสอนพิเศษที่จะประกาศแก่พระสงฆ์สาวกก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหรือไม่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนอานนท์บัดนี้ภิกษุสงฆ์จะมาหวังอะไรในเราอีกเล่า ? พระธรรมเราแสดงไว้แล้วโดยไม่มีนอกไม่มีใน

"ดูก่อนอานนท์ในธรรมทั้งหลายของตถาคต ย่อมไม่มีกำมือแห่งอาจารย์ (สิ่งที่อาจารย์กำไว้เป็นความลับ) ผู้ใดพึงมีความดำริอย่างนี้ว่าเราจักบริหารภิกษุสงฆ์หรือว่า ภิกษุสงฆ์มีเราเป็นที่อิงอาศัยผู้นั้นพึงปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวประกาศเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างแน่นอน

"ดูก่อนอานนท์ตถาคตไม่เคยมีความดำริอย่างนี้เลยว่า เราจะบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่า ภิกษุสงฆ์มีเราเป็นที่อิงอาศัยฉะนั้นตถาคตจักปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวประกาศเรื่องใดเรื่องหนึ่งทำไมเล่า? บัดนี้เราก็แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว วัยของเราล่วงเข้าแปดสิบปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้ไปได้ก็เพราะซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน..."

คิลานสูตร

อะไรเกิดขึ้นในการเจริญสติปัฏฐาน

ปัญหา ในการเจริญสติปัฏฐานอะไรเกิดขึ้นบ้างและควรปฏิบัติอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่...ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่...ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่...ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย เมื่อเธอพิจารณาเห็นกายในกาย...เห็นเวทนาในเวทนา...เห็นจิตในจิต...เห็นธรรมในธรรมอยู่ อารมณ์ทางกายย่อมเกิดขึ้นบ้าง ความเร่าร้อนในกายหรือความหดหู่จิตซัดส่ายจิตไปในภายนอกบ้าง...อารมณ์คือเวทนาย่อมเกิดขึ้นบ้าง...อารมณ์ทางจิตย่อมเกิดขึ้นบ้าง...อารมณ์คือธรรมย่อมเกิดขึ้นบ้าง...ภิกษุนั้นพึงตั้งจิตไว้ให้มั่นในนิมิตอันน่าเลื่อมใสอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อตั้งจิตไว้มั่นในนิมิต...ปราโมทย์ย่อมเกิด เมื่อเธอมีปราโมทย์ ปีติย่อมเกิด เมื่อเธอมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมระงับ เธอมีกายระงับแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อเธอมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น เธอย่อมพิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า เราตั้งจิตไว้เพื่อประโยชน์อันใด ประโยชน์นั้นสำเร็จแก่เราแล้วบัดนี้ เราจะคุมจิตไว้ เธอคุมจิตไว้ และไม่ตรึกไม่ตรอง ย่อมรู้ชัดว่าเราไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีสติในกายใน เป็นผู้มีความสุข ดังนี้..."

ภิกขุณีสูตร ๑

บำบัดทุกขเวทนาด้วยพลังจิต

ปัญหา ได้ทราบว่า เวลาประชวรหนัก บางคราวพระพุทธเจ้าทรงบำบัดทุกขเวทนาด้วยพลังจิต พระองค์ทรงกระทำอย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนอานนท์ สมัยใดตถาคตเข้าเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต เพราะไม่ได้กระทำไว้ในใจ ซึ่งนิมิตทั้งปวง เพราะดับเวทนาบางอย่างแล้วอยู่สมัยนั้นกายของตถาคตย่อมผาสุก เพราะฉะนั้นเธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง..."

คิลานสูตร

มหาบุรุษคือคนประเภทไหน

ปัญหา ที่เรียกว่า 'มหาบุรุษ' ในทางพระพุทธศาสนานั้น หมายถึงคนประเภทไหน ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนสารีบุตรเราเรียกว่า 'มหาบุรุษ' เพราะเป็นผู้มีจิตหลุดพ้น เราไม่เรียกว่า 'มหาบุรุษ' เพราะเป็นผู้มีจิตยังไม่หลุดพ้น

"ดูก่อนสารีบุตรก็บุคคลเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นภายในกายอยู่เป็นปกติ...พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่เป็นปกติ...ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นปกติ...ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่เป็นปกติ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย...จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น

"ดูก่อนสารีบุตร บุคคลเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นอย่างนี้แล เราเรียกว่ามหาบุรุษ..."

มหาปุริสสูตร

ไม่ใครเหนือพระพุทธองค์

ปัญหา สมณะหรือพราหมณ์อื่นซึ่งจะมีปัญญาเครื่องตรัสรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่ ?

พระสารีบุตรตอบ "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ซึ่งจะรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางปัญญาเครื่องตรัสรู้ มิได้มีแล้ว จักไม่มีและย่อมไม่มีในบัดนี้...

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะมีเจโตปริยญาณ (การรู้จิตใจของผู้อื่น) ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันก็หามิได้ แต่ข้าพระองค์รู้ได้ด้วยการอนุมานตามพระธรรม

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนชายแดนของพระราชา มีเชิงเทินมั่นคง มีกำแพงและหอรบหนาแน่น มีประตูเดียว คนเฝ้าประตู...มีปัญญาเฉลียวฉลาด ห้ามคนไม่รู้จัก ให้คนรู้จักเข้าไป เขาเดินตรวจทางรอบนครนั้น ไม่พบรอยต่อหรือช่องแห่งกำแพงโดยที่สุดแม้เพียงแมวจะลอดออกไปได้ เขาพึงมีความมั่นใจอย่างนี้ว่า สัตว์ขนาดใหญ่เหล่าใดเหล่าหนึ่งจะเข้าสู่นครนั้นหรือออกไป ย่อมเข้าออกทางประตูนี้ทั้งหมดฉันใด ข้าพระองค์รู้ได้ด้วยการอนุมานตามพระธรรมก็ฉันนั้น...

"พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ได้มีมาแล้วในอดีตกาลจักมีในอนาคต...และแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นทุกพระองค์ทรงละนิวรณ์ ๕ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งใจทอนกำลังปัญญา ทรงมีพระหฤหัยตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ทางเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามความเป็นจริงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว..."

นาฬันทสูตร